
14 พฤศจิกายน 2568 คณะก่อการล้านนาใหม่และเครือข่ายภาคประชาชนภาคเหนือร่วมจัดเวทีสาธารณะ ‘คนเหนือพร้อมเปลี่ยน เขียนรัฐธรรมนูญใหม่’ เพื่อระดมข้อเสนอเชิงนโยบายจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งชาติพันธุ์ ชุมชนคนอยู่กับป่า เยาวชน นักการศึกษา นักสิ่งแวดล้อม นักกฎหมาย และกลุ่มผู้อพยพจากเมียนมา นำไปสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งปี 2569
ผู้ร่วมเวทีชี้ว่า รัฐธรรมนูญใหม่ต้องเป็น ‘พื้นที่แห่งความหวัง’ ที่ให้ประชาชนกำหนดอนาคตของตัวเองได้จริง ไม่ใช่เอกสารที่สถาปนาอำนาจของรัฐโดยไม่คำนึงถึงชีวิตผู้คน
ชาติพันธุ์ยังไม่ใช่ ‘เจ้าของพื้นที่’ เสียงเรียกร้องยุติพลเมืองหลายชั้น

มาริสา ยาแปงกู่ ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ เปิดเวทีด้วยการสะท้อนว่า คนชาติพันธุ์ในประเทศไทยยังถูกจำกัดบทบาทเป็นเพียง ‘ผู้ถูกอนุรักษ์วัฒนธรรม’ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิในฐานะเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิม ทั้งยังไม่ถูกมองเห็นในกฎหมายสูงสุดของประเทศ
“รัฐธรรมนูญ 60 ไม่พูดถึงชาติพันธุ์เลย ไม่มีคำว่าสิทธิชุมชน ในเมื่อรัฐธรรมนูญไม่เห็นตัวตนของเรา สังคมก็ไม่เห็นความเจ็บปวดของเราเช่นกัน”
แม้รัฐบาลจะออก พ.ร.บ. กลุ่มชาติพันธุ์ แต่กฎหมายกำหนดให้การคุ้มครองต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอื่น เช่น ป่าไม้ ที่ดิน ความมั่นคง และสัญชาติ ส่งผลให้ชุมชนยังถูกควบคุมโดยโครงสร้างเดิม ตัวอย่างสำคัญคือ มาตรา 7 วรรคสอง ของ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ ที่ห้ามคนที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทั้งที่หลายคนทำงานเพื่อชุมชนมาตลอดชีวิต
มาริสาเสนอ 3 ประเด็นหลักในรัฐธรรมนูญใหม่ ได้แก่
- รับรองสิทธิชุมชนแบบใช้ได้จริง
- ยุติการเลือกปฏิบัติต่อชาติพันธุ์
- ยุติระบบพลเมืองหลายชั้น ให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในฐานะคนไทย
โครงการขนาดใหญ่–กฎหมายป่าไม้–เป้าป่า 40% และสิทธิชุมชน
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของคนเหนือ ตั้งแต่โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ การประกาศพื้นที่ป่าทับซ้อน ไปจนถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรง

พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนบ้านกะเบอะดิน ผู้คัดค้านโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย ระบุว่า ชุมชนจำนวนมากยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ของตน เช่น เหมืองแร่ หรืออุโมงค์ผันน้ำยวม เพราะการเข้าถึงข้อมูลถูกจำกัด และรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใส
“แม้รัฐธรรมนูญควรปกป้องสิทธิของประชาชน แต่ในวันนี้ชุมชนยังไม่มีพื้นที่ตัดสินใจอย่างแท้จริง” เธอกล่าว พร้อมเสนอให้รัฐธรรมนูญใหม่ระบุสิทธิชุมชน ไว้อย่างชัดเจน และให้ถอด ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ ออกจากรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกรอบที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม แต่มีผลผูกมัดอนาคตของพื้นที่
ป่าไม้–ที่ดิน ความไม่มั่นคงที่เกิดจากการประกาศเขตป่าซ้อนทับ

นิราพร จะพอ จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ระบุว่าการประกาศเขตป่า เช่น ป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทับซ้อนพื้นที่ชุมชนเดิมจำนวนมาก ทำให้ประชาชนกลายเป็น ‘ผู้บุกรุก’ แม้จะอยู่ก่อนประกาศป่ามาเป็นร้อยปี
เธอชี้ว่าเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่า 40% ตามยุทธศาสตร์ชาติ ถูกใช้ในการผลักชุมชนออกจากพื้นที่ โดยไม่ได้พิจารณาวิถีการอยู่กับป่าของท้องถิ่น ส่งผลให้ชุมชนไม่มั่นคงในที่ดิน ไม่มีอำนาจจัดการทรัพยากร และไม่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้
นิราพรเสนอให้รัฐธรรมนูญใหม่ต้อง
- บัญญัติสิทธิชุมชนโดยตรงและไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมายลูก
- รับรองการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ
- บัญญัติสิทธิในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม
วิกฤตภูมิอากาศ–ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม

สุมิตรชัย หัตถสาร จากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น (CPCR) ระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศมากที่สุด แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับตัดสิทธิในสภาพแวดล้อมที่ดีออกไป ทั้งที่สหประชาชาติได้ประกาศให้สิทธินี้เป็นสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ปี 2564
เขาย้ำว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องนำสิทธิในสภาพแวดล้อมที่ดีกลับมาบัญญัติ และปลดล็อกสิทธิชุมชนให้ใช้ได้ทันทีไม่ต้องอาศัยกฎหมายลูก
คุณภาพชีวิต–สุขภาพจิต–การศึกษา–กระจายอำนาจ รัฐธรรมนูญต้องรับรองสิทธิพื้นฐานอย่างจริงจัง

อิศราพร ดวงอุปะ ระบุว่า ปัจจุบันมีประชาชนกว่า 13.4 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของคนไทยประสบปัญหาสุขภาพจิต แต่เข้าถึงบริการได้ไม่ถึง 30% โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีอายุผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ
โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีนักจิตวิทยาประจำ มีเพียง 1 คนต่อหนึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งไม่อาจดูแลเด็กได้ทันความต้องการ ขณะที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่มีบทบัญญัติรับรองสิทธิด้านสุขภาพจิตอย่างชัดเจน

ด้าน ภราดร เสมอใจ ชี้ว่า แม้กฎหมายจะระบุว่าการศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ระบบจริงยังรวมศูนย์หนักมาก เด็กทั้งประเทศต้องเรียนหลักสูตรเดียว ทั้งที่ความสนใจและบริบทพื้นที่ต่างกัน
“ประเทศไทยมีสถานศึกษามากมาย แต่มีหลักสูตรเพียงระบบเดียว” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าช่องว่างระหว่างโรงเรียนใหญ่กับโรงเรียนเล็กยังคงกว้างขึ้น
ข้อเสนอของเขาคือ
- การศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้จริง
- การศึกษาต้อง ‘ฟรีเต็มรูปแบบ’ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับที่จำเป็นต่ออาชีพ
- กระจายอำนาจการศึกษาไปยังท้องถิ่น ให้พื้นที่ออกแบบหลักสูตรเองโดยรัฐรับรอง

ขณะเดียวกัน ธนัทเมศร์ ศิรพีรลักษณ์ ระบุว่า การกระจายอำนาจในไทยถอยหลังจากยุครัฐธรรมนูญ 2540–2550 แม้รัฐจะอ้างว่ากระจายอำนาจกว่า 200% แต่ในความจริง งบประมาณและบุคลากรยังอยู่ส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ท้องถิ่นไม่มีอำนาจกำหนดทิศทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง
“ยกระดับหมวดกระจายอำนาจ ส่งงบประมาณ บุคลากร อำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง การกระจายอำนาจไม่ใช่ภัยต่อความมั่นคงของรัฐ แต่คือความมั่นคงของชีวิตประชาชน”
ผู้อพยพ–แรงงานเมียนมา ต้องเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะมีสถานะใด

อารีวัณย์ สมบุญวัฒนกุล จาก Burma Concern สะท้อนสถานการณ์ของผู้อพยพและแรงงานเมียนมาที่หลั่งไหลเข้ามาหลังการยึดอำนาจ เธอระบุว่า ระบบเอกสารในไทยล่าช้าและซับซ้อน ทำให้คนจำนวนมากตกอยู่ในสถานะ “ไม่มีเอกสาร” ซึ่งจำกัดสิทธิด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และการคุ้มครองแรงงาน
ชุมชนผู้อพยพเสนอ 4 ประเด็น ได้แก่
- ปรับกระบวนการทำเอกสารให้โปร่งใสและเข้าถึงง่าย
- คุ้มครองสิทธิแรงงานและสนับสนุนการพัฒนาทักษะ
- ส่งเสริมสิทธิเด็กและการเข้าถึงสาธารณสุข
- สร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในความหลากหลาย
ก่อการแถลงถึงเวลาประชาชนลุกขึ้นเขียนอนาคตของตัวเอง

ท้ายเวที ได้มีอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐธรรมนูญใหม่เป็น ‘พื้นที่แห่งความหวัง’ ไม่ใช่เครื่องมือผูกขาดอำนาจรัฐ พร้อมเสนอว่า
- ให้ประชาชนทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญผ่าน สสร. ที่มาจากประชาชน
- ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทำคำถามประชามติและกำหนดกรอบเวลาอย่างชัดเจน โดยเปิดกว้างและโปร่งใส
- ต้องรับฟังข้อเสนอที่มาจากเจตนารมณ์ของคนเหนือโดยไม่มีเงื่อนไข
“ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาร่วมขีดเขียนอนาคตของตัวเอง และผลักดันให้ความฝันร่วมกันของคนในสังคมเกิดขึ้นได้จริง” ตัวแทนคณะก่อการล้านนาใหม่กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...



