เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเสวนาวิชาการหัวข้อ ‘Sham Election ในเมียนมา: การเปลี่ยนผ่านหรือการก้าวถอยหลัง’ ร่วมกับองค์กร Burma Concern และ ศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน (RCSD) เพื่อประเมินแนวโน้มและทิศทางของประชาธิปไตยในเมียนมา ก่อนการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2564
เวทีเสวนามีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ ขิ่น โอม่า นักกิจกรรมอาวุโสชาวเมียนมา ที่กล่าวถึงภาพรวมการเลือกตั้งท่ามกลางการละเมิดสิทธิมนุษยชน, ทิน จ่อ เอ ผู้อำนวยการองค์กร The Ananda ที่อภิปรายหัวข้อ ‘ถอดรหัสแผนการเลือกตั้งของเผด็จการ’ และ อาจารย์ลลิตา หาญวงษ์ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กล่าวถึงบทบาทของไทยในการเลือกตั้งภายใต้รัฐเผด็จการเมียนมา โดยมี อาจารย์ศิรดา เขมานิฏฐาไท เป็นผู้ดำเนินรายการ
เนื้อหาการเสวนามุ่งวิพากษ์ ‘การเลือกตั้งหลอกลวง’ (Sham Election) ซึ่งรัฐบาลทหารใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมมากกว่าการคืนอำนาจให้ประชาชน โดยรัฐบาลทหารประกาศกำหนดวันเลือกตั้งสามช่วง ได้แก่ 28 ธันวาคม 2568, 11 มกราคม 2569 และอีกช่วงหนึ่งที่ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด
การเลือกตั้งเพื่อฟอกความชอบธรรม

ขิ่น โอม่า ชี้ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพียงความพยายาม ‘ฟอกความชอบธรรมให้ระบอบเผด็จการ’ ไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชน เพราะรัฐบาลทหารสูญเสียการควบคุมทั้งทางการเมืองและทหาร จึงใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสร้างภาพต่อประชาคมโลก ขณะประชาชนส่วนใหญ่ต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผย
ฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ทั้งพรรคการเมืองและภาคประชาสังคม ปฏิเสธกระบวนการเลือกตั้งและรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงวาระซ่อนเร้นของรัฐบาลทหาร รวมถึงบันทึกและเปิดเผยกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกัน ขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสร้างระบอบ ‘สหพันธรัฐประชาธิปไตยจากฐานล่าง’ ในพื้นที่ที่ฝ่ายต่อต้านควบคุม เช่น รัฐกะเหรี่ยงเกือบทั้งหมด
การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังรุนแรง ตั้งแต่การสอดแนม จับกุมโดยพลการ ซ้อมทรมาน ล่วงละเมิดทางเพศในศูนย์กักกัน มีรายงานทหารและกลุ่มติดอาวุธ Pyu Saw Htee กระทำความรุนแรงทางเพศ จนสหประชาชาติขึ้นบัญชีดำกองทัพเมียนมา
ขิ่น โอม่า ระบุว่ารัฐบาลทหารยังบังคับใช้ กฎหมายเกณฑ์ทหารโดยมิชอบ, ใช้ยุทธวิธี ‘ลงโทษเหวี่ยงแห’ เช่น เผาหมู่บ้าน ใช้ปืนใหญ่และอากาศยานโจมตีพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถาน มีรายงานการสังหารหมู่กว่า 300 ครั้งใน 4 ปีที่ผ่านมา ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกสังหารกว่า 7,000 คน เป็นเด็กกว่า 1,300 คน และผู้หญิงกว่า 1,900 คน มีนักโทษการเมืองกว่า 22,000 คน
เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการโจมตีทางอากาศ 192 ครั้ง คร่าชีวิตพลเรือนกว่า 150 คน และบาดเจ็บกว่า 350 คน ขิ่น โอม่า ประเมินว่าการเลือกตั้งจะยิ่งเพิ่มความรุนแรง การจับกุม และการบังคับเกณฑ์ทหาร แม้รัฐบาลจะจัดการเลือกตั้งเพื่อแสวงหาความชอบธรรม
หลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ และสหภาพยุโรป ปฏิเสธรับรองผลการเลือกตั้ง ขณะที่ระบบ ลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (MEVM) ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและความปลอดภัยของข้อมูล
บังคับใช้กฎหมายจัดเลือกตั้งตามอำเภอใจ

ทิน จ่อ เอ ผู้อำนวยการองค์กร The Ananda กล่าวในหัวข้อ ‘ถอดรหัสแผนการเลือกตั้งของเผด็จการ: ข้อบกพร่องในการออกแบบ ความไม่สอดคล้อง และผลกระทบระยะยาว’ โดยเปิดเผยว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมียนมา ถูกออกแบบมาอย่างจงใจเพื่อสร้างภาพว่ามีความชอบธรรม ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็น ‘การเลือกตั้งหลอกลวง’ ที่เริ่มต้นด้วยการตัดสิทธิของประชาชนหลายล้านคนตั้งแต่ก่อนถึงวันเลือกตั้ง
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือ ‘การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่’ (Gerrymandering) โดยมีการลากเส้นเขตใหม่ทั้งหมด รวมพื้นที่ที่จัดและไม่จัดเลือกตั้งเข้าด้วยกัน ทำให้ประชาชนจำนวนมากถูกตัดสิทธิออกไป การกำหนดช่วงเวลาเลือกตั้งก็สะท้อนความพยายามของรัฐบาลทหารในการควบคุมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เช่น การเลือกตั้งระยะที่ 1 ซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 28 ธันวาคม ปี 2568 ครอบคลุมไม่ถึงหนึ่งในสามของประเทศ แต่กลับเลือกได้ถึง 48% ของ ส.ส. และ 90% ของ ส.ว. ทำให้กองทัพครอบงำเสียงได้เกินสัดส่วนตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้เพียง 28% การจัดเลือกตั้งเป็นช่วงๆ เช่นนี้ ช่วยให้กองทัพสามารถตั้งรัฐบาลของตนเองได้ง่ายขึ้น




ทิน จ่อ เอ ยังกล่าวว่า รัฐบาลทหารใช้อำนาจบังคับกฎหมายตามอำเภอใจ เช่น การประกาศหรือยกเลิกภาวะฉุกเฉินเพื่อจัดเลือกตั้งตามต้องการ ยกเลิกการเลือกตั้งใน 53 เขต แต่กลับอนุญาตให้จัดในพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบอย่างรัฐยะไข่ตอนใต้ ขณะเดียวกันยังใช้ระบบเลือกตั้งแบบ ‘สัดส่วนผสม’ (MMP) ซึ่งถูกออกแบบให้เอื้อฝ่ายกองทัพ โดยเขตเล็กๆ เพียง 2 เขตกลับมี ส.ส. เท่ากับเขตใหญ่ 44 เขต อีกทั้งยังใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวทั้งระบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ จำกัดทางเลือกของประชาชนและเอื้อพรรคใหญ่ ทิน จ่อ เอ จึงมองว่าระบบนี้เป็น ‘ระบบผสมแบบเสียงข้างมาก’ มากกว่าระบบสัดส่วนที่แท้จริง
เขายังระบุว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีเพียง 6 พรรคการเมือง (ส่วนใหญ่สนับสนุนกองทัพ) ที่ได้รับอนุญาตให้ลงแข่งขัน จากเดิม 78 พรรคในการเลือกตั้งปี 2563 บางพรรคแม้หนุนรัฐบาลก็ยังถูกตัดสิทธิด้วยเหตุผลเล็กน้อย เช่น มีหนี้ค้างชำระ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังใช้ ‘กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์’ เพื่อควบคุมเสรีภาพทางออนไลน์ โดยห้ามใช้ VPN ตั้งแต่วันประกาศเลือกตั้ง และใช้กฎหมายนี้จับกุมนักกิจกรรม หรือแม้แต่ขอส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศได้ อีกทั้งยังมีกฎหมายลงโทษผู้ที่วิจารณ์การเลือกตั้ง แม้เพียงโดยอ้อม โดยกำหนดโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ทิน จ่อ เอ สรุปว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่ทางออกของประเทศ แต่จะยิ่งเพิ่มความรุนแรง การกดขี่ และวิกฤตด้านมนุษยธรรม เพราะเป็นระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่ยั่งยืน สำหรับสิทธิของแรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น รัฐบาลทหารยังบังคับให้ลงคะแนนในเขตเดิม แม้ไม่ได้อาศัยอยู่แล้ว รวมถึงนำระบบเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ (MEVM) และหมายเลขประจำตัวเฉพาะมาใช้ติดตามพฤติกรรมการลงคะแนน ใครไม่ไปใช้สิทธิก็อาจถูกลงโทษ
ท้ายที่สุด ทิน จ่อ เอ ประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะต่างจากปี 2553 เพราะรัฐบาลทหารขาดความมั่นใจ และสงครามกลางเมืองจะยังคงขยายเข้าสู่พื้นที่ตอนกลางซึ่งเคยเป็นฐานอำนาจของกองทัพเอง
ผลสำรวจชี้ประชาชนเมียนมา 96% ไม่ร่วมเลือกตั้งทหาร และ 99% ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารปี 2564
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 สำนักข่าว Mizzima รายงานผลสำรวจของกลุ่ม The Platform for People Movement พบว่า ประชาชนเมียนมาทั้งในและต่างประเทศกว่า 96% ระบุว่าจะไม่เข้าร่วมการเลือกตั้งที่กองทัพเมียนมาเป็นผู้จัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2568 และมกราคม 2569 ราว 98% เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เป็นธรรม ขณะที่กว่า 99% แสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารเมื่อปี 2564
การสำรวจจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568 มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 3,663 คน โดย 85% อาศัยอยู่ในเมียนมา และ 15% อยู่ต่างประเทศ ครอบคลุม 271 เมืองทั่วประเทศ เขตสะกายมีผู้เข้าร่วมสูงสุด 29% ตามด้วยย่างกุ้ง 16% ขณะที่รัฐยะไข่และกรุงเนปีดอว์มีผู้ตอบน้อยที่สุด
ผู้ตอบแบบสอบถามราว 51% อาศัยในเขตเมือง และ 24% เป็นผู้อพยพ ส่วนใหญ่ (70%) มีอายุต่ำกว่า 45 ปี และเพศสภาพมีชาย 50% หญิง 48% อีก 2% เป็นกลุ่มความหลากหลายทางเพศหรือไม่ประสงค์เปิดเผย
ทีมวิจัยระบุว่า แบบสำรวจจัดทำโดยอิสระ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรทางการเมือง กลุ่มติดอาวุธ หรือรัฐบาลใดๆ จุดประสงค์เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งที่กองทัพจัดขึ้น เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง
ด้าน Irrawaddy รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์เยาวชน Mon-Khmer ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มว้า ดาราอั้ง (ปะหล่อง) และมอญ ออกแถลงการณ์ร่วมต่อต้านการเลือกตั้ง โดยเรียกร้องให้ประชาคมโลก รวมถึงจีน ไม่สนับสนุนหรือรับรองการเลือกตั้งที่พวกเขามองว่าเป็น ‘การหลอกลวงเพื่อยืดอำนาจของกองทัพเมียนมา’ พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติให้การยอมรับและสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในเมียนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางการเมียนมาพยายามผลักดันให้ประชาชนเข้าร่วม โดยกดดันนักแสดงและบุคคลมีชื่อเสียงให้เข้าร่วมแคมเปญประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง
พล.ต. ซอ มินทุน โฆษกกองทัพเมียนมา ยืนยันว่าการเลือกตั้งได้รับการสนับสนุนจากประเทศพันธมิตร และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม Irrawaddy ระบุว่า มีเพียงไม่กี่ประเทศที่สนับสนุน ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน กัมพูชา ไทย และลาว
ขณะที่ สหภาพยุโรป ยืนยันว่าจะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่า ‘ขาดความน่าเชื่อถือ’
อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า มี ‘น้อยคนนักที่จะเชื่อว่าการเลือกตั้งนี้จะเสรีและยุติธรรม’ ส่วน ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษของยูเอ็น กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ‘ไม่อาจยอมรับได้’ และ ฟิล ทไวฟอร์ด สมาชิกสภานิติบัญญัติของนิวซีแลนด์จากพรรคแรงงาน ชี้ว่าเป็น ‘ความพยายามฉ้อโกงของกองทัพเมียนมาในการสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลพลเรือน’
เลือกตั้งเมียนมาในเงื้อมมือเผด็จการ
ตั้งแต่หลังรัฐประหาร และโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาล มินอองหล่าย ประกาศจัดเลือกตั้ง รัฐบาลทหารได้ประกาศใช้ กฎอัยการศึกพร้อมกฎหมายพิเศษหลายฉบับ เช่น กฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง และกฎหมายควบคุมความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และความมั่นคงของประชาชน
กฎหมายเหล่านี้ถูกนำมาใช้ จับกุมประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้ง อย่างแพร่หลาย คล้ายกับเหตุการณ์ประชามติรัฐธรรมนูญของไทยในปี 2559 โดยช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีประชาชนเกือบ 100 คนถูกจับฐานวิจารณ์การเลือกตั้ง บางรายเพียงกดไลก์หรือคอมเมนต์โพสต์วิจารณ์ รวมถึงผู้กำกับหนังที่กดไลก์โพสต์โฆษณาชวนเชื่อของเผด็จการ
Irrawaddy รายงานว่า นักแสดงหญิง ฟวาย ฟวาย ถูกกองกำลังรัฐบาลพาตัวไปสอบปากคำขณะถ่ายทำภาพยนตร์ หลังไม่เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเลือกตั้งของกองทัพ และได้รับการปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขต้องเข้าร่วมกิจกรรมในอนาคต เช่นเดียวกับนักแสดงสาว อลินน์ ยัง
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังมีการนำ เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (Myanmar Electronic Voting Machine – MEVM) มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้ข้อมูลการเลือกตั้งและความเป็นส่วนตัวของประชาชนเสี่ยงต่อการถูกติดตามอย่างง่ายดาย รัฐบาลสามารถทราบได้ว่าครอบครัวไหนไม่ไปใช้สิทธิ หรือเลือกพรรคใด
ด้วยเหตุนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเหมาะสมที่จะเรียกว่า ‘Sham election’ (sham มาจากคำว่า shame) และจากการประชุมสุดยอดอาเซียน มีข้อมติระบุชัดว่า ‘การยุติความรุนแรงและการเจรจาทางการเมืองอย่างครอบคลุมต้องเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง’ ซึ่งหมายความว่า อาเซียนจะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์ตรวจการเลือกตั้ง ประเทศใดส่งไปถือเป็นการตกลงทวิภาคเท่านั้น
ในสภาพการณ์นี้ มีความหวังว่าฝ่ายไทยและ กกต.ไทยจะไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับการเลือกตั้งของรัฐบาลทหาร ที่ยังคงใช้กำลังโจมตีทางอากาศต่อพลเรือนอย่างต่อเนื่อง ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน รวมทั้งเด็ก โดยเฉพาะในภาคกลางของประเทศซึ่งเป็นฐานของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรงก่อนหน้านี้

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร




