เรื่อง: เพ็ญณิชา ประถมเสาวนีย์, ภาพ: ปาริชาต ศรีสวัสดิ์

13 ตุลาคม 2568 นักศึกษาวิชาการศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเวที ‘When Data Speaks เมื่อข้อมูลพูดได้ บทเรียนจากคลิตี้ถึงแม่น้ำกก’ ณ บ้านแก่งทรายมูล ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านได้ร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำ โดยเฉพาะกรณีแม่น้ำกกที่พบการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ

ภายในงาน ชาวบ้านบ้านแก่งทรายมูลเข้าร่วมอย่างคึกคัก พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ ธนกฤษ โต้งฟ้า ชาวบ้านจากคลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี ผู้มีประสบการณ์ต่อสู้คดี ‘สารตะกั่วปนเปื้อนลำห้วยคลิตี้’ มานานกว่า 20 ปี
บทเรียนจาก ‘ลำห้วยคลิตี้’ สู่การต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชน

หมู่บ้านคลิตี้ล่างเป็นชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 ใช้ชีวิตเรียบง่ายและพึ่งพาธรรมชาติ โดยมี ‘ลำห้วยคลิตี้’ เป็นแหล่งน้ำหลักในการอุปโภคบริโภค
แต่เมื่อปี พ.ศ. 2518 บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาตั้งโรงแต่งแร่บริเวณริมห้วย การทำเหมืองต่อเนื่องยาวนานทำให้สารตะกั่วซึมลงสู่แหล่งน้ำ จนเกิดการปนเปื้อนรุนแรง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ชาวบ้านเริ่มป่วยด้วยอาการผิดปกติ ทั้งท้องร่วง ปวดศีรษะ ปวดกระดูก ชา ตาบอด หรือเสียชีวิต ขณะที่หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตร และทารกบางรายมีความผิดปกติทางร่างกายและสมอง รวมถึงสัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำในลำห้วยที่ทยอยตายจำนวนมาก
ปี พ.ศ. 2545 สาธารณสุขจังหวัดประกาศห้ามใช้น้ำจากลำห้วย ชาวบ้านจึงรวมตัวเรียกร้องความเป็นธรรม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2558 พวกเขายื่นฟ้องบริษัทเหมืองและกรมควบคุมมลพิษในข้อหาละเลยหน้าที่
สองปีต่อมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ และเยียวยาความเสียหายให้กับชุมชนจนกว่าระดับสารตะกั่วในน้ำ ดิน พืช และสัตว์น้ำจะกลับสู่มาตรฐาน

ธนกฤษกล่าวย้ำว่า ‘สิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ไม่อาจละเมิดได้’ พร้อมชี้ให้เห็นความสำคัญของการเก็บข้อมูลพื้นฐานของชุมชนในฐานะหัวใจของการต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม
“แม้จะมีนักข่าว นักวิชาการ นักกฎหมาย หรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาสัมภาษณ์มากมาย จนบางครั้งเราก็เหนื่อย แต่เรายังต้องให้ข้อมูล เพราะเสียงของเรา คือสิ่งที่จะบอกให้โลกรู้ว่าเรากำลังได้รับผลกระทบอยู่” ธนกฤษกล่าว
ใช้ข้อมูลเป็นอาวุธแห่งการเปลี่ยนแปลง
นอกจากการแลกเปลี่ยนบทเรียนจากคลิตี้แล้ว เวทียังมี Workshop เครื่องมือ 7 ชิ้น สำหรับการเก็บข้อมูลพื้นฐานของชุมชน เช่น ข้อมูลทรัพยากร เครือข่ายความสัมพันธ์ ระบบสุขภาพ และเครือข่ายทางสังคม
โดยมี เพ็ญณิชา ประถมเสาวนีย์ และ สุพศิน สุทธิวรวิทย์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มช. เป็นผู้สาธิตการใช้เครื่องมือ พร้อมอธิบายว่า ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้ชุมชนวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และสามารถใช้เป็นหลักฐานในการเสนอข้อเรียกร้องต่อภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
‘ปฏิทินชุมชน’ บันทึกเรื่องราวของคนท่าตอน

ช่วงท้ายของเวที ชาวบ้านและนักศึกษาร่วมกันจัดทำ ‘ปฏิทินชุมชนบ้านแก่งทรายมูล’ เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญในรอบปี เช่น ฤดูกาลเพาะปลูก งานประเพณี และงานบุญต่างๆ
ปฏิทินนี้จะช่วยให้ชุมชนเข้าใจวิถีชีวิตของตนเองมากขึ้น และช่วยให้นักวิจัยหรือหน่วยงานภายนอกวางแผนการทำงานได้อย่างเคารพต่อบริบทของพื้นที่
เพ็ญณิชากล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดเวทีครั้งนี้ไม่ได้เพียงช่วยให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสะท้อน พลังความร่วมมือของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม จากการประกอบธุรกิจอย่างไร้ความรับผิดชอบของกลุ่มทุน
“ความร่วมมือเช่นนี้ คือก้าวสำคัญของการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในสังคมไทย” เพ็ญณิชากล่าว
ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้ โครงการศึกษาวิจัยและจัดตั้งคลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อมฯ ในรายวิชา การศึกษากฎหมายสิ่งแวดล้อมเชิงคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




