เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล
‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ ‘ปกาเกอะญอ’ ที่ดำรงชีวิตกันอย่างเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง บ้านเล็กกลางหุบเขานี้โอบล้อมด้วยผืนป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์ มีประชากรราว 900 คน รวมกว่า 200 ครอบครัว ผู้คนที่นี่ผูกพันกับผืนดิน สายน้ำ และป่าไม้ ราวกับทุกสิ่งเป็นสิ่งเดียวกัน บ้านหนองเต่าจึงเป็นที่รู้จักในฐานะหมู่บ้านที่ยืนหยัดอนุรักษ์ธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้เนิ่นนาน
แม้ชาวบ้านจะมีขนบธรรมเนียมและความเชื่อเฉพาะ แต่ผู้คนในชุมชนต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ภายใต้ความหลากหลายของอาชีพ ทั้งเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของกิจการเล็กๆ รีสอร์ท และปางช้าง ทุกคนดำเนินชีวิตในจังหวะที่พอดี เรียบง่าย ไปกับจังหวะของธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ‘ปัญหาที่ดิน’ ยังคงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตของชาวบ้านหนองเต่า เนื่องจากพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้อยู่ในเขตป่า ทั้งที่หมู่บ้านแห่งนี้มีประวัติการตั้งถิ่นฐานยาวนานกว่า 300 ปี
ผืนป่าคือชีวิต ภูมิปัญญาคนหนองเต่ากับการดูแลป่าต้นน้ำแม่วาง

หัวใจของการดำรงชีวิตของชาวบ้านหนองเต่าคือการทำไร่หมุนเวียน ระบบการปลูกพืชที่สอดคล้องกับธรรมชาติและภูมิปัญญาบรรพชน โดยจะปลูกข้าวหรือพืชไร่ในพื้นที่หนึ่งอยู่ประมาณหนึ่งปี จากนั้นจึงย้ายไปแปลงถัดไป เพื่อให้ดินได้พักและฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีใดๆ
ทุกๆ 7 ปี พี่น้องปกาเกอะญอจะเวียนกลับมาปลูกในแปลงเดิมอีกครั้ง วงจรที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายนี้ไม่ใช่การบุกรุกหรือเผาป่าอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการอยู่ร่วมกับป่าอย่างรู้คุณค่า
“ที่ดินไม่ใช่ของใคร ป่าไม่ใช่ของใคร เราเพียงขอใช้ แล้วคืนให้ธรรมชาติ” คือถ้อยคำเรียบง่ายที่สรุปหัวใจของวิถีชีวิตชาวหนองเต่าได้ครบถ้วน
บ้านหนองเต่าเป็นหนึ่งใน 19 หมู่บ้านภายใต้การปกครองขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่วิน โดย 13 หมู่บ้านเป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอทั้งหมด แหล่งน้ำสำคัญของพื้นที่ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งคนและป่าให้เติบโตไปพร้อมกันคือ ‘น้ำแม่วาง’ สายน้ำที่เริ่มต้นจากเทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาเดียวกับดอยอินทนนท์ ก่อนจะไหลรวมสู่แม่น้ำปิง
สำหรับชาวปกาเกอะญอ มีคำสอนที่สืบต่อกันมาเนิ่นนานว่า “อ่อที กะตอที อ่อกอ กะตอก่อ” แปลว่า “ดื่มน้ำต้องรักษาน้ำ ได้กินจากป่าต้องรักษาป่า” ถ้อยคำนี้ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือแนวทางดำเนินชีวิตที่ฝังอยู่ในทุกลมหายใจของชุมชน ตั้งแต่พิธีกรรม การเพาะปลูก ไปจนถึงการดูแลผืนป่า
เพื่อปกป้องป่าต้นน้ำ บ้านหนองเต่าจึงมี ‘คณะกรรมการลุ่มน้ำแม่วาง’ ที่เกิดจากความร่วมมือของคนในชุมชนเอง โดยชาวบ้านจะช่วยกันวางกติกาการใช้ป่าอย่างรอบคอบ เช่น ห้ามตัดไม้ในเขตป่าต้นน้ำ ห้ามเผา หรือถางพื้นที่โดยพลการ พร้อมกำหนดเขต ‘ป่าชุมชน’ ให้ชาวบ้านสามารถเข้าไปเก็บเห็ด สมุนไพร หน่อไม้ หรือผลไม้ป่าได้อย่างเหมาะสม ส่วน ‘ป่าใช้สอย’ ก็เปิดให้ตัดไม้สร้างบ้านได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตและปลูกต้นไม้ทดแทนทุกครั้ง
เมื่อถึงฤดูแล้ง ชาวบ้านจะร่วมแรงกันทำแนวกันไฟและลาดตระเวนตรวจป่า ป้องกันไฟไหม้ที่อาจลุกลามทำลายทุกชีวิตในผืนดินเดียวกัน เพราะรู้ดีว่า ไฟป่าไม่ได้เผาเพียงต้นไม้ให้มอดไหม้ แต่ยังพรากชีวิตสัตว์เล็ก จุลินทรีย์ในดิน และทิ้งหมอกควันที่ย้อนกลับมาทำร้ายผู้คนเอง
สำหรับบ้านหนองเต่า ป่าไม่ใช่เพียงภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังหมู่บ้าน หากแต่คือหัวใจของชีวิต เป็นทั้งร่มเงา ความอุดม และความสงบที่ทำให้ผู้คนที่นี่ดำรงอยู่ได้อย่างอ่อนโยน
คนและป่า วิถีชีวิตที่ซ้อนทับกับรากกฎหมาย
ปัญหาที่ดินทำกินของชาวบ้านในพื้นที่ป่า เป็นเงื่อนปมใหญ่ที่ประเทศไทยเผชิญมายาวนาน และยิ่งมองลึกลงไป ก็ยิ่งเห็นความซับซ้อนที่หยั่งรากในระบบกฎหมายและนโยบายของรัฐ นั่นคือ พื้นที่ป่าสงวน เขตอนุรักษ์ และที่ดินทำกินของชาวบ้านมักซ้อนทับกัน
ที่ผ่านมารัฐอ้างว่าพยายามคลี่คลายปัญหานี้ด้วยการออก มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งเปลี่ยนแนวทางจากจับกุม-ไล่รื้อ มาเป็นการสำรวจและจัดระเบียบพื้นที่เพื่อให้คนกับป่าอยู่ร่วมกัน แต่การปฏิบัติจริงกลับยังไม่ราบรื่น เพราะชาวบ้านหลายชุมชนต้องเผชิญขั้นตอนพิสูจน์สิทธิที่ซับซ้อนและล่าช้า
เกศริน ตุ่นแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่วิน เล่าว่า ตำบลแม่วินประกอบด้วย 19 หมู่บ้าน รวมราว 3,000 หลังคาเรือน มีประชากรกว่า 12,000 คน ในจำนวนนี้ 13 หมู่บ้านเป็นชาวปกาเกอะญอ ที่ยังคงดำรงชีพด้วยการเกษตรและวิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างเรียบง่าย
แม้ชุมชนเหล่านี้จะตั้งรกรากมานานนับร้อยปี เช่น บ้านหนองเต่า ที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์ยาวกว่า 300 ปี แต่ปัญหาสำคัญยังคงอยู่ นั่นคือ ชาวบ้านไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เพราะพื้นที่ทำกินส่วนใหญ่ถูกประกาศเป็นเขตป่า ทั้งที่ความเป็นจริงผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่มาชั่วอายุคน
อบต.แม่วินเริ่มขับเคลื่อนกระบวนการแก้ปัญหา ด้วยอำนาจตามกฎหมายกระจายอำนาจ พ.ศ. 2542 และมติคณะรัฐมนตรีปี 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยจัดเวทีประชาคมในปี 2557 เพื่อรับฟังเสียงของชาวบ้าน จนนำไปสู่การออก ‘ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบลแม่วิน ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน พ.ศ. 2560’ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560
“ผลจากข้อบัญญัตินี้ ทำให้เราสามารถออกหนังสือทะเบียนประวัติการใช้ที่ดินตำบลแม่วินให้แต่ละครัวเรือน เพื่อรับรองสิทธิการอยู่อาศัยและทำกิน ไม่ให้ถูกจับในข้อหาบุกรุกป่า แม้หนังสือนี้จะไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นหลักฐานว่าชาวบ้านใช้ที่ดินแปลงนี้จริง และจะไม่ขยายพื้นที่ออกไปอีก” เกศริน กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้บางส่วนจะได้รับอนุญาตให้อยู่และทำกิน แต่ชาวบ้านก็ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ชัดเจน และบางส่วนของรัฐยังมองชาวบ้านเป็นผู้บุกรุก เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามติ ครม. แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความหวัง แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง
สิทธิชุมชนอยู่ตรงไหน เมื่อกฎหมายยังไม่เข้าใจวิถีคนอยู่กับป่า
นอกจาก มติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 อีกหนึ่งเครื่องมือที่รัฐพยายามใช้จัดการปัญหาที่ดินคือ ‘โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ภายใต้นโยบายของ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ’ หรือ คทช. นโยบายนี้ประกาศขึ้นตั้งแต่ปี 2557 หลังรัฐประหาร โดยมีแนวคิดหลักคือการจัดสรรที่ดินของรัฐ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ หรือที่ดินของหน่วยงานรัฐ ให้กับชาวบ้านหรือเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมกำหนดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ เช่น ห้ามขยายพื้นที่ ทำกินในแปลงเดิม และต้องเข้าร่วมโครงการของรัฐ
ในทางทฤษฎี โครงการคทช. อาจดูเหมือนเป็นทางออก แต่ประสบการณ์จริงซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะโครงการนี้มักถูกใช้ควบคู่กับนโยบาย ‘ทวงคืนผืนป่า’ ทำให้หลายชุมชนถูกบังคับให้เซ็นเอกสารโดยไม่เข้าใจ ถูกจำกัดสิทธิ ขับไล่ หรือดำเนินคดี แม้อาศัยอยู่ก่อนประกาศเขตป่า การแบ่งพื้นที่เป็น 5 กลุ่มตามระดับความสูงและกำหนดเงื่อนไขต่างกันยิ่งทำให้วิถีชีวิตของชุมชนต้องปรับเปลี่ยน ชาวบ้านต้องจัดสรรที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินไปปลูกป่าตามสัดส่วน ข้อกำหนดเหล่านี้ยิบย่อยและปฏิบัติได้ยาก เจ้าหน้าที่รัฐมักเน้นแต่ข้อดีของโครงการโดยไม่อธิบายเงื่อนไขอย่างละเอียด ทำให้หลายคนไม่เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน บางครั้งจึงเสี่ยงถูกให้ออกจากพื้นที่ก่อนกำหนด
การพิสูจน์สิทธิของชุมชนที่ทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนก็เป็นเรื่องยาก เพราะต้องย้ายพื้นที่ทำกินอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าตั้งชุมชนก่อนประกาศเขตป่า ส่งผลให้บางกลุ่มไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ หรือถูกมองเป็นผู้บุกรุก สะท้อนให้เห็นว่ารัฐยังเข้าใจวิถีชีวิตของชุมชนไม่เพียงพอ ข้อกำหนดจึงไม่ครอบคลุมคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

กรณีหมู่บ้านหนองเต่า ชาวบ้านได้รวบรวมรายชื่อและวัดพื้นที่รายแปลงเรียบร้อย เหลือเพียงขั้นตอนยื่นหนังสือเข้าร่วมโครงการ แต่หลังพิจารณาแล้ว ชาวบ้านกลับตัดสินใจว่าจะต้องรื้อฟื้นและพิจารณาใหม่ เพื่อรักษาวิถีชุมชนอันเข้มแข็งไว้เพราะเห็นว่าข้อเสียอาจมากกว่าข้อดี
เมื่อมองผืนป่าและหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยขุนเขา วิถีชีวิตของชาวหนองเต่าไม่ได้เพียงพึ่งแผ่นดิน แต่ยังพึ่งพาความเข้าใจธรรมชาติและความเป็นธรรมจากระบบกฎหมายและนโยบาย การแก้ไขปัญหาที่ดินจึงไม่ใช่แค่การออกเอกสารหรือโครงการใดโครงการหนึ่ง แต่คือการฟังเสียงชุมชน ให้สิทธิและความมั่นคงกลับคืนสู่ผู้ที่อยู่ร่วมกับผืนป่าอย่างแท้จริง
ในท้ายที่สุด สิ่งที่ชาวบ้านต้องการไม่ใช่สิทธิชั่วคราวหรือเงื่อนไขซับซ้อน แต่คือความมั่นคงและศักดิ์ศรีในการใช้ชีวิตร่วมกับผืนป่าที่อยู่คู่กับชุมชนมานานหลายชั่วอายุคน
ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้โครงการศึกษาวิจัยและจัดตั้งคลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อมฯ ในรายวิชา การศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รายการอ้างอิง
เอกสารประกอบกิจกรรมเวทีสาธารณะ “วิพากษ์ 27 ปี เงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิคนอยู่กับป่า ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541”
Lanner. “จาก 27 ปีมติ ครม. สู่สรุป ‘คนอยู่กับป่า’ สิทธิชุมชนที่จับต้องได้”
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) . “ปรัชญาติดดินของชาวกะเหรี่ยงหนองเต่า จ.เชียงใหม่ และการแก้ไขปัญหาที่ดิน-ไฟป่าโดยพลังชุมชนท้องถิ่น”
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...