‘เขื่อนปากแบง’ เป็นโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขงสายประธานของลาว แบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) ตั้งที่เมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ห่างชายแดนไทย 97 กิโลเมตร บริเวณแก่งผาได อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย กำลังผลิต 912 เมกะวัตต์ ขายไฟเกือบทั้งหมดให้ กฟผ. ผ่านสัญญา 29 ปี พร้อมโครงการปรับร่องน้ำเพื่อการเดินเรือ
แม้โครงการถูกโปรโมตว่าเป็นพลังงานสะอาด แต่กลับขาดความโปร่งใส ไม่มีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนและเชิงสะสม อีกทั้งมีความเสี่ยงสารโลหะหนักจากลุ่มน้ำกก–สาย–รวก สะสมในอ่างกักน้ำเป็น ‘อ่างตะกอนพิษ’ คุกคามชุมชนสองฝั่งโขง
ความกังวลดังกล่าวนำไปสู่การเคลื่อนไหวของประชาชนและนักวิชาการ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 กลุ่มรักษ์เชียงของ พร้อมทนายความ ยื่นฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ ขอเพิกถอนสัญญาซื้อไฟและมติอนุมัติโครงการ พร้อมเรียกร้องมาตรการป้องกันผลกระทบข้ามพรมแดนและฟื้นฟูลุ่มน้ำโขง โดยย้ำว่าการพัฒนาใดๆ ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม

1.เสี่ยงซ้ำเติม–สร้างหายนะทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังลามทั้งภูมิภาค

เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights) และเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา หนึ่งในผู้ยื่นฟ้องคดี กล่าวว่า ปัญหามลพิษในลุ่มน้ำกก–สาย–รวกเริ่มปรากฏมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา แม้หน่วยงานรัฐจะตรวจพบสารพิษ แต่สิ่งที่ยังขาดหายไปคือการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ
“ต้นตอมลพิษคือเหมืองที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในฝั่งเมียนมา มันไม่ได้มีแค่เหมืองเดียว แต่เต็มไปหมด พอจะมีเขื่อนปากแบงมากั้นอีก น้ำที่ปนเปื้อนอยู่แล้วก็จะกลายเป็นตะกอนตกในอ่าง ความเสียหายมันจะเกินกว่าที่เราเคยคาดไว้”
เธอย้ำว่า ประสบการณ์จากการติดตามเขื่อนแม่น้ำโขงมาตั้งแต่ปี 2002 ทำให้เห็นความเสียหายจากเขื่อนรุ่นก่อนๆ แต่ครั้งนี้มีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“เรากำลังพูดถึงหายนะทางสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่มาก และเราอยากจะเห็นการแก้ไข ตอนนี้มันเสียไปแล้วแหละ แต่ไม่ควรจะแย่ไปมากกว่านี้อีก สิ่งที่เราทำในวันนี้ เราไม่ได้พูดถึงแค่คนเชียงราย แต่พูดถึงทั้งภูมิภาค เพราะแม่น้ำเหล่านี้ไหลลงสู่ภาคอีสานของไทยอีก 7 จังหวัด ต่อไปถึงลาว กัมพูชา และเวียดนาม”
เพียรพรย้ำว่า ที่ผ่านมายังไม่เห็นท่าทีจากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะชะลอสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือดำเนินการแก้ปัญหามลพิษ จึงต้องยื่นฟ้องเพื่อ สะกิดให้หน่วยงานรัฐทำหน้าที่ของตัวเอง และหวังว่าศาลปกครองจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน
2.ชุมชนริมน้ำเสี่ยงน้ำเท้อ–สารพิษตกตะกอน

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ แสดงความกังวลต่อผลกระทบของโครงการเขื่อนปากแบงว่า ผลกระทบต่อชุมชนริมแม่น้ำเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก ทั้งน้ำท่วมและระบบนิเวศที่อาจเสียหาย แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ เขาอธิบายต่อว่า หากมีการสร้างเขื่อนปากแบง น้ำจากแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขงตอนบน ซึ่งปนเปื้อนโลหะหนัก จะถูกกักไว้ในอ่างน้ำหลังเขื่อน
“เขื่อนตัวนี้ก็จะเป็นตัวกักตะกอน สารพิษต่างๆ จนกลายเป็นเหมือน ‘อ่างน้ำพิษ’ เกิดขึ้น อันนี้มีความเป็นห่วงมาก เพราะมันจะมีผลกระทบไปทุกอย่าง ทั้งน้ำดื่มน้ำใช้ น้ำเพื่อการเกษตร รวมถึงห่วงโซ่อุปทานต่างๆ และการดำรงชีวิตของผู้คน”
นิวัฒน์เสริมว่า ชุมชนริมแม่น้ำจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงนี้แล้ว แต่การแก้ไขปัญหาจากภาครัฐยังไม่เพียงพอ ทั้งในระดับประเทศและการเจรจาระหว่างประเทศ
“ผมคิดว่าชุมชนริมแม่น้ำเขารับรู้เรื่องนี้แล้ว และตระหนักถึงปัญหานี้ แต่การแก้ไขปัญหาจากรัฐยังไม่เพียงพอ ทั้งในส่วนของการแก้ปัญหาภายในประเทศ และการแก้ปัญหาข้ามพรมแดน”

มนตรี จันทวงศ์ จาก The Mekong Butterfly เสริมว่า ผลกระทบของโครงการเขื่อนปากแบงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฝั่งลาว เพราะ ‘ปลายอ่างเก็บน้ำ’ จะล้ำเข้ามาในพื้นที่อำเภอเวียงแก่นและอำเภอเชียงของของไทย ทำให้เกิดปัญหา ‘น้ำเท้อ’ และการสะสมของตะกอนในพื้นที่ชายแดน
“พอเกิดน้ำเท้อขึ้นมา พวกตะกอนต่างๆ ก็จะตกอยู่แถวนี้เป็นหลัก แล้วน้ำที่เคยไหลก็จะกลายเป็นน้ำนิ่ง ชาวบ้านที่เคยเก็บไก (สาหร่ายน้ำจืด) ก็จะเก็บไม่ได้ เพราะน้ำมันนิ่ง พอมีสารพิษเข้ามาอีก มันก็จะซ้ำเติม เพราะสารพิษที่มากับน้ำและตะกอนจะตกตะกอนอยู่ตรงนี้ เป็นตัวกระจายสารพิษเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร”
3.ไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการมาก ไม่จำเป็นต้องซื้อไฟเพิ่ม
นอกจากข้อกังวลของชาวบ้านและนักวิชาการแล้ว บทความของ just pow ยังชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองเกินความต้องการอยู่แล้ว และกำลังเดินหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซากเกือบทุกปี และระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้นทุกครั้ง
หากอ้างเหตุผลว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เกิดจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น แต่ข้อมูลล่าสุดอกลับตรงกันข้าม เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศอยู่ที่ 51,991.8 เมกะวัตต์ ขณะที่ความต้องการสูงสุดอยู่ที่ 34,568.3 เมกะวัตต์ มีไฟฟ้าสำรองล้นเกินถึง 17,423.5 เมกะวัตต์
ในระดับภูมิภาค ภาคเหนือซึ่งตั้งโครงการเขื่อนปากแบง ใช้ไฟเพียง 1,205.49 เมกะวัตต์ โดยภาคครัวเรือนใช้มากที่สุด 464 เมกะวัตต์ รองลงมาคือธุรกิจ 393 เมกะวัตต์ อุตสาหกรรม 274 เมกะวัตต์ ส่วนอื่นๆ และ IPS รวม 75 เมกะวัตต์
เมื่อเทียบกับกำลังผลิตของโรงไฟฟ้า 14 โรงในภาคเหนือรวม 2,887.23 เมกะวัตต์ พบว่ามีเกินการใช้จริงถึงสองเท่า แสดงว่าภาคเหนือไม่ได้ขาดไฟฟ้า แต่ไฟฟ้าล้นเกินอย่างชัดเจน
นอกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคแล้ว อีกหนึ่งข้อชี้ชัดว่าเขื่อนปากแบงไม่จำเป็นต้องสร้าง คือเขื่อนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่แล้วก็ยังผลิตไฟเข้าระบบไม่เต็มศักยภาพ
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเขื่อนในลาวจำนวน 8 เขื่อน รวมกำลังการผลิต 4,461.6 เมกะวัตต์ (ไม่รวมสัญญาแบบ Non-Firm) และยังมีเขื่อนอีก 4 เขื่อน รวม 3,407.3 เมกะวัตต์ ที่เซ็นสัญญาแต่ไฟยังไม่เข้าสู่ระบบ โดยเขื่อนปากแบงเป็นหนึ่งในนั้น
จากข้อมูลในปี 2567 ประเทศไทยซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนทั้ง 8 เขื่อนเพียง 2,330.35 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตตามสัญญา 4,461.6 เมกะวัตต์ เท่ากับว่ายังมีกำลังการผลิตที่ไม่ได้ใช้ถึง 2,131.25 เมกะวัตต์ หรือมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของเขื่อนปากแบงถึงสองเท่า นอกจากนี้ ยังมีการซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากเขื่อนในสัญญาแบบ Non-Firm อีก 2 เขื่อน ได้แก่ น้ำงึม 1 จำนวน 93.58 เมกะวัตต์ และเซเสด 15.79 เมกะวัตต์ รวม 109.36 เมกะวัตต์
ในเมื่อประเทศไทยยังมีเขื่อนที่ซื้อไฟไม่เต็มตามสัญญาถึง 2,131.25 เมกะวัตต์ และในปี 2573 จะมีไฟฟ้าจากเขื่อนหลวงพระบางอีก 1,400 เมกะวัตต์ การสร้างเขื่อนปากแบงซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาเพียง 897 เมกะวัตต์ จึงเป็นเรื่องไม่จำเป็น และจะเพิ่มภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนโดยไม่ก่อประโยชน์ด้านพลังงานที่แท้จริง
4.การสร้างเขื่อนใหม่ไม่ตอบโจทย์พลังงานอีกต่อไป
ตั้งแต่ปี 2536 รัฐบาลไทยและ สปป.ลาว ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านพัฒนาไฟฟ้าในลาวรวม 5 ฉบับ จากเริ่มรับซื้อ 1,500 เมกะวัตต์ ปี 2536 จนขยายเป็น 10,500 เมกะวัตต์ในปี 2565 ปัจจุบันไทยซื้อไฟจากเขื่อนลาวทั้งแบบ Non-Firm (เช่น เซเสด น้ำงึม 1) และแบบ Firm อีก 8 เขื่อน รวมกำลังการผลิตตามสัญญา 4,461.6 เมกะวัตต์
ข้อมูลย้อนหลังพบว่า แม้กำลังผลิตตามสัญญาสูงขึ้น แต่ไทยไม่เคยใช้เต็ม เนื่องจากไฟฟ้าล้นเกิน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังเซ็นสัญญาซื้อไฟเพิ่มต่อเนื่อง เช่น ปี 2562 เพิ่ม 3 เขื่อน ปี 2565 เพิ่มน้ำเทิน 1 ทั้งที่ไฟฟ้าล้นเกิน และยังซื้อไฟ Non-Firm ทำให้ค่าไฟประชาชนสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น หากยังไปซื้อไฟจากเขื่อนปากแบง เขื่อนปากลาย และเซกอง 4A–4B ภาระค่าไฟจะยิ่งเพิ่ม
นอกจากนี้ ระดับน้ำแม่น้ำโขงผันผวนรุนแรง ทั้งจากเขื่อนต้นน้ำของจีนและปรากฏการณ์เอลนิโญ่อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้น้ำลดมากในหน้าแล้ง รายงานของซีเคพาวเวอร์ชี้ว่า การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 และไซยะบุรีลดลงตามน้ำ และปริมาณไฟที่ กฟผ. ซื้อช่วงหน้าร้อนก็ลดลงด้วย ยิ่งตอกย้ำว่า เขื่อนอาจไม่ใช่แหล่งพลังงานที่มั่นคงอีกต่อไป
5.ราคาไฟจากเขื่อนใหม่สูง ค่าไฟอาจพุ่งไม่หยุด
แม้เขื่อนมักถูกเรียกว่าไฟฟ้าสะอาดและราคาถูก แต่ความจริงไม่ใช่เลย การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ทำให้อ่างเก็บน้ำสะสมซากพืช–สัตว์ ปล่อยก๊าซมีเทนรุนแรงกว่า CO₂ ถึง 80 เท่า และกระทบระบบนิเวศ ปลาและสัตว์น้ำลดลง น้ำไหลเปลี่ยน ทำให้เกิดน้ำเท้อ–น้ำท่วมเหมือนใน จังหวัดเชียงราย และทำให้ประชาชนต้องอพยพ
ราคาซื้อไฟจากเขื่อนใหม่ก็สูงขึ้นมาก เช่น เขื่อนหลวงพระบาง 2.84 บาท/หน่วย แพงกว่าเขื่อนเก่า น้ำเทิน 2 เพียง 1.7 บาท/หน่วย ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์พร้อมแบตเตอรี่ในประเทศราคาถูกลงเรื่อยๆ อยู่ที่ 2.04 บาท/หน่วย และคาดว่าจะเหลือ 1.38 บาท/หน่วยในปี 2593
กบง. ยังไม่ต่อสัญญาเขื่อนเก่า เช่น ห้วยเฮาะ–น้ำเทิน 2 ทั้งที่มีกำลังผลิตรวม 1,074 เมกะวัตต์ แต่กลับสร้างเขื่อนใหม่ที่แพงกว่า ทำให้ค่าไฟพุ่งโดยไม่จำเป็น ในขณะที่ไฟฟ้ายังล้นเกินระบบอยู่
‘เขื่อนปากแบง’ ภาระค่าไฟและภัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่ควรเกิด
แม้เขื่อนปากแบงจะถูกโฆษณาว่าเป็นพลังงานสะอาด แต่ข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงความจำเป็นด้านพลังงานที่แท้จริง ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองล้นเกินทั้งในระดับประเทศและภาคเหนือ เขื่อนหลายแห่งยังผลิตไฟไม่เต็มตามสัญญา และการสร้างเขื่อนใหม่จะเพิ่มภาระค่าไฟโดยไม่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อมของเขื่อนขนาดใหญ่ ทั้งน้ำท่วม น้ำเท้อ การสะสมสารพิษ และความเสียหายต่อระบบนิเวศ มีผลกระทบต่อทั้งภูมิภาค แม่น้ำโขงและลุ่มน้ำสาขาเชื่อมโยงไปถึงหลายจังหวัดในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
หากการพัฒนาพลังงานยังคงมุ่งสร้างเขื่อนใหม่โดยไม่พิจารณาอย่างรอบด้าน ชุมชนและสิ่งแวดล้อมจะเป็นฝ่ายแบกรับความเสียหาย ข้อกังวลของประชาชน นักวิชาการ และองค์กรสิทธิชุมชน จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการตัดสินใจด้านพลังงานต้องอยู่บนหลักความโปร่งใส ความยั่งยืน และความยุติธรรมต่อผู้คนปลายน้ำ มิใช่เพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นของรัฐหรือผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...



