เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว
22 ตุลาคม 2568 น้ำปิงหนุนสูงเข้าท่วมตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ สถานการณ์น้ำหนุนในพื้นที่ ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก ถนนสายหลักบริเวณสะพานจามเทวี (ฮอด–ดงดำ) ทางหลวงหมายเลข 1012 ถูกตัดขาด ชาวบ้านต้องอ้อมไปใช้เส้นทางไกลกว่า 15 กิโลเมตร พื้นที่สวนลำไย กล้วย และข้าวโพดตลอดแนวแม่น้ำกว่า 10 กิโลเมตรจมอยู่ใต้น้ำ ผลผลิตที่กำลังจะเก็บเกี่ยวเสียหายเกือบทั้งหมด

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นภาพที่เกิดซ้ำแทบทุกสิบปีนับตั้งแต่สร้าง ‘เขื่อนภูมิพล’ หลายชุมชนบอกตรงกันว่า ‘น้ำหนุน’ คือเงื่อนไขชีวิตที่คนริมน้ำปิงหลีกไม่พ้น ทำให้ผลผลิตเสียหาย การสัญจรลำบาก และรายได้ของชุมชนหดหาย สำหรับคนฮอด เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ภัยพิบัติ หากแต่เป็น ‘วิถีที่ถูกบังคับให้ยอมรับ’ เป็นยถากรรมของผู้คนเหนือเขื่อนภูมิพล ผู้ต้องอยู่กับน้ำขึ้นน้ำลงที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้กำหนด
ความมั่นคงทางพลังงาน จุดเริ่มต้นชะตาชีวิตคนฮอดในเงาเขื่อน
‘เขื่อนภูมิพล’ ถือเป็นเขื่อนคอนกรีตโค้งที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลกในเวลานั้น (ปี 2507) ข้อมูลตามโครงการระบุว่า เขื่อนแห่งนี้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 560 เมกะวัตต์ หรือราว 2,200 ล้านยูนิตต่อปี ครอบคลุม 36 จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยชลประทานกว่า 3.5 ล้านไร่ และเอื้อต่อการคมนาคมทางน้ำจากนครสวรรค์ถึงอำเภอฮอด รวมทั้งกักเก็บน้ำได้ถึง 12,200 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วยบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำปิง
ย้อนกลับไปช่วงปี 2470 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงไฟฟ้าวัดเลียบและสามเสนได้รับความเสียหาย ทำให้กรุงเทพฯ ขาดแคลนไฟฟ้าอย่างรุนแรง ความต้องการพุ่งถึง 129 เมกะวัตต์ ขณะที่กำลังการผลิตมีเพียง 70 เมกะวัตต์ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามจึงพิจารณาสร้างไฟฟ้าพลังน้ำอีกครั้ง แต่ติดข้อจำกัดด้านงบประมาณและสถานการณ์ระหว่างประเทศ
กระทั่งหลังจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารในปี 2500 ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ก็แน่นแฟ้นขึ้น ทำให้ไทยได้รับเงินกู้จากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย รวมถึงความรู้และการสนับสนุนจาก USAID การขึ้นสู่อำนาจของเขาเปิดทางให้รัฐส่วนกลางวางแผนพัฒนาประเทศแบบรวมศูนย์ ผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยไฟฟ้ากลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนเศรษฐกิจ ตามวลีของจอมพล สฤษดิ์ว่า ‘น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ’
‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ จึงถูกสถาปนาขึ้นมาอย่างเป็นทางการ ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงของชาติ โดยมีสหรัฐฯ เป็นกองหนุนสำคัญ ทำให้อำนาจการวางแผนพัฒนาไฟฟ้าไทยอยู่ในมือของรัฐส่วนกลางจากกรุงเทพฯ โดยในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 ได้กำหนดเป้าหมายสำคัญด้านการพัฒนาไฟฟ้า นั่นก็คือ ก่อสร้างเขื่อนยันฮีให้แล้วเสร็จในปี 2506
จุดเริ่มต้นของ ‘เขื่อนยันฮี’ เกิดขึ้นในปี 2492 เมื่อหม่อมหลวงชูชาติ กำภู อธิบดีกรมชลประทาน เสนอแนวคิดสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าต่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ต่อมาในปี 2494 มีการตั้งคณะกรรมการสำรวจพื้นที่ทั่วประเทศ และพบว่าบริเวณเขายันฮี อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เหมาะสมที่สุด
ปี 2496 ไทยว่าจ้างบริษัท EBASCO Services Inc. จากสหรัฐฯ สำรวจและออกแบบโครงการ ‘เขื่อนผลิตไฟฟ้ายันฮี’ เพื่อผลิตพลังงานจากน้ำ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมัน จึงหันมาพึ่งพาพลังงานภายในประเทศอย่างน้ำและถ่านหิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เมื่อเข้าสู่ปี 2500 การก่อสร้างเขื่อนยันฮีต้องใช้งบ 2,000 ล้านบาท (ในตอนนั้นไทยมีงบเพียง 700 ล้านบาท) จึงกู้เงินธนาคารโลก 1,300 ล้านบาท ซึ่งถูกฝ่ายค้านคัดค้านเรื่องหนี้สินและผลกระทบทรัพยากรธรรมชาติ แต่สุดท้ายโครงการผ่านมติสภา โดยได้รับพระราชทานชื่อเป็น ‘เขื่อนภูมิพล’ และก่อตั้งการไฟฟ้ายันฮี (กฟย.) เพื่อดูแลโครงการ
การก่อสร้างเริ่มในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ โดยที่ปรึกษาและผู้รับเหมาจากสหรัฐฯ ทำงานร่วมกับแรงงานไทยกว่า 1,500 คน มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 39 คน โครงการใช้ทรัพยากรมหาศาล ต้องจัดตั้งบริษัทชลประทานซีเมนต์ จำกัด ผลิตคอนกรีตกว่า 300,000 ตัน พร้อมสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะและพระนครเหนือเพื่อจ่ายไฟระหว่างก่อสร้าง เมื่อแล้วเสร็จในปี 2507 เขื่อนยันฮี (ภูมิพล) ก็ได้เปิดยุคทองของการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในไทย ตามด้วยโครงการเขื่อนอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น เขื่อนท่าปลา (สิริกิติ์) ในอุตรดิตถ์ และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ในเชียงใหม่
เบื้องหลังภาพอันงดงามของเขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของประเทศในยุคนั้น กลับแฝงไว้ด้วยผลกระทบที่ผู้คนในชนบทภาคเหนือต้องแบกรับไว้โดยไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการสร้างเขื่อนนำมาซึ่งการเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านเพื่อใช้สร้างอ่างเก็บน้ำ ชุมชนบริเวณนั้นต้องจมอยู่ใต้บาดาล เป็นเหตุให้ต้องอพยพชาวบ้าน 5,000 ครัวเรือน ออกจากพื้นที่ ได้แก่ อําเภอสามเงา จังหวัดตาก อําเภอฮอด อําเภอจอมทอง อําเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ และอําเภอลี้ จังหวัดลําพูน โดยภาครัฐมีการจ่ายเงินทดแทน และจัดสรรที่ดินสําหรับนิคมสร้างตนเองรวมทั้งสร้างสาธารณูปโภคให้ใหม่ แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ยถากรรมคนเหนือเขื่อน’



ชะตาคนฮอด ด่านรับน้ำแทนเมืองหลวง
อำเภอฮอดตั้งอยู่ตามแนวลำน้ำปิงที่ไหลลงจากดอยเชียงดาว ผ่านทุ่งนาเข้าสู่พื้นที่ราบระหว่างภูเขา ในอดีตที่นี่เป็นชุมชนที่เติบโตจากน้ำ ผู้คนผูกพันกับแม่น้ำปิงทั้งในชีวิตและวัฒนธรรม เคยรุ่งเรืองด้วยการค้าทางน้ำ เป็นเมืองท่าสำคัญของภาคเหนือ มีวัดถึง 99 แห่งและเจดีย์เรียงรายสองฝั่งน้ำ เป็นศูนย์รวมศรัทธาและศิลปะของผู้คนหลายชั่วอายุ
ปี 2502 ทางการเริ่มเวนคืนที่ดินหลายหมู่บ้านในตำบลฮอด เพื่อย้ายไปอยู่ตำบลหางดงและอำเภอดอยหล่อ แต่ชาวบ้านจำนวนมากปฏิเสธ เพราะพื้นที่ใหม่ขาดสาธารณูปโภคและไม่เหมาะต่อการทำกิน หลายครอบครัวยังคงอยู่ใกล้ถิ่นเดิม

จักรกริช คำสุข ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลฮอด เล่าย้อนว่า หลังเขื่อนภูมิพลสร้างเสร็จในปี 2506 ระดับน้ำในพื้นที่ค่อยๆ สูงขึ้น ทางการจึงย้ายที่ตั้งอำเภอฮอดจากตำแหน่งเดิมไปอยู่บ้านห้วยส้มป่อย ส่วนชาวบ้านหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านหลวงฮอด ต้องอพยพออกจากพื้นที่น้ำท่วม รัฐเวนคืนที่ดินสมัยปู่ย่าตายาย เพื่อให้ย้ายถิ่น แต่พื้นที่ใหม่กลับขาดความพร้อม วิถีชีวิตของชาวบ้านส่วนใหญ่พึ่งพาน้ำและปลา การย้ายไปบนพื้นที่สูงจึงไม่เอื้อต่อการหาเลี้ยงชีพ หลายครอบครัวเลยเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้พื้นที่เดิม

“ถามว่าทำไมถึงอยู่ตรงนี้ต่อ ทั้งที่พื้นที่น้ำท่วม ต้องเข้าใจนะครับว่า ชาวบ้านอยู่ที่นี่มาก่อนเขื่อนภูมิพลสร้างเสียอีก ดูประวัติศาสตร์วัดสันหนองก็เป็นโบราณสถานอายุกว่า 1,000 ปี ชาวเมืองฮอดสร้างมาก่อนเขื่อนภูมิพล ที่มีอายุเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น”
เขาเล่าว่าตั้งแต่ปี 2545 น้ำเหนือเขื่อนหนุนท่วมพื้นที่เป็นระยะๆ เกิดวงจรซ้ำทุก 10 ปี ก่อนจะถี่ขึ้นเป็นทุก 2 ปีในช่วงหลัง เช่น ปี 2554, 2556, 2560, 2566 และ 2568 แม้รัฐจะเคยจ่ายค่าชดเชยเมื่อปี 2506 ครัวเรือนละ 200 บาท แต่ก็ไม่ใช่การเยียวยาที่เพียงพอ
“วิถีชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก ถนน น้ำท่วมทำให้สัญจรลำบาก รถพยาบาลจากตำบลนครเรือไปอำเภอฮอด ระยะทางแค่ 10 กว่ากิโล ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เดิมใช้เวลาแค่ 10–15 นาที ชีวิตคนมีความหมายมากกับช่วงเวลาที่ใช้เดินทาง”
จักรกริชอธิบายว่า ปัจจุบันพื้นที่รับน้ำหน้าเขื่อนมีระดับเฉลี่ย 2–2.4 เมตร หากน้ำเต็มความจุ 2.6 เมตร พื้นที่จะถูกท่วมทั้งหมด บ้านดงดำต้องใช้เรือข้ามฟาก กระทบต่อการเดินทาง การศึกษา และการรักษาพยาบาล
“เรารู้สึกเหมือนเป็น ผู้รับน้ำแทนคนอื่น เพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ ชาวบ้านต้องอยู่แบบไม่สบายใจ คอยเฝ้าระวัง พืชผลเสียหายซ้ำทุกปี ปีนี้ก็หนักมาก และยังไม่รู้ว่าจะรุนแรงกว่านี้หรือไม่ พื้นที่ของเรายังไม่ได้รับคำชี้แจงจากเขื่อนภูมิพลเลย เงียบมาตลอด”
บาดแผลซ้ำซากจากเขื่อน การเยียวยาที่ไม่ถึงชุมชน
จากบทสัมภาษณ์ของสำนักข่าวประชาไทที่เผยแพร่ในปี 2555 ภาพการแก้ปัญหาและเยียวยาของรัฐต่อชุมชนฮอดยังเห็นได้ชัดว่า ‘ไม่ตอบโจทย์ชุมชน’ พ่อหนานไล อุ่นใจ เล่าว่า ก่อนสร้างเขื่อน เจ้าหน้าที่สัญญาว่า ชาวบ้านจะมีไฟฟ้าใช้ ชีวิตจะสะดวกขึ้น และจะมีการชดเชยค่าเสียหาย บ้านคิดเป็นเมตร ที่ดินคิดเป็นไร่ ไร่ละ 400–500 บาท หลายครอบครัวจึงยอมอพยพขึ้นไปสร้างบ้านใหม่บนพื้นที่สูง

แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงก็คือ การชดเชยและการเยียวยาเต็มไปด้วยปัญหาและวิธีการรับความช่วยเหลือแบบแปลกๆ เช่น จะจ่ายค่าชดเชยสำหรับต้นไม้ฉำฉาริมน้ำของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ค่าชดเชยเพียง 2 บาทต่อกาบไม้ แต่ต้องเป็นไม้ฉำฉาที่มีอายุแก่ ส่วนไม้หนุ่มจะไม่ได้รับการเยียวยาอะไรเลย
“คนเฒ่าสมัยก่อนนั้นกลัว ใครมาบอกก็เชื่อ ก็ไปกัน คนที่มีเงินก็มาซื้อเอาไร่เอานาเราไปเสีย แต่เราได้มาก็กินก็จ่ายกันไปอย่างนั้น”
“ถ้าเป็นรุ่นเดี๋ยวนี้ ก็อาจจะไม่ได้สร้างเขื่อน จะมีการเดินขบวนประท้วง แต่รุ่นนั้นคนเฒ่าสมัยก่อนนั้นเกิดความกลัว แต่รัฐบาลก็มาพูดว่าเราจะได้มีแสงสว่าง คนเฒ่าเมื่อก่อนก็เลยยอมเซ็น ลงชื่อลงนาม ก็เลยเกิด การสร้างเขื่อนภูมิพลขึ้นมา”
“สมัยก่อนมีการต่อต้านเขื่อนภูมิพลเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีการให้อะไรกับฮอดเลย โดยการขอไปสองอย่าง คือท่าน้ำ แต่ก็ไม่มีการตั้งให้”
นั่นคือเสียงบอกเล่าของชาวบ้านในช่วงนั้น แม้บางกลุ่มเคยต่อต้าน แต่เสียงคนฮอดไม่เคยถูกได้ยิน รัฐไม่จัดท่าน้ำหรือสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่ร้องขอ พื้นที่ถูกน้ำท่วมมีทั้งที่เวนคืนและไม่ได้เวนคืน ทำให้หลายครอบครัวสูญเสียที่ดินโดยไม่ได้ชดเชย
เสียงจากคนเหนือเขื่อน

ในอำเภอฮอด สวนลำไยคือชีวิตของชาวบ้าน แต่ทุกปีพวกเขากลับต้องเผชิญกับน้ำท่วมและภัยแล้งสลับกันไป น้ำท่วมหลายเดือนทำให้ต้นลำไยเน่า หลังน้ำลดก็เจอภัยแล้งจัด สวนลำไยจึงเสียหายเกือบทุกปี ชาวบ้านต้องทนอยู่กับน้ำหนุนที่คงท่วมขังสองถึงสามเดือน เป็นวัฏจักรซ้ำซากที่ไม่มีใครเข้ามาแก้ไข

พรเทพ ชาติบุรุษ เกษตรกรสวนลำไย บ้านหลวงฮอด เล่าว่า น้ำท่วมหนักที่สุดเกิดปี 2518 และอีกครั้งปี 2554 ซึ่งปีนั้นพายุและฝนตกต่อเนื่องทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะเขื่อนภูมิพลยังเก็บน้ำ อีกทั้งการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวงยิ่งทำให้พื้นที่ทำกินลดลงไปอีก เมื่อพื้นที่ตอนล่างเป็นเขตกักเก็บน้ำ ข้างบนก็เป็นเขตอุทยาน ชาวบ้านจึงไม่มีทางเลือก ต้องปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และประคับประคองชีวิตไป
“เราก็อยากให้ทางราชการช่วยดูแลเรื่องถนนและการคมนาคม ถึงแม้ว่าจะเป็นเขตน้ำท่วม แต่ก็ขอให้ถนนสูงพ้นน้ำ และช่วยเหลือเรื่องหนี้สินของเกษตรกร เช่น ลดดอกเบี้ย ให้กู้เงินฉุกเฉิน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถลงทุนและฟื้นตัวต่อไป”
พรเทพเน้นถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือจากรัฐว่า ชาวบ้านต้องการถนนสูงพ้นน้ำ ระบบสาธารณูปโภค และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น ลดดอกเบี้ย กู้เงินฉุกเฉิน เพื่อให้ชาวบ้านลงทุนและฟื้นตัวได้
“คนอำเภอฮอดเสียสละ พื้นที่ของเราใช้เป็นเขตกักเก็บน้ำของเขื่อน แต่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรกลับมา ไฟฟ้า ถนน โรงเรียน เราต้องสร้างเอง เราอยากให้รัฐบาลช่วยดูแลเรื่องนี้ อยากให้ช่วยสนับสนุนเด็กนักเรียน ระบบสาธารณูปโภค และหนี้สินของเกษตรกร เพราะบางคนกู้เงินมาชดใช้หนี้ไม่พอ ต้องหมุนไปหมุนมา จนตกทอดเป็นมรดกให้ลูกหลาน”
เขาย้ำว่า ชาวบ้านไม่เคยได้รับมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างจริงจังสักครั้ง ปัญหายืดเยื้อจนกระทบไปถึงการประกอบอาชีพ ทำให้บางครั้งเกษตรกรต้องเสี่ยงปลูกพืชในเขตที่อาจถูกน้ำท่วม โดยมองว่าอย่างน้อยน้ำท่วมใหญ่มักเกิดในรอบสิบปี ทำให้อาจจะยังพอเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทัน แต่เมื่อช่วงหลังมานี้น้ำท่วมเกิดขึ้นต่อเนื่องมากขึ้น ส่งผลให้พืชผลที่ปลูกเสียหายไวกว่าที่คิด ต้องเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ก็อยากให้เขื่อนภูมิพลช่วยดูแลเรื่องงบประมาณบ้างครับ เพราะน้ำที่อำเภอฮอดถูกนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเขื่อนก็ได้กำไรจากตรงนั้นอยู่แล้ว อยากให้ท่านแบ่งปันกำไรส่วนนั้นกลับมาช่วยเหลือพี่น้องคนอำเภอฮอดบ้าง”
กองทุนพัฒนาไฟฟ้าโรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล กลไกเยียวยาที่แตะไม่ถึงรากของปัญหา
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 กำหนดจัดตั้ง ‘กองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า’ ทั่วประเทศ เพื่อใช้รายได้จากโรงไฟฟ้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ใกล้โรงไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ปีเดียวกัน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแนวทางดังกล่าว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จึงจัดตั้ง ‘กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล’ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เพื่อให้ประชาชนรอบเขื่อนภูมิพลได้รับประโยชน์โดยตรงจากรายได้ของเขื่อน โดยกำหนดวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมอาชีพ การศึกษา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมบริหารจัดการกองทุนอย่างเป็นระบบ
“เรื่องเงินสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน มีหมู่บ้านที่ได้กองทุน รวม 19 ตำบลที่อยู่เหนือเขื่อนในเขตเชียงใหม่ ทุกปีงบของกองทุนก็จะเข้ามา พอเงินกองทุนเข้ามา กรรมการแต่ละตำบลก็ต้องจัดสรรเงินให้แต่ละหมู่บ้าน จำนวนเงินก็จะระบุชัดเจนต่อปี”

มงคล โกฎธิ คณะกรรมการกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล อำเภอฮอด อธิบายว่า งบประมาณกองทุนครอบคลุม 19 หมู่บ้านรอบเขื่อนเชียงใหม่ เช่น ตำบลจอมทอง วัดแปะ และบัวสี โดยทุกปีงบจะถูกจัดสรรอย่างชัดเจน ปี 2568 มีงบประมาณรวม 37 ล้านบาท แบ่งไปทั้งโครงการต่างๆ งบบริหาร และงบกลางสำหรับอำเภอ เช่น โรงพยาบาลและโรงเรียน
เขาอธิบายเพิ่มว่า วิธีคำนวณเงินมาจากส่วนกลางของกองทุน เขต 1 ที่พิษณุโลก และมีสัดส่วนจากรายได้ขายไฟฟ้า เช่น 2% จากเขื่อนภูมิพล ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนต่างๆ และมีการตรวจสอบภายในอย่างละเอียด พอเงินมาถึงชุมชน กรรมการต้องประชุมชี้แจงให้ชัดเจนว่าปีนี้งบประมาณมาเท่าไหร่ จัดสรรไปเท่าไหร่ และงบกลางเหลือเท่าไหร่ รายละเอียดปลีกย่อยจะนำไปใช้ซื้อวัสดุ จ้างงานในพื้นที่ และทำโครงการต่างๆ
“เราจะดูว่าปีนี้งบมาเท่าไหร่ จัดสรรไปเท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่ แล้วงบกลางก็จะถูกใช้ในอำเภอ โรงพยาบาล โรงเรียน ส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช้ซื้อวัสดุ จ้างงานในพื้นที่ ทำโครงการต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้รับประโยชน์จริงๆ”
จากเขื่อนภูมิพลถึงโครงการผันน้ำยวม การพัฒนาที่อาจซ้ำเติมความเดือดร้อน
แม้กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แต่ในความเป็นจริง ชาวบ้านหลายพื้นที่ยังคงเผชิญกับปัญหาที่ซ้ำซากและแทบไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง
“จริงๆ แล้ว ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่าเกี่ยวพันกับเขื่อนโดยตรง เพราะทุกปีพี่น้องในพื้นที่ต้องเผชิญปัญหาเดิมซ้ำๆ ทั้งน้ำท่วม เอกสารสิทธิ์ที่ไม่มี รวมถึงเรื่องทางเบี่ยงน้ำที่ยังไม่ถูกแก้ไข”
วันไชย ศรีนวน อดีตผู้ใหญ่บ้านแม่งูด ตำบลนาคอเรือ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เล่าถึงปัญหาที่ซ้อนทับมากับเขื่อนภูมิพลว่า ทุกปีพี่น้องในพื้นที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เดิมซ้ำซาก ทั้งน้ำท่วม ปัญหาเอกสารสิทธิ์ และทางเบี่ยงน้ำที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เขาย้ำว่า ชาวบ้านได้เสียสละพื้นที่ไปมากตั้งแต่การสร้างเขื่อน แต่กลับไม่ได้รับสิทธิ์ในที่ดินอย่างแท้จริง
“เขาคงคิดว่าไม่ใช่กรุงเทพฯ หรืออาจมองว่าพวกเราเป็นคนชายขอบ ทั้งที่เราก็คนไทยเหมือนกัน มีบัตรประชาชนเหมือนกัน ไม่ต้องอะไรมาก แค่ทำถนนราดยางดีๆ ยกให้สูงหน่อย เพื่อให้คนในชุมชนไปมาสะดวก อันดับแรกต้องมาจากเขื่อนภูมิพล และอันดับต่อไปคือรัฐบาล ถ้ารัฐบาลใส่ใจพี่น้องคนเหนือเขื่อนจริงๆ น้ำก็จะไม่ท่วมซ้ำๆ แบบนี้”
เขายังกล่าวถึงข้อกังวลต่อโครงการใหม่ที่อาจซ้ำเติมชุมชนอย่าง ‘โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล’ ที่จะผันน้ำจากแม่น้ำยวมเพิ่มให้กับเขื่อนภูมิพล ซึ่งเขามองว่าไม่เกิดประโยชน์ต่อชาวบ้าน เพราะช่วงหน้าฝนน้ำก็ล้นอยู่แล้ว การผันน้ำยิ่งทำให้ท่วมหนักขึ้น เขาเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการนี้ และหาทางออกที่สร้างประโยชน์ร่วมกันมากกว่าการเพิ่มความเดือดร้อน

‘โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล’ หรือ ‘โครงการผันน้ำยวม’ คือแผนผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำยวมตอนล่าง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มายังเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ผ่านการก่อสร้างเขื่อนสูง 69 เมตร ที่อำเภอสบเมย พร้อมอ่างเก็บน้ำขนาด 2,075 ไร่ ความจุราว 68 ล้านลูกบาศก์เมตร และสถานีสูบน้ำบ้านสบเงา ซึ่งจะสูบน้ำผ่านอุโมงค์คอนกรีตยาว 61 กิโลเมตร เจาะทะลุป่ารอยต่อสามจังหวัด ประกอบด้วย แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ คร่อมพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 1 แห่ง และป่าสงวน 6 แห่ง ก่อนระบายน้ำออกที่บ้านแม่งูด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ระบบนี้ออกแบบให้สูบน้ำขึ้นจากบ้านสบเงาสู่ระดับสูงราว 170 เมตร แล้วปล่อยน้ำไหลตามแรงโน้มถ่วงสู่เขื่อนภูมิพล เพื่อลดการใช้พลังงานระหว่างทาง แต่กลับต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 71,000 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างราว 9 ปี และยังต้องแบกรับค่าบำรุงรักษา ปีละ 328 ล้านบาท รวมถึงค่าไฟฟ้าเดินระบบอีกราว 2,443 ล้านบาทต่อปี โดยยังไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้
ทั้งหมดนี้ เพื่อเพิ่มน้ำเข้าสู่เขื่อนภูมิพลปีละเพียง 1,795 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น ไม่ถึง 10% ของความต้องการใช้น้ำทั้งหมดของลุ่มน้ำเจ้าพระยา โครงการที่กินพื้นที่กว่า 36 หมู่บ้านในอำเภอสบเมยและอำเภอฮอด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาป่าและลำน้ำในการดำรงชีวิต จึงอาจต้องเผชิญผลกระทบซ้ำซ้อนจากการสูญเสียพื้นที่ทำกิน ระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลง และงบประมาณมหาศาลที่อาจไม่ได้แก้ปัญหาน้ำอย่างแท้จริง
“โครงการผันน้ำยวมที่จะมาซ้ำเติมชุมชนอีก โครงการนี้เขาจะผันน้ำมาเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนภูมิพล ซึ่งมันไม่มีประโยชน์กับพวกเราชาวบ้านเลย เพราะช่วงหน้าฝนน้ำก็เยอะอยู่แล้ว ยิ่งผันมากก็ยิ่งทำให้ท่วมหนักกว่าเดิม ผมอยากให้ยกเลิกโครงการนี้ไปเลย เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรชุมชนเลยจริงๆ เราควรหาทางออกที่ร่วมกันได้มากกว่า”
ฮอดกับยถากรรมที่ถูกบังคับให้ยอมรับ




ผลประโยชน์จากเขื่อนภูมิพลต่อเมืองใหญ่ ฟังดูเป็นสิ่งสวยหรู ทั้งไฟฟ้า ชลประทาน และการป้องกันน้ำท่วมในลุ่มน้ำปิงตอนล่าง แต่สำหรับชาวบ้านอำเภอฮอด ผลกระทบคือ ‘ยถากรรมที่ถูกบังคับให้ยอมรับ’ พื้นที่ทำกินถูกน้ำท่วมซ้ำซาก การสัญจรยากลำบาก และรายได้หดหาย กลายเป็นชะตากรรมที่ตกทอดต่อคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
แม้จะมีโครงการกองทุนและมาตรการเยียวยา แต่ความไม่สม่ำเสมอของงบประมาณ ความล่าช้า และข้อจำกัดด้านสาธารณูปโภค ทำให้การฟื้นตัวของชุมชนเป็นไปอย่างจำกัด น้ำท่วมซ้ำซากยังคงทำลายพืชผลและชีวิตความเป็นอยู่ ชาวบ้านต้องปรับตัวและต่อสู้เพื่อให้ความเป็นอยู่ยังคงอยู่ แม้จะอยู่เหนือเขื่อนมาเป็นเวลาหลายสิบปี
เรื่องราวของคนฮอดจึงสะท้อนถึงความย้อนแย้งของพลังงานแห่งชาติและความยากลำบากของผู้คนเหนือเขื่อน ที่ต้องรับน้ำแทนเมืองใหญ่โดยไม่อาจกำหนดชะตาตนเองได้เลย เป็นภาพสะท้อนชัดเจนของการพัฒนาแบบไม่สมดุลระหว่างผลประโยชน์ของรัฐและความเป็นอยู่ของชุมชนริมลำน้ำ
รายการอ้างอิง
กฟผ. เขื่อนภูมิพล (จ.ตาก)
ประชาไท. เรียนรู้ ‘ฮอด’ ชุมชนเก่าแก่ บทเรียนก่อนและหลังกำเนิดเขื่อนภูมิพล (ตอน 3)
ประชาไท. เรียนรู้ ‘ฮอด’ ชุมชนเก่าแก่ บทเรียนก่อนและหลังกำเนิดเขื่อนภูมิพล (ตอน 4)
สำนักข่าวชายขอบ. ทุกข์เหนือเขื่อน “เมืองฮอด”คนชายขอบ
Lanner. คนฮอดเดือดร้อน น้ำหนุนจากเขื่อนภูมิพลท่วมซ้ำทุกสิบปี พืชผลทางการเกษตรเสียหายยกสวน
Lanner. จากเขื่อนยันฮีสู่ปากแบง และการสร้างชาติด้วยน้ำตาชนบท
กรมชลประทาน. โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล
ระเบียบกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร






