ตลอดปี 2568 ปัญหาสารโลหะหนักจากเหมืองแร่จีนในรัฐฉาน–รัฐคะฉิ่นยังคงไหลปนเปื้อนข้ามพรมแดนเข้าสู่ลุ่มน้ำสำคัญของไทยอย่าง แม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง ส่งผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่งในเชียงราย-เชียงใหม่ต่อเนื่องเป็นวงกว้าง ล่าสุด วันที่ 28 ตุลาคม นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตรวจพบ สารหนูในแม่น้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน สูงกว่ามาตรฐานถึง 5 เท่า ยิ่งตอกย้ำการลุกลามของมลพิษข้ามพรมแดนที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลง
แม้สถานการณ์จะยืดเยื้อ แต่ภาครัฐไทยยังไม่สามารถออกมาตรการที่ตอบโจทย์ได้ นอกจากประกาศเตือนประชาชนงดใช้น้ำปนเปื้อน ขณะเดียวกันข้อเสนอเรื่องการสร้าง ‘ฝายดักตะกอน’ บริเวณแม่น้ำกกกลับยิ่งสร้างความกังวล เพราะอาจทำให้สารพิษถูกกักไว้ในพื้นที่มากกว่าเดิม
ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของรัฐ สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงออกมาตั้งคำถามเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่า รัฐไทยยังติดกับดัก ‘วัฒนธรรมอำนาจ ผูกขาดความรู้ ปกปิดความล้มเหลวของระบบราชการ’ จนนำไปสู่การตัดสินใจที่สวนทางกับความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมและความกังวลของประชาชนริมฝั่งน้ำ
โดยสืบสกุลชี้ให้เห็น 3 ประเด็นที่สะท้อนวิธีคิดผิดพลาดของรัฐไทยอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ 1 ลดความถี่ตรวจสารโลหะหนัก ประชาชนขาดข้อมูล ชุมชนไร้หลักประเมินความเสี่ยง
ในการประชุมร่วมจังหวัดเชียงรายวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป การตรวจสารโลหะหนักในแม่น้ำ จะลดจากเดือนละ 2 ครั้ง เหลือ 1 ครั้งในรอบ 2 เดือน โดยให้เหตุผลเรื่องงบประมาณ ค่าแล็บ และกำลังเจ้าหน้าที่ รวมถึงต้องแบ่งกำลังไปตรวจแม่น้ำสาละวินที่พบการปนเปื้อนใหม่
สืบสกุลระบุว่า ข้อเสนอนี้ ‘น่าตกใจ’ เพราะขณะนี้เหมืองยังเดินหน้าผลิตทุกวัน และยังไม่มีสัญญาณว่ามลพิษจะลดลง การตรวจสม่ำเสมอคือหัวใจของการประเมินความเสี่ยง ทั้งต่อชาวบ้าน เกษตรกร ผู้ใช้น้ำประปาเรือนแสน และหน่วยงานด้านสุขภาพ
ขณะที่หน่วยงานด้านเกษตร ประมง สาธารณสุข และการประปา ยังตรวจสารโลหะหนักด้วยความถี่เดิม มีเพียง สคพ.1 ที่ลดความเข้มข้นลง ทั้งที่ข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอนเพิ่งเริ่มเก็บจริงจังเมื่อปลายเมษายนและยังไม่ครบหนึ่งปีด้วยซ้ำ
“ประชาชนจะเหลือข้อมูลแค่ทุก 2 เดือน ขณะที่มลพิษเกิดขึ้นทุกวัน นี่คือความเสี่ยงที่รัฐสร้างขึ้นเอง”
ประเด็นที่ 2 การเสนอปรับ ‘มาตรฐานสารหนู’ จาก 0.01 เป็น 0.05 มก./ลิตร เลื่อนเพดานความปลอดภัยลงสู่จุดที่อันตรายกว่า

สารหนู ถือเป็นหนึ่งในสารเคมีที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นความกังวลด้านสาธารณสุขสำคัญที่สุด การลดการสัมผัสสารหนูเป็นงานสำคัญของ WHO ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดค่าแนวทาง ทบทวนหลักฐานทางวิชาการ ไปจนถึงการให้คำแนะนำด้านการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถนำไปใช้วางมาตรการควบคุมและปกป้องประชาชนได้อย่างเหมาะสม
สำหรับน้ำดื่ม WHO ได้เผยแพร่ค่าแนวทางคุณภาพน้ำดื่มสำหรับสารหนู โดยกำหนดขีดจำกัดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร (0.01 มก./ล.) แม้ว่าค่านี้จะถือเป็นมาตรฐานชั่วคราว เนื่องจากการกำจัดสารหนูออกจากน้ำดื่มยังมีข้อจำกัดทางปฏิบัติ แต่ WHO ย้ำว่าควรพยายามลดความเข้มข้นให้น้อยที่สุด และหากมีทรัพยากรเพียงพอ ควรให้ต่ำกว่าค่าแนวทางนี้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศที่ยากจะบรรลุค่าแนวทาง WHO แนะนำให้สามารถกำหนด ขีดจำกัดสูงกว่าหรือค่าระหว่างกาล เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดความเสี่ยงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องคำนึงถึงบริบทท้องถิ่น ทรัพยากร และความเสี่ยงจากแหล่งน้ำที่อาจมีสารหนูต่ำแต่ปนเปื้อนทางจุลชีววิทยา
ในมิติการพัฒนามนุษย์ องค์การสหประชาชาติด้านการพัฒนา (UNDP) ใช้ ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) เป็นตัวชี้วัดระดับการพัฒนาของแต่ละประเทศ แบ่งระดับออกเป็น ต่ำ (<0.550), ปานกลาง (0.550–0.699), สูง (0.700–0.799) และสูงมาก (≥0.800) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและวางแผนยกระดับคุณภาพชีวิตได้อย่างเป็นระบบ
จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย อยู่ในกลุ่มประเทศที่มี HDI สูงมาก หรือจัดเป็น ‘ประเทศที่พัฒนาแล้ว’ ขณะที่ไทย จีน เวียดนาม ลาว เมียนมา และกัมพูชา จัดอยู่ในกลุ่ม ‘ประเทศกำลังพัฒนา’
ความแตกต่างเหล่านี้ยังสะท้อนถึงมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการปนเปื้อนของสารหนูในน้ำ ที่แต่ละประเทศกำหนดค่ามาตรฐานแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดย จีน เมียนมา และกัมพูชา อนุญาตให้มีสารหนูในน้ำผิวดินและน้ำดื่มได้ไม่เกิน 0.05 มก./ล. ขณะที่ สปป.ลาว กำหนดไว้สูงกว่า คือ ไม่เกิน 0.25 มก./ล. ส่วนไทย เวียดนาม มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และนิวซีแลนด์ เลือกใช้ค่ามาตรฐานที่เข้มงวดมากกว่า คือ 0.01 มก./ล. ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO)
| ประเทศ | HDI | แบ่งหมวดตาม HDI | มาตรฐานระดับสารหนูปนเปื้อนในน้ำผิวดิน (มิลลิกรัม/ลิตร) |
| กัมพูชา | 0.606 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.05 mg/L |
| เมียนมา | 0.609 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.05 mg/L |
| สปป.ลาว | 0.617 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.25 mg/L |
| เวียดนาม | 0.766 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
| จีน | 0.797 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.05 mg/L |
| ไทย | 0.798 | กำลังพัฒนา | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
| มาเลเซีย | 0.819 | ประเทศพัฒนาแล้ว | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
| ญี่ปุ่น | 0.925 | ประเทศพัฒนาแล้ว | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
| สหรัฐอเมริกา | 0.938 | ประเทศพัฒนาแล้ว | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
| นิวซีแลนด์ | 0.938 | ประเทศพัฒนาแล้ว | ไม่เกิน 0.01 mg/L |
อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละประเทศกำหนดค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ทั้งระดับสารหนูในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ความสามารถทางเทคนิคและเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำ ทรัพยากรทางเศรษฐกิจ รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากเชื้อโรคในน้ำ
การเปรียบเทียบนี้จึงไม่ได้สะท้อนแค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ยังสะท้อน ถึงความแตกต่างของทรัพยากร การพัฒนาเศรษฐกิจ ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชากรของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 มีข้อเสนอให้ปรับค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำผิวดินของไทยจาก 0.01 มก./ล. เป็น 0.05 มก./ล. โดยอ้างว่าเป็นการอ้างอิงตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ซึ่งขัดแย้งกันกับข้อมูลของ National Institute for Environmental Studies ที่ระบุว่า ญี่ปุ่น กำหนดค่ามาตรฐานสารหนูอยู่ที่ 0.01 มก./ล.
ด้านสืบสกุลเตือนว่า นี่เป็น ‘เรื่องใหญ่และอันตราย’ เพราะการปรับลดมาตรฐานหมายถึงการยอมรับคุณภาพน้ำที่แย่ลงในทางกฎหมาย ส่งผลให้ความปลอดภัยของประชาชนลดลงทันที
เขาชี้ว่า เหตุผลที่รัฐหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา อาจเพื่อให้มาตรฐานไทยสอดคล้องกับเกณฑ์ของเมียนมา ซึ่งกำหนดไว้ที่ 0.05 มก./ล. การตัดสินใจเช่นนี้เท่ากับยอมให้ความปลอดภัยของคนไทยลดลงไปอยู่ระดับประเทศที่ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และยังเป็นหนึ่งในต้นตอของมลพิษข้ามพรมแดนอีกด้วย
“พวกท่านอยากให้มาตรฐานน้ำของไทยเท่ากับประเทศเผด็จการพม่าจริงหรือครับ”
แม้รัฐจะออกมายืนยันเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2568 ว่า “ไม่มีแนวคิดปรับค่ามาตรฐานสารหนู” แต่กระบวนการที่เกิดขึ้นก็ทำให้เห็นว่ารัฐพร้อมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาได้ตลอดเวลา และขาดหลักฐานเชิงวิชาการรองรับอย่างโปร่งใส
ประเด็นที่ 3 โครงการฝายดักตะกอน รัฐสื่อสารสองมาตรฐาน ไม่ยึดเสียงประชาชน
เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 สุชาติ ชมกลิ่น ประกาศยุติโครงการฝายดักตะกอน หลังเสียงประชาชนกว่า 400 คนใน อ.ท่าตอน แสดงจุดยืนชัดเจนว่า “ไม่ต้องการฝาย”
แต่เพียง 2 วันต่อมา (13 พฤศจิกายน 2568) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติกลับหยิบเรื่องฝายขึ้นมาหารือใหม่ โดยระบุว่า “ฝายตามหลักสากลถือว่าถูกต้อง” พร้อมตั้งคณะกรรมการนักวิชาการทั้งฝ่ายเห็นด้วย–ไม่เห็นด้วยเพื่อพิจารณาต่อ โดยไม่ได้ยืนยันว่าจะยุติแนวคิดนี้จริง
สืบสกุลมองว่าความย้อนแย้งดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า รัฐยังคงให้ความสำคัญกับโครงการมากกว่า ‘ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของคนริมฝั่งน้ำ’
“นี่คือการทิ้งหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน และสะท้อนวัฒนธรรมหน้าไหว้หลังหลอกของระบบราชการ”
รัฐไทยยังขาดข้อมูล ขาดมาตรฐาน และไม่ฟังเสียงคนริมฝั่งน้ำ
แม้รัฐบาลจะยืนยันภายหลังว่าไม่มีแนวคิดปรับค่ามาตรฐานสารหนู และย้ำว่าพร้อมฟังเสียงประชาชน แต่ทั้ง 3 ประเด็นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ชี้ให้เห็นภาพใหญ่ของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมไทยอย่างชัดเจนคือ
1. ขาดข้อมูล ลดการตรวจในช่วงวิกฤต ทำให้ประชาชนเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
2. ขาดมาตรฐาน พร้อมเลื่อนเพดานความปลอดภัยลงเพื่อให้ “ผ่านตามตัวเลข” มากกว่าเพื่อคุ้มครองชีวิตคนจริงๆ
3. ละเลยการมีส่วนร่วม ยังคงผลักดันโครงการที่ชุมชนคัดค้าน ทั้งที่เสียงประชาชนชัดเจนแล้ว
ทั้งหมดนี้คือสัญญาณเตือนว่ารัฐไทยยังไม่ปรับวิธีคิดให้สอดคล้องกับความรุนแรงของมลพิษข้ามพรมแดน และยังขาดความจริงใจในการปกป้องคุณภาพชีวิตของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำ ที่กำลังเผชิญวิกฤตหนักที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




