เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
ภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง
ทุกวันที่ 28 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดเป็น วันยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยสากล (International Safe Abortion Day) เพื่อย้ำเตือนถึงสิทธิของผู้หญิงในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายและสุขภาพของตนเอง สำหรับประเทศไทย ปีนี้นับเป็นปีที่ 4 แล้ว นับจากการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 โดยแก้ไขมาตรา 301 และ 305 ซึ่งขยายสิทธิของผู้หญิงในการยุติการตั้งครรภ์กว้างขึ้นกว่าเดิม
เดิมที ‘การยุติการตั้งครรภ์’ ถือเป็นความผิดเกือบทุกกรณี แต่กฎหมายใหม่เปิดช่องให้สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย หากเข้าเงื่อนไขที่กำหนด เช่น หากการตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อสุขภาพกายหรือใจ หากทารกมีความเสี่ยงพิการรุนแรง หากตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน หรือในกรณีที่อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ผู้หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยสมัครใจ และหากอายุครรภ์เกิน 12 แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ก็ยังสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องผ่านการตรวจและรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม หากอายุครรภ์เกินกว่า 20 สัปดาห์ หรือยุติการตั้งครรภ์โดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไข กฎหมายยังถือว่าเป็นความผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้กฎหมายไทยจะเปิดกว้างขึ้น แต่เงื่อนไขและขั้นตอนที่ซับซ้อนยังเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ ‘เข้าถึงบริการยาก’ เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลที่ถูกต้องจากที่ไหน ขณะเดียวกัน การตีตราทางศีลธรรมและวัฒนธรรมยังทำให้การยุติการตั้งครรภ์ถูกมองในแง่ลบ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจึงลังเลที่จะใช้สิทธิของตนเอง หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิทธินั้นอยู่
สถานการณ์นี้เห็นได้ชัดโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีสถานพยาบาลรองรับจำกัด ผู้หญิงจำนวนมากต้องพึ่งพาเครือข่ายอาสาและภาคประชาสังคม เช่น เครือข่ายอาสา RSA บริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยโดยแพทย์, สายด่วนท้องไม่พร้อม 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม (สายด่วน 1663) หรือมูลนิธิทำทาง (ติดต่อ ไลน์ @tamtang) เพื่อเข้าถึงบริการที่ปลอดภัย เราจึงอยากชวนมาดูว่าพื้นที่ให้บริการในภาคเหนือเป็นอย่างไรบ้าง
ภาคเหนือมีสถานบริการยุติการตั้งครรภ์เพียง 8 จังหวัด เปิดเผยข้อมูล 6 แห่ง เข้าถึงยากและค่าใช้จ่ายสูง

กลุ่มทำทางได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับแผนที่สถานบริการยุติการตั้งครรภ์ในประเทศไทย พบว่าปัจจุบันมีสถานบริการทั้งหมด 133 แห่ง แบ่งเป็นหน่วยงานรัฐ 92 แห่ง และเอกชน 41 แห่ง การเข้าถึงบริการแตกต่างกันไป โดยคลินิกและโรงพยาบาล 76 แห่งให้บริการเฉพาะผู้ที่ได้รับการส่งต่อ ขณะที่อีก 57 แห่งรองรับผู้เข้ารับบริการแบบ Walk-in
อายุครรภ์ที่สถานบริการสามารถให้บริการก็มีความหลากหลาย โดยมี 12 แห่งให้บริการในช่วงไม่เกิน 9 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ 90 แห่งให้บริการตั้งแต่ 9–12 สัปดาห์ และ 27 แห่งให้บริการในช่วง 12+1–20 สัปดาห์ ขณะที่มีเพียง 4 แห่งที่ให้บริการในช่วงอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป
ในด้านข้อกำหนดการให้บริการ พบว่า 100 แห่งปฏิบัติตามกฎหมายโดยตรง ส่วนอีก 33 แห่งกำหนดเงื่อนไขเองโดยคลินิกหรือโรงพยาบาล สถานบริการกระจายตัวในหลายระดับของพื้นที่ ได้แก่ 54 แห่งในระดับประเทศหรือศูนย์กลาง 3 แห่งในระดับภาค 10 แห่งในเขตจังหวัด และ 43 แห่งในอำเภอ ขณะที่มีเพียง 26 แห่งที่เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
การเข้าถึงบริการครอบคลุม 51 จังหวัด แต่ยังมี 26 จังหวัดที่ไม่มีสถานบริการเลย ในภาคเหนือจาก 17 จังหวัดมีสถานบริการทั้งหมด 8 จังหวัด โดย 4 จังหวัดมีสถานบริการเอกชนที่เปิดเผยข้อมูล ได้แก่
1. คลินิกเวชกรรม สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) สาขาเชียงราย โทร. 053-711475-200
2. คลินิก สวท. เวชกรรม เชียงราย โทร. 053-713090
3. คลินิกเวชกรรม สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) สาขาเชียงใหม่ โทร. 053-277805-6
4. คลินิก สวท. เวชกรรม เชียงใหม่ โทร. 053-249406
5. คลินิก สวท. เวชกรรม ลำปาง โทร. 054-209577
6. คลินิก นายแพทย์ธนิต นครสวรรค์ โทร. 084-5768359
ในส่วนของค่าใช้จ่าย หากไปโรงพยาบาลรัฐและใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท ขณะที่คลินิกเอกชน เช่น PDA และ สวท. มีค่าใช้จ่ายประมาณ 5,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีอีก 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ตาก อุตรดิตถ์ และพิษณุโลก ที่มีสถานบริการของรัฐและเอกชนแต่ไม่เปิดเผยข้อมูล ขณะที่ 9 จังหวัดยังไม่มีสถานบริการยุติการตั้งครรภ์เลย ได้แก่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน น่าน สุโขทัย กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี
แม้ประเทศไทยจะมีสถานบริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยกระจายหลายพื้นที่ แต่การเข้าถึงและเงื่อนไขการใช้บริการยังแตกต่าง ทั้งในเรื่องระบบการเข้าถึง อายุครรภ์ และข้อกำหนดของผู้ปกครอง รวมถึงค่าใช้จ่าย ทำให้ความสะดวกและความเข้าใจของผู้หญิงที่ต้องการบริการยังไม่เท่าเทียมกัน
นอกจากนั้น บรรยากาศการบริการที่ไม่เป็นมิตรทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่ปลอดภัย สถานบริการหลายแห่งไม่มีบริการแต่ก็ไม่ส่งต่อหรือออกใบส่งตัวให้ ผลคือผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญความเสี่ยงด้วยตนเอง
เปิดข้อมูลสายด่วน 1663 ผู้หญิงภาคเหนือปรึกษาท้องไม่พร้อมเกินหมื่น ส่วนใหญ่เลือกยุติ

ข้อมูลจาก สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม (สายด่วน 1663) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 สิงหาคม 2568 มีผู้หญิงในภาคเหนือจำนวนกว่า 10,514 คน เข้ามาขอคำปรึกษาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือวัยทำงานระหว่าง 26–45 ปี จำนวนกว่า 4,459 คน รองลงมาคือวัยรุ่นที่มีอายุไม่เกิน 19 ปี จำนวน 2,758 คน สะท้อนว่าปัญหาท้องไม่พร้อมไม่ได้เกิดแค่ในวัยรุ่น แต่ยังกระจายไปถึงผู้ใหญ่ในวัยทำงานด้วย
เฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มาปรึกษา 2,304 คน ในจำนวนนี้กว่า 888 คนอยู่ในวัย 26–45 ปี และอีก 586 คนเป็นวัยรุ่น นอกจากนี้ยังมีผู้มาจากกลุ่มชาติพันธุ์ถึง 54 คน สะท้อนความเปราะบางของคนชายขอบเช่นกัน
ด้านผลการตัดสินใจ ผู้หญิงภาคเหนือกว่า 8,995 คนเลือกยุติการตั้งครรภ์ มีเพียง 182 คนที่ท้องต่อ ขณะที่เชียงใหม่มีผู้เลือกยุติการตั้งครรภ์ 1,909 คน เทียบกับ 35 คนที่เลือกท้องต่อ
ไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมเป็นแม่ สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ควรเข้าถึงง่ายกว่าเดิม

กาญจนา แถลงกิจ ผู้ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) และสมาชิกเครือข่ายสุขภาพผู้หญิงภาคเหนือ เล่าว่าแม้กฎหมายยุติการตั้งครรภ์ใหม่จะอนุญาตให้หญิงอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์เข้ารับบริการโดยไม่ผิดกฎหมาย พร้อมได้รับสิทธิ์ สปสช. ครอบคลุมค่าใช้จ่ายราว 3,000 บาทต่อครั้ง แต่การเข้าถึงบริการยังเต็มไปด้วยอุปสรรค
ในภาคเหนือ แม้มีแหล่งบริการเพิ่มขึ้น เช่น PDA, สวท., ศูนย์อนามัยเขต 1 โรงพยาบาลแม่และเด็ก และเครือข่ายอาสา RSA แต่ไม่ใช่ทุกจังหวัดมีคลินิกให้บริการทั่วภูมิภาค ผู้หญิงต้องเผชิญค่าเดินทาง ค่าที่พัก และต้องเดินทางหลายครั้ง ซึ่งไม่รวมอยู่ในค่าใช้จ่ายที่ สปสช. จ่าย ทำให้ต้องจ่ายเอง หากเลือกคลินิกเอกชนก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
กาญจนาชี้ว่า แม้กฎหมายจะให้สิทธิ์ผู้หญิงวัย 15 ปีขึ้นไปเข้ารับบริการโดยไม่ต้องมีผู้ปกครอง แต่ในบางครั้งหน่วยบริการยังขอเอกสารหรือพยายามชะลอการตัดสินใจ ทำให้เกิดความเครียดและความล่าช้า ขณะเดียวกัน สภาพแวดล้อมทางศีลธรรมและวัฒนธรรมที่ตีตราการยุติการตั้งครรภ์ ทำให้ผู้หญิงรู้สึกกังวลเรื่องความลับและไม่กล้าเข้ารับบริการ แม้จะมีสิทธิ์ทางกฎหมายก็ยังไม่อาจเข้าถึงบริการได้อย่างปลอดภัยและเป็นมิตร สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และแรงงานข้ามชาติ ความเปราะบางยิ่งชัดเจน เพราะไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ ทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตัวเอง
“ในส่วนของผู้หญิง ผลกระทบคือความรู้สึกผิดหรือบาป ซึ่งอาจติดตัวไปตลอด หากไม่ได้รับการเยียวยาหรือสนับสนุนทางจิตใจ ความเชื่อเรื่องบาปมักถ่วงน้ำหนักต่อผู้หญิงฝ่ายเดียว ซึ่งเรามองว่ามันไม่ถูกต้อง”
การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนตั้งแต่ตั้งครรภ์จนเรียนจบ อาจใช้เงินตั้งแต่หลักแสนปลายๆ ไปจนถึงหลักสิบล้านบาท และยังต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อการดูแลและความรับผิดชอบต่อการเติบโตของเขา ดังนั้น การมีลูกจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่ต้องอาศัยการวางแผนครอบครัวอย่างรอบคอบ ประเมินทั้งศักยภาพและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นให้แน่ใจ การยุติการตั้งครรภ์จึงถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของการวางแผนครอบครัว หากครอบครัวประเมินแล้วว่าไม่สามารถมอบความพร้อมที่เพียงพอให้กับเด็กที่กำลังจะเกิดมาได้
กาญจนามองว่า การยุติการตั้งครรภ์เป็นเรื่อง สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์และสิทธิมนุษยชน ผู้หญิงควรมีสิทธิเลือกว่าจะมีหรือไม่มีบุตรเมื่อพร้อม พร้อมบริการที่ปลอดภัย เข้าถึงง่าย และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นมิตร ทั้งหน่วยบริการ ภาคประชาสังคม และสังคมโดยรวม ต้องปรับทัศนคติและสร้างความเข้าใจ เพื่อให้ผู้หญิงเข้าถึงสิทธิและบริการได้อย่างเท่าเทียม
“สังคมต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะพร้อมหรือเต็มใจที่จะเป็นแม่ และพวกเธอมีสิทธิ์เลือกว่าจะเป็นแม่หรือไม่ โดยไม่ควรถูกคาดหวังเรื่องบทบาทความเป็นแม่หรือเมียที่ดี”
อุปสรรคเหล่านี้ส่งผลต่อความเครียด ความกังวล และภาระทางสังคมของผู้หญิง เช่น การทอดทิ้งเด็กหรือปัญหาสุขภาพ และส่วนใหญ่ภาระเหล่านี้มักตกอยู่ที่ผู้หญิงฝ่ายเดียว เธอจึงย้ำว่าผู้หญิงมีสิทธิเลือกว่าจะเป็นแม่หรือไม่ และต้องสามารถเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์อย่าง ปลอดภัย เข้าถึงง่าย และได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นมิตร
ทางออกไม่ได้อยู่ที่หน่วยบริการเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงภาคประชาสังคมและสังคมโดยรวม ที่ต้องปรับทัศนคติและความคาดหวังต่อบทบาทของผู้หญิง เพื่อให้สิทธิและบริการเป็นจริงสำหรับทุกคน
สิทธิผู้หญิงอยู่ตรงไหน เมื่อสังคมไทยให้ความสำคัญกับ ‘เด็ก’ ที่ยังไม่เกิดมากกว่า ‘ผู้หญิงที่ต้องเป็นแม่’

ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ชี้ว่าภาพที่สังคมมักเข้าใจว่าผู้หญิงท้องไม่พร้อมส่วนใหญ่เป็น ‘คุณแม่วัยใส’ เป็นเพียงอคติ ข้อมูลจากกลุ่มทำทางระบุว่า ในช่วงมกราคม–มิถุนายน 2567 ผู้หญิงวัยทำงานอายุ 20 ปีขึ้นไปเผชิญปัญหาท้องไม่พร้อมมากที่สุด ขณะที่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปีมีส่วนน้อยเท่านั้น
“คนส่วนใหญ่ไม่อยากปล่อยให้ครรภ์ยืดเยื้อ เพราะยิ่งนานก็ยิ่งลำบากทั้งต่อตัวเองและทารก ไม่มีผู้หญิงคนไหน ตั้งใจท้องหรือรอให้ครรภ์มีอายุสูงๆ เพื่อทำแท้งตามที่สังคมบางส่วนตีความผิด”
ข้อมูลจากกลุ่มทำทางพบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ามาขอคำปรึกษามักอยู่ในช่วงอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และไม่มีใครอยากรอให้ครรภ์ยืดเยื้อ การตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์จึงมักเกิดจากการประเมินความพร้อมในการเลี้ยงลูก เช่น ผู้หญิงที่มีลูกอยู่แล้วเลือกยุติการตั้งครรภ์ เพราะประเมินแล้วว่าไม่สามารถดูแลลูกที่มีอยู่ให้เพียงพอได้ นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ ‘แม่ใจร้าย’ แต่เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ยากลำบากของผู้เป็นแม่
ชนฐิตาอธิบายว่า ปัญหาหลักในภาคเหนืออยู่ที่การเข้าถึงบริการและค่าใช้จ่าย แม้ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะครอบคลุมการตรวจครรภ์ การยุติการตั้งครรภ์ และการคุมกำเนิด แต่โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งไม่ได้ให้บริการ ครอบคลุมไม่ครบทุกจังหวัด บางจังหวัดไม่มีสถานพยาบาลรัฐเลย
ข้อมูลของมูลนิธิทำทางยังระบุว่า ผู้หญิงกว่า 80% มีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่สามารถจ่ายค่ารักษาได้เพียง 1,000–3,000 บาท หรือบางรายไม่มีเงินเลย ทำให้เข้าถึงบริการเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำราว 5,000 บาทได้ยาก นอกจากนี้ หลายโรงพยาบาลรัฐมีเงื่อนไขจำกัด เช่น รับเฉพาะกรณีที่ทารกพิการ ผู้ถูกข่มขืน หรือวัยรุ่น อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญคือการไม่เปิดเผยรายชื่อโรงพยาบาลที่ให้บริการ ทำให้ผู้หญิงไม่ทราบว่าจะเข้าถึงบริการที่ไหน ยิ่งทำให้การเข้าถึงบริการปลอดภัยเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงหลายคน
ชนฐิตามองว่า แม้กฎหมายยุติการตั้งครรภ์จะขยายเหตุผลครอบคลุมเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา แต่การบังคับใช้จริงยังไม่เป็นระบบ แพทย์ที่ไม่พร้อมสามารถปฏิเสธผู้ป่วยได้ แต่ต้อง ‘ส่งต่อทันที’ แต่ในความเป็นจริง การส่งต่อก็ยังไม่เป็นระบบเช่นกัน เนื่องจากยังมีโรงพยาบาลหลายแห่งไม่เข้าร่วมเครือข่าย RSA ผู้หญิงจึงถูกปฏิเสธหรือถูกต่อว่าก่อนต้องค้นหาสถานที่รับบริการเอง สุดท้ายหลายรายไปคลินิกเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
ชนฐิตาเน้นว่าปัญหานี้สะท้อนค่านิยมและทัศนะต่อการทำแท้ง หลายคนมองว่าการทำแท้งเป็นบาปหรือคือความไม่รับผิดชอบ ทั้งที่ผู้หญิงกว่า 80% เคยคุมกำเนิดแล้วแต่เกิดความผิดพลาดขึ้น นอกจากนี้ ทางเลือกอื่น เช่น การยกบุตรหรือขอรับความช่วยเหลือจากรัฐ ก็เข้าถึงยากและไม่ตอบโจทย์ผู้หญิงที่ไม่พร้อมตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ผลลัพธ์คือผู้หญิงบางคนต้องตั้งครรภ์ต่อทั้งที่ไม่พร้อม ส่งผลต่อปัญหาสังคมและการทอดทิ้งเด็ก ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับผู้เข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ ทำให้ยากจะเห็นภาพรวม
ชนฐิตาย้ำว่า สังคมไทยยังมอง ‘เด็ก’ เป็นศูนย์กลางของผลลัพธ์ เช่น คำพูดที่มักปรากฏในโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ ที่ว่า “ก็ดีแล้ว เด็กจะได้ไม่ลำบาก” แต่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ ‘ชีวิตของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์’ เลยว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้างในปัญหานี้ เธอยกตัวอย่างกรณีของต่างประเทศที่มีงานวิจัยชัดเจนว่า ผู้หญิงที่ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ตามความต้องการ มักเผชิญความรุนแรงในครอบครัว ต้องออกจากระบบการศึกษา หรือถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนว่าการตั้งครรภ์ไม่พร้อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้หญิงอย่างมาก
“ผู้หญิงที่ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ตามความต้องการได้ มักเผชิญความรุนแรงในครอบครัว ต้องออกจากระบบการศึกษา หรือถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจ สะท้อนว่าการตั้งครรภ์ไม่พร้อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้หญิงอย่างมาก”
ทำแท้งปลอดภัยกับการตีความทางกฎหมาย และการเข้าถึงที่ยังท้าทาย
แม้กฎหมายยุติการตั้งครรภ์ของไทยจะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงตัดสินใจเรื่องร่างกายตัวเองได้มากขึ้น แต่ชนฐิตามองว่า ยังมีหลายจุดที่สร้างอุปสรรคใหญ่ โดยเฉพาะมาตรา 301 ของประมวลกฎหมายอาญาเดิม ที่ลงโทษผู้หญิงที่ทำแท้งเองหรือยินยอมให้ผู้อื่นทำแท้ง แม้จะมีการแก้ไขเพื่อลดโทษแล้ว แต่ผู้หญิงที่ทำแท้งเองโดยไม่ได้พบแพทย์และอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ก็ยังถือว่ามีความผิดอาญา ทั้งที่ในความเป็นจริง หลายคนเข้าถึงแพทย์ไม่ได้ จึงต้องหายาทำแท้งทางออนไลน์ เสี่ยงทั้งต่อความปลอดภัยและต่อการถูกลงโทษตามกฎหมาย ชนฐิตาเห็นว่านี่สะท้อนทัศนคติของรัฐที่ยังมองการทำแท้งเป็นความผิดอาญามากกว่าการมองเป็นเรื่องสุขภาพ
ในขณะเดียวกัน ภาคเหนือยังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนสถานพยาบาล แม้บางจังหวัดจะมีบริการ Telemed หรือส่งยาทางไปรษณีย์ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงยาได้ อย่างไรก็ตาม บริการ Telemed ก็ยังไม่ตอบโจทย์ทุกคน เพราะผู้รับยาต้องไปอัลตราซาวด์ก่อน ทำให้อาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมา
ชนฐิตาชี้ว่าปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือ การทำให้กระบวนการเข้าถึงยา Telemed ฟรีจริงๆ ต้องไม่มีการถูกปฏิเสธหรือเรียกเก็บเงินเพิ่ม เพื่อให้ผู้หญิงที่ไม่มีเงินไปอัลตราซาวด์ยังสามารถเข้าถึงยาได้ ส่วนระยะยาวควรขยายบริการทั้งในเชิงจำนวนและเงื่อนไข ทุกจังหวัดควรมีสถานพยาบาลให้บริการ และเงื่อนไขต้องสอดคล้องกับกฎหมาย เช่น เปิดให้ทำได้ถึง 12 สัปดาห์ และให้ผู้หญิงอายุ 15 ปีขึ้นไปตัดสินใจเองโดยไม่ต้องบังคับผู้ปกครอง
อีกประเด็นสำคัญคือผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ มักเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อน ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ หรือความรุนแรงในครอบครัว ปัจจุบันในภาคเหนือมีเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ให้บริการเกิน 12 สัปดาห์ และทำได้ไม่เกิน 16 สัปดาห์ ทำให้ผู้หญิงต้องเดินทางไกล เสียค่าใช้จ่ายสูง และเผชิญอุปสรรคมากมาย
ชนฐิตาย้ำว่าการยุติการตั้งครรภ์ไม่ควรถูกมองว่าเป็นการทำบาปหรือทำร้ายชีวิต แต่ควรมองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้หญิงที่เผชิญสถานการณ์ยากลำบาก โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมควรให้บริการเอง ไม่ใช่พึ่งระบบส่งต่อเพียงอย่างเดียว และกรมอนามัยควรกระตุ้นโรงพยาบาลในสังกัดให้เปิดบริการมากขึ้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สิทธิในการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยและเท่าเทียม เป็นเรื่องของสุขภาพและสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพียงเรื่องศีลธรรม การสร้างระบบบริการที่ครอบคลุม ปลอดภัย และไม่กีดกันผู้หญิง เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถตัดสินใจเรื่องชีวิตและร่างกายของตัวเองได้อย่างแท้จริงทั้งในเชิงกฎหมายและในเชิงปฏิบัติ

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร