
1 ธันวาคม 2568 เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) และเครือข่ายจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การต่อสู้ของพี่น้องชาติพันธุ์กับความสำคัญของรัฐธรรมนูญ’ โดยมีองค์กรภาคประชาชนจากไทย–เมียนมาร่วมแลกเปลี่ยน เพื่อทบทวนประวัติศาสตร์การต่อสู้ด้านสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างอำนาจในรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งร่วมกันมองไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2569
การเสวนาครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ประวัติศาสตร์ขบวนการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน กรณีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข การวิพากษ์รัฐธรรมนูญไทยตลอดหลายยุคสมัย และข้อเสนอว่าด้วยสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทางไกลสู่ความเป็นธรรม ประวัติศาสตร์ คกน. กับความฝันรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วม
ณัฏฐ์วัฒน์ เสนาะพรไพร รองประธานเครือข่ายกะเหรี่ยงวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เล่าย้อนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพี่น้องภาคเหนือซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2512 เมื่อผู้คนในลุ่มน้ำและผืนป่าเริ่มลุกขึ้นคัดค้านเหมืองแร่ การสัมปทานป่าไม้ และการผลักดันพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวอย่างฝิ่น ที่สร้างผลกระทบต่อผืนดินและวิถีชีวิตอย่างลึกซึ้ง
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2532 ทำให้ปัญหาการจัดการป่ากลายเป็นเรื่องสาธารณะอย่างจริงจัง ต่อมาในปี 2535 รัฐใช้นโยบายจัดการลุ่มน้ำแบบรวมศูนย์ เช่น การอพยพพี่น้องกว่า 103 หมู่บ้านออกจากพื้นที่ป่าในเชียงใหม่ ซึ่งกลายเป็นบาดแผลสำคัญและเป็นแรงผลักดันให้ชุมชนรวมตัวสร้างขบวนการของตนเอง
ช่วงปี 2537–2539 เครือข่ายลุ่มน้ำต่างๆ เช่น ลุ่มน้ำขาน วาง ปิง และฝาง ได้เกิดขึ้นและรวมตัวกันจนพัฒนาเป็น ‘เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ’ อย่างเป็นทางการ ก่อนเข้าร่วมกับสมัชชาคนจนในปี 2539 เพื่อผลักดันเรื่องสิทธิคนอยู่กับป่า และร่วมขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับแรกที่รับรองสิทธิชุมชน
ต่อจากนั้น คกน. ได้ขับเคลื่อนงานเชิงข้อมูล เช่น งานสำรวจป่าชุมชน ข้อเสนอการจัดการที่ดิน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน จนกลายเป็นฐานความรู้สำคัญของภาคประชาชนทั่วประเทศ
ในปี 2542 การขับเคลื่อนของ คกน. แตกแขนงเป็นเครือข่ายต่างๆ เช่น สมัชชาชนเผ่า เพื่อผลักดันประเด็นสำคัญอย่างสุราชุมชน การปฏิรูปที่ดิน และ พ.ร.บ.ป่าชุมชน ซึ่งช่วยผลักประเด็นป่าชุมชนสู่เวทีสาธารณะระดับประเทศ
ช่วงปี 2549–2552 เครือข่ายได้ทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหว และสรุปว่าต้องยกระดับงานสู่ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยสร้างข้อมูลด้านที่ดินอย่างเป็นระบบ และพัฒนาสื่อของชนเผ่าเพื่อขยายเสียงของชุมชน
การเคลื่อนไหวในช่วงนี้ตั้งอยู่บน 5 เสาหลัก ได้แก่
1. การเมืองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ
2. เสริมเศรษฐกิจชุมชนผ่านเกษตร อาหาร และผู้ประกอบการท้องถิ่น
3. สร้างเศรษฐกิจใหม่ เช่น ข้าว กาแฟ การท่องเที่ยว
4. งานสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อฟื้นฟูอัตลักษณ์
5. การเมืองระดับชาติ เพื่อดันประเด็นสิทธิชุมชนสู่นโยบายสาธารณะ
ณัฏฐ์วัฒน์ย้ำว่า ประวัติศาสตร์การต่อสู้ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษทำให้เห็นชัดว่า รัฐธรรมนูญใหม่ต้องยึดโยงกับเสียงของชุมชนชาติพันธุ์ ตั้งแต่สิทธิในการจัดการป่า–น้ำ การตัดสินใจท้องถิ่น ไปจนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและวิถีเกษตรทางเลือกที่หลากหลาย
บทเรียนคลิตี้ล่าง ชนะคดีแต่ไม่ชนะความยุติธรรม
ธนกฤต โต้งฟ้า ชาวบ้านคลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี เล่าถึงการต่อสู้ยาวกว่า 20 ปีของชุมชนกะเหรี่ยงโป ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหมืองแร่ตะกั่วที่ปนเปื้อนลงสู่ลำห้วยสาธารณะ แม้ชุมชนจะชนะคดีทั้ง 3 คดีมานานแล้ว แต่การฟื้นฟูลำห้วยก็ยังไม่คืบหน้าจริงจัง ยังคงตรวจพบสารตะกั่วในเลือดของชาวบ้านสูงกว่าปกติ และชุมชนยังต้องเผชิญความเสี่ยงเหมือนเดิม
ธนกฤตกล่าวว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือความอยุติธรรมดีๆ นี่เอง”
เขายังสะท้อนว่า แม้รัฐธรรมนูญ 2540 จะพูดถึงสิทธิชุมชนอย่างก้าวหน้า แต่สำหรับชุมชนชายขอบ สิทธิในกระดาษไม่เคยไปถึงชีวิตจริง หากรัฐไม่ทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ การคุ้มครองสิทธิก็เป็นเพียงตัวหนังสือเท่านั้น
รัฐธรรมนูญที่คนเท่ากัน รับรองสิทธิของชุมชนชาติพันธุ์อย่างแท้จริง
พรชิตา ฟ้าประทานไพร จากเครือข่ายชาติพันธุ์ปลดแอก (FIP) ชี้ให้เห็นข้อจำกัดสำคัญของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่แม้จะระบุสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ในมาตรา 70 แต่เงื่อนไขท้ายมาตรา ที่กำหนดว่าการใช้สิทธิต้องไม่ขัดต่อกฎหมายอื่นหรือความมั่นคงของรัฐ ทำให้สิทธิเหล่านั้นแทบไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ คุณภาพชีวิตของพี่น้องชาติพันธุ์ยังถูกจำกัด ถูกเพิกเฉย และไม่ต่างจากเดิม ผู้คนที่อาศัยอยู่ในป่า หรือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมือง ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นจริง
พรชิตาเสนอว่ารัฐธรรมนูญใหม่ควรบรรจุหลักการสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. รับรองสิทธิของชุมชนชาติพันธุ์อย่างแท้จริง กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในเขตป่ายังได้รับผลกระทบหนักจากกฎหมายอุทยานและกฎหมายป่าไม้ ซึ่งจำกัดสิทธิในการเข้าถึงและจัดการทรัพยากรตามวิถีดั้งเดิม ขณะเดียวกันโครงการพัฒนาอย่างเหมือง เขื่อน หรือพื้นที่เศรษฐกิจก็รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อยู่อาศัย ทำให้ชุมชนต้องลุกขึ้นประกาศสิทธิของตน ทั้งที่พวกเขาอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อนที่กฎหมายรัฐจะถือกำเนิด
2. สิทธิพื้นฐานและสวัสดิการที่เท่าเทียม
หลายชุมชนชาติพันธุ์ยังเข้าไม่ถึงบริการพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปาสะอาด หรือสาธารณูปโภคที่ควรเป็นมาตรฐานของการมีชีวิตที่ดี รัฐธรรมนูญใหม่จึงควรยืนยันสิทธิพื้นฐานเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมและไม่แบ่งแยก
3. สังคมที่ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่สร้างมายาคติทางลบ
พรชิตาเน้นว่า ต้องยุติการมองชุมชนชาติพันธุ์เป็น “คนอื่น” หรือผู้ก่อปัญหา เช่น การถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา PM2.5 ขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างโรงงานอุตสาหกรรมหรือระบบเศรษฐกิจที่ปล่อยมลพิษกลับถูกพูดถึงน้อยกว่า
4. การรับรองสิทธิในพื้นที่อยู่อาศัยดั้งเดิม
คนที่อยู่ในพื้นที่ของตนเองมาแต่เดิมไม่ควรต้องพิสูจน์สิทธิซ้ำแล้วซ้ำเล่า พรชิตาเตือนว่า ชุมชนเหล่านี้เป็นผู้ดูแลป่า น้ำ และระบบนิเวศมาก่อนกฎหมายของรัฐ พวกเขาจึงควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในพื้นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมอย่างชัดเจน
พรชิตาสรุปว่า รัฐธรรมนูญใหม่ควรเป็นรัฐธรรมนูญที่มองเห็นว่า ‘คนเท่ากัน มีสิทธิเท่ากัน’ ไม่ว่าพื้นเพ เชื้อชาติ หรือสถานะทางสังคมใด พร้อมย้ำว่าการยอมรับสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างแท้จริง คือก้าวสำคัญสู่ความยุติธรรมที่ทุกคนเข้าถึงได้
รัฐธรรมนูญ 2540–2560 และคำถามใหญ่เรื่องสิทธิชุมชน
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประวัติศาสตร์จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ คือข้อตกลงร่วมกันที่กำหนดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม ว่าใครมีสิทธิใช้อำนาจ ใครจัดการทรัพยากรได้ และอำนาจเหล่านั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์ของใคร แต่รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่กลับจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในลักษณะที่ทำให้อำนาจกระจุกตัวอยู่ในมือชนชั้นนำ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ส่งผลให้ประชาชน คนชายขอบ ชนเผ่า และกลุ่มชาติพันธุ์ ตกเป็นเบี้ยล่าง ไม่ได้รับการคุ้มครองขั้นพื้นฐาน ขณะที่ทรัพยากรถูกดึงจากล่างขึ้นบนผ่านกลไกกฎหมายและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเอง
อรรถจักร์ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นผลจากการต่อสู้ของขบวนการประชาชน โดยเฉพาะขบวนการเคลื่อนไหวของชาวบ้าน ทำให้ ‘สิทธิชุมชน’ ถูกบรรจุเป็นครั้งแรก และกลายเป็นฐานความคิดสำคัญของการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น แนวคิดเรื่องป่าชุมชนตามระบอบทรัพย์สินร่วม (common property regime) ที่เป็นหัวใจของชุมชนฐานราก
เขายังสะท้อนถึงบทเรียนที่ผู้ร่วมฟังจากเมียนมาควรนำกลับไปคิดต่อว่า หากต้องการพัฒนากฎหมาย ไม่ควรยึดติดกับระบบทรัพย์สินเอกชน (private property regime) เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับทรัพย์สินร่วมของสาธารณะ เพราะเป็นฐานสำคัญของสิทธิชุมชนทุกมิติ ตั้งแต่ป่าชุมชน ที่ดินชุมชน ไปจนถึงสิทธิในการจัดการน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คน
อรรถจักร์กล่าวว่า การต่อสู้เพื่อรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ได้จบลงเมื่อประกาศใช้ แต่ได้วางรากฐานให้ขบวนการประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นทวงคืน ‘ความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน’ ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์และคนชายขอบ สาระสำคัญนี้สอดคล้องกับสิ่งที่พรชิตา กล่าวไว้ก่อนหน้า ว่าการต่อสู้ของพวกเขาคือการยืนยันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง
เขาชี้ว่าปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้สังคมยอมรับพวกเขามากขึ้น และผลักดันจนเกิด พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่ารัฐไทยเริ่มรับรู้ความหลากหลาย แม้จะยังมีข้อยกเว้นต่อพี่น้องชาติพันธุ์ในภาคใต้บางส่วนก็ตาม อย่างไรก็ตาม อรรถจักร์วิจารณ์ว่ากฎหมายนี้ยังตีความ ‘วัฒนธรรม’ ไว้แคบ โดยมองเพียงพิธีกรรมหรือสัญลักษณ์ เช่น การโล้ชิงช้า ทั้งที่วัฒนธรรมควรเชื่อมโยงกับสิทธิในการใช้ทรัพยากรและการดำรงชีวิตตามวิถีดั้งเดิม
อรรถจักร์ทิ้งท้ายว่า กว่าทศวรรษภายใต้ยุคอำนาจทหารและรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญปี 2540 ถูกหยุดชะงัก แต่เมื่ออำนาจทหารเริ่มคลาย สังคมจึงกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า เราควรมีรัฐธรรมนูญแบบใดที่จะทำให้ ‘คนทุกคนเท่ากัน’ ได้จริง และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




