เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล
อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คือหนึ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาหลายหมื่นคนที่เข้ามาทำงานในโรงงาน การเกษตร การประมง และงานบริการ
ความท้าทายด้านสาธารณสุขในแม่สอดสะท้อนภาพใหญ่ของทั้งประเทศว่า ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องขยับจากการมอง ‘คนข้ามชาติ’ เป็นภาระ ไปสู่การมองพวกเขาเป็น ‘เพื่อนร่วมชุมชน’ เพราะสุขภาวะของพวกเขาไม่ได้กระทบแค่ชีวิตของตัวเอง หากโยงถึงความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทยด้วยเช่นกัน
บทความนี้ชวนมอง ‘สุขภาพชายแดน’ ผ่านสองพื้นที่สำคัญคือ แม่สอด–อุ้มผาง บนชายแดนไทย–เมียนมา ทั้งในมิติของระบบสิทธิสุขภาพ ช่องว่างเชิงโครงสร้าง และคำถามใหญ่ว่า ทำไมการรักษาผู้อพยพจึงคือการปกป้องสังคมไทยไปพร้อมกัน
ระบบหลักประกัน สิทธิที่มีอยู่จริงบนกระดาษ และช่องว่างขนาดใหญ่ที่ชายแดน
สำหรับแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ตากและแม่สอด สิทธิด้านสุขภาพ คือเส้นบางๆ ระหว่างการอยู่รอด กับการต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่จากค่ารักษาพยาบาลเพียงครั้งเดียว
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพคนต่างด้าว ลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 แรงงานข้ามชาติทุกคน ‘ควร’ สามารถเข้าถึงหลักประกันสุขภาพได้ แต่ในความเป็นจริง ระบบนี้เต็มไปด้วยเงื่อนไขและขั้นตอนที่ซับซ้อน ทั้งเรื่องเอกสาร การขึ้นทะเบียน และสถานะทางกฎหมาย ทำให้คนจำนวนมากหลุดออกจากระบบ แม้จะทำงานและใช้ชีวิตในประเทศไทยมานานหลายปี
โดยหลักแล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติแบ่งออกเป็นสองแบบสำคัญ
1. ระบบประกันสังคม สำหรับแรงงานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องและทำงานในสถานประกอบการที่มีนายจ้างอย่างเป็นทางการ ระบบนี้ให้สิทธิการรักษาใกล้เคียงกับแรงงานไทย ทั้งการตรวจรักษา ผ่าตัด และค่าทดแทนรายได้ในกรณีเจ็บป่วย
แต่แรงงานจำนวนมากกลับอยู่ในภาคนอกระบบ เช่น งานบ้าน การประมง การเกษตร ร้านอาหารขนาดเล็ก หรือรับจ้างรายวัน จึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้จริง
2. กองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าว (Health Insurance Card) สำหรับแรงงานนอกระบบและผู้ติดตามในครอบครัว ต้อง ‘ซื้อบัตรประกันสุขภาพ’ จากกระทรวงสาธารณสุขด้วยตัวเอง เพื่อใช้สิทธิรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ อย่างไรก็ตาม การซื้อบัตรต้องใช้ทั้งเงินก้อนและเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ของคนที่หนีสงครามหรือความรุนแรงมาโดยไม่ได้เตรียมตัว ไม่มีเอกสาร หรือไม่มีนายจ้างรองรับ
หลังรัฐประหารในเมียนมา ปี 2021 (พ.ศ.2564) แรงงาน ผู้ลี้ภัย และคนไร้รัฐจำนวนมากไหลเข้าสู่พื้นที่ชายแดนฝั่งไทย ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่มีเอกสาร ไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีเอกสารแสดงตนใดๆ ระบบหลักประกันสุขภาพที่อ้างว่า ‘ครอบคลุมทุกคน’ จึงกลายเป็นระบบที่พวกเขาเข้าไม่ถึงตั้งแต่หน้าประตู
M-Fund ทางรอดเล็กๆ ของคนไร้สิทธิ กับเพดานค่ารักษาที่สูงเกินเอื้อม
ในช่องว่างขนาดใหญ่ของระบบรัฐ โครงการประกันสุขภาพข้ามชาติ (M-Fund) กลายเป็นหนึ่งในเส้นทางสำคัญที่คนไร้สิทธิใช้มากที่สุดในอำเภอแม่สอด
M-Fund เป็นกองทุนสุขภาพต้นทุนต่ำสำหรับคนข้ามชาติ ดำเนินการโดยองค์กรอิสระไม่แสวงหากำไร ร่วมกับเครือข่ายสาธารณสุขชายแดน ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 130 บาทต่อเดือน แลกกับสิทธิการรักษาขั้นพื้นฐาน ช่วยแบ่งเบาภาระของคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิของรัฐ และในอีกด้านหนึ่ง ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลและรัฐไปพร้อมกัน

ในจังหวัดตาก M-Fund ทำงานร่วมกับโรงพยาบาล 5 แห่ง และคลินิกเอกชนอีก 3 แห่ง ขยายเครือข่ายเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลชายแดนทั่วประเทศกว่า 148 แห่ง ที่ผู้ใช้สิทธิสามารถเข้ารับการรักษาได้
สิทธิประโยชน์ของ M-Fund คือ
- ผู้ป่วยนอก (OPD): คุ้มครองราว 5,000 บาทต่อปี
- ผู้ป่วยใน (IPD): มีวงเงินคุ้มครองประมาณ 40,000–45,000 บาทต่อปี
แต่เมื่อเจอค่ารักษาพยาบาลจริง โดยเฉพาะกรณีฉุกเฉินหรือภาวะแทรกซ้อน ตัวเลขเหล่านี้กลับไม่เพียงพอ เช่น ค่าผ่าตัดใหญ่หรือผ่าคลอดฉุกเฉินในโรงพยาบาลรัฐ มักพุ่งสูงเกินกว่า 50,000 บาทอย่างไม่ยาก ยกตัวอย่างง่ายๆ การผ่าคลอดบุตรของผู้ไร้สิทธิในโรงพยาบาลรัฐ มีค่าใช้จ่ายราว 35,000–55,000 บาท ต่อครั้ง

เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในแม่สอดที่วันละ 352 บาท แรงงานคนหนึ่งต้องทำงานประมาณ 156 วัน หรือราว ครึ่งปี หากต้องจ่ายค่าผ่าคลอด 55,000 บาทด้วยตัวเองโดยไม่มีสิทธิ์รองรับ
“ฉันกังวลมากเมื่อรู้ว่าต้องผ่าคลอดลูกชายของฉัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้นและเกินวงเงินที่มี ทำให้คิดว่า ฉันจะสามารถคลอดเด็กคนนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า และจะทำอย่างไรกับเรื่องเงิน” มิน (นามสมมติ)

เมื่อสิทธิที่มีอาจไม่เพียงพอ ความกังวลจึงแปรเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการรักษา หลายคนเลือกซื้อยากินเอง แทนการไปโรงพยาบาลหรือคลินิก เพราะกลัวค่ารักษาที่อาจเกินกำลังและเกินวงเงินประกันที่มีอยู่ ผลคือโรคเล็กน้อยที่ควรรักษาได้ตั้งแต่ต้น กลับลุกลามเป็นโรครุนแรง
ภาระการเจ็บป่วยไม่ได้ตกอยู่ที่คนป่วยเพียงคนเดียว แต่ทำให้ทั้งครอบครัวต้องหยุดทำงานเพื่อเฝ้าดูแล หรือวิ่งหาเงินมาจ่ายค่ารักษา รายได้หายไปทั้งบ้าน ความเปราะบางทางเศรษฐกิจยิ่งซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก
สถานการณ์เหล่านี้ชี้ชัดว่า ‘การมีกฎหมายหรือระบบบนกระดาษ’ ไม่เพียงพอ หากไม่มีโครงสร้างที่เข้าใจบริบทพื้นที่ ยืดหยุ่นกับชีวิตจริง และทำให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่จากการรักษาเพียงครั้งเดียว
แม่สอด–อุ้มผาง ภูมิศาสตร์เดียวกันของความเปราะบางทางสุขภาพ
ในแม่สอด ระบบสุขภาพของแรงงานข้ามชาติพันเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดทางเศรษฐกิจอย่างแนบแน่น ค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับค่ารักษา ช่องว่างของสิทธิประกันสุขภาพ และการต้องพึ่งโครงการช่วยเหลือนอกระบบอย่าง M-Fund ล้วนทำให้แรงงานจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงการรักษาที่มีคุณภาพ
แต่เมื่อขยับขึ้นไปตามเส้นพรมแดนธรรมชาติสู่ อำเภออุ้มผาง ภาพอีกด้านหนึ่งก็ปรากฏชัด ที่นี่คือพื้นที่ที่ผู้คนไม่ได้ข้ามแดนมาเพราะโอกาสทางเศรษฐกิจ หากแต่หนีความเจ็บป่วย ความรุนแรง และความไร้รัฐมาเพื่อเอาชีวิตรอด
ทั้งแม่สอดและอุ้มผางจึงไม่ใช่แค่จุดบนแผนที่ หากคือ ‘ภูมิศาสตร์มนุษยธรรมเดียวกัน’ บนชายแดนไทย–เมียนมา ที่ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพไหลเชื่อมถึงกันตั้งแต่เมืองเศรษฐกิจไปจนถึงชายแดนลึก

สาธารณสุขไร้พรมแดน โรงพยาบาลอุ้มผางในฐานะแนวหน้าของการกักกันโรค
อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก คืออำเภอที่ห่างไกลตัวเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย การเดินทางจากแม่สอดใช้เวลาราว 4–5 ชั่วโมง ผ่านถนนสาย 1090 ที่คดเคี้ยวตัดผ่านภูเขาและป่าลึก
ถนนเส้นนี้ไม่เพียงเชื่อมอุ้มผางกับเมืองใหญ่ในฝั่งไทย แต่ยังเป็น ‘เส้นทางรอดชีวิต’ ของผู้คนจากเมียนมาหลายพันคนที่ข้ามภูเขาและลำน้ำมาเพื่อขอรับการรักษา บนความเชื่อเพียงอย่างเดียวว่า “ฝั่งไทยยังพอมีที่ให้รักษาชีวิตได้”
ที่ปลายทางคือ โรงพยาบาลอุ้มผาง ด่านหน้าสุดของระบบสาธารณสุขไทยที่ดูแลผู้ป่วยจากทุกเชื้อชาติ ไทย กะเหรี่ยง พม่า ผู้อพยพ และผู้ลี้ภัยไร้รัฐไร้สัญชาติ
“เรารักษาทุกคนเท่ากัน ไม่มีการแบ่งแยกคนไทยหรือคนไม่ไทย”

จันทราภา จินดาทอง หรือ ‘แมว’ นักสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลอุ้มผาง เธอดูแลงานประกันสุขภาพและเป็นด่านหน้าของผู้ป่วยที่ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในระบบ
กว่าประมาณ สามในสี่ ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลอุ้มผาง ‘ไม่มีสิทธิ์ประกันสุขภาพ’ ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยใน (IPD) ที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่คลอดเองไม่ได้ ผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุในพื้นที่ห่างไกล และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
โรงพยาบาลต้องใช้ ‘เงินบำรุงของตัวเอง’ จ่ายค่ารักษา พร้อมประสานความช่วยเหลือจากองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น IRC และ Mae Tao Clinic เพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับการรักษาครบตามมาตรฐาน ปัจจุบันโรงพยาบาลต้องดูแลผู้ป่วยกว่า 67,000 คนต่อปี ภายใต้งบประมาณและเวชภัณฑ์ที่จำกัด แบกรับภาระค่าใช้จ่ายสูงถึง 10–12 ล้านบาทต่อปี
ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่มีเอกสารแสดงตน ไม่มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ไม่มีสิทธิบัตรทองหรือประกันสังคม พวกเขาถูกเรียกว่า ‘คนไข้บัตรขาว’ ส่วนใหญ่เกิดในหมู่บ้านห่างไกล คลอดลูกกันเองโดยไม่มีการแจ้งเกิด เมื่อไม่มีเลขประจำตัว ก็เข้าไม่ถึงทั้งสิทธิด้านสุขภาพ การศึกษา และการทำงานในระบบ
“จริงๆ แล้วคนกะเหรี่ยงที่อยู่ฝั่งไทยควรได้สัญชาติไทยด้วยซ้ำ”

นพ.วรวิทย์ หันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง เขาอธิบายว่า พื้นที่ชายแดนจังหวัดตากอย่าง อุ้มผาง ท่าสองยาง แม่สอด พบพระ และแม่ระมาด คือถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงมาหลายร้อยปี กระทั่งช่วงรัชกาลที่ 4–5 เมื่อสยามกับพม่าภายใต้อังกฤษเริ่มขีดเส้นพรมแดน เส้นแบ่งนั้นผ่ากลางแผ่นดินของชนชาติเดียวกัน ครึ่งหนึ่งถูกนับเป็น “คนไทย” อีกครึ่งหนึ่งกลายเป็น ‘คนเมียนมา’ ทั้งที่มีภาษา ความเชื่อ และวัฒนธรรมร่วมกัน
ผลลัพธ์คือ คนจำนวนมากฝั่งไทยเกิดและเติบโตในป่าลึก คลอดกับหมอตำแย ไม่มีใบแจ้งเกิด ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน เมื่อไม่มีเลข 13 หลัก ก็เข้าไม่ถึงระบบทะเบียนราษฎร ขึ้นทะเบียนแรงงานไม่ได้ ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลตั้งแต่เกิด
หมอวรวิทย์เรียกคนกลุ่มนี้ว่า ‘ต่างด้าวเทียม’ คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาตลอดชีวิต แต่ไม่มีสถานะทางกฎหมายรองรับ ถูกทิ้งอยู่นอกระบบหลักประกันสุขภาพตั้งแต่เกิด และกลายเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด ทั้งในแง่การเจ็บป่วย การคลอดบุตร และการเข้าถึงบริการพื้นฐาน
อีกกลุ่มคือ ‘ต่างด้าวแท้’ ผู้หนีสงครามกลางเมืองจากรัฐกะเหรี่ยงฝั่งเมียนมาเข้ามารักษาตัวในอุ้มผาง ประเทศของตัวเองยังขาดระบบสุขภาพขั้นพื้นฐาน การมีชีวิตรอดจึงขึ้นอยู่กับโชคมากกว่าสิทธิที่พึงมี
“ด้วยความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้ระบบการแพทย์และสาธารณสุขฝั่งเมียนมาล้าหลังกว่าไทยอย่างน้อยสามสิบปี พอมีข่าวว่าฝั่งไทยมีโรงพยาบาลที่รักษาโดยไม่เลือกเชื้อชาติ เขาก็เดินทางข้ามเขามาหาโอกาสรอดชีวิต มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ ถ้าคนในครอบครัวเรากำลังจะตาย เราก็ต้องพยายามทุกทางให้เขารอด พวกเขาก็เหมือนกัน”
สำหรับบุคลากรที่นี่ การรักษาคนไร้สัญชาติไม่ใช่ภาระงาน แต่คือการตอบรับเสียงร้องของมนุษย์ที่อยากมีชีวิตรอด โดยไม่เลือกว่าบุคคลนั้นถือสัญชาติอะไร
“ถ้ามีคนจะตายแล้วเราไม่ช่วย มันจะถือว่าเรายังเป็นคนอยู่ไหม ผมว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าใครจะชาตินิยมแค่ไหน แต่ถ้ามาอยู่หน้างานจริง ไม่มีใครทำใจได้หรอกที่จะปล่อยให้คนตรงหน้าเสียชีวิต”
ค่ายนุโพ เมืองเล็กๆ ที่อยู่บนปลายเข็มของระบบสาธารณสุขโลก
อีกฟากหนึ่งของพรมแดน คือ ‘ศูนย์อพยพบ้านนุโพ’ ซึ่งมีประชากรกว่า 10,000 คน อาศัยอยู่นานกว่า 40 ปี หลายครอบครัวเป็นรุ่นที่ 3–4 เกิดและเติบโตในค่าย โดยไม่เคยเห็นบ้านเกิดเดิมของตัวเอง
เดิมที ศูนย์แห่งนี้เคยมีองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IRC (International Rescue Committee) ดูแลระบบสาธารณสุขเต็มรูปแบบ มีแพทย์จากเมียนมาหนึ่งคน พร้อมทีมพยาบาลและเจ้าหน้าที่กว่า 200 คน
แต่ในปี 2563 ภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดงบสนับสนุน IRC อย่างสิ้นเชิง ระบบสุขภาพในค่ายต้องส่งต่อให้โรงพยาบาลอุ้มผางดูแลแทน
“แต่เดิมในค่ายมีเจ้าหน้าที่กว่า 200 คน พอถูกตัดงบ เราต้องเหลือเพียง 55 คน”

ณริดา พรหมรักษา หัวหน้ากลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลอุ้มผางเล่าว่า ภารกิจของโรงพยาบาลอุ้มผางไม่ใช่แค่ ‘รับช่วงต่อ’ แต่ต้อง “ออกแบบระบบใหม่ทั้งหมด” ตั้งแต่การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในค่าย การทำ consult ผ่านแอปพลิเคชัน การจัดทีมรถพยาบาลประจำค่าย ไปจนถึงการจัดการขยะติดเชื้อและระบบน้ำประปา
บุคลากรในค่ายต้องทำงานหลายบทบาทพร้อมกัน ทั้งตรวจโรคเบื้องต้น ดูแลหญิงตั้งครรภ์ ให้คำแนะนำด้านสุขศึกษา และประสานส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล
“ตอนแรกทุกคนกลัวว่าถ้า IRC หยุดสนับสนุน เขาจะไม่ได้รับการรักษาเหมือนเดิม เราต้องเข้าไปอธิบายว่าระบบใหม่ยังดูแลเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากองค์กรต่างประเทศมาเป็นโรงพยาบาลไทยดูแล”
โรงพยาบาลอุ้มผางจัดทีมเข้าไปฝึกเจ้าหน้าที่ในค่ายให้ตรวจครรภ์ อัลตราซาวด์เบื้องต้น และเจาะเลือดระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อคัดกรองความเสี่ยงและส่งต่อหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องคลอดในโรงพยาบาลโดยตรง พร้อมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ทุก 3–4 เดือน เพื่อดูแลโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โดยได้รับยาจากระบบไทยเช่นเดียวกับผู้ป่วยทั่วไป
“ตอนแรกเราก็กลัวว่าภาระงานจะเพิ่มขึ้น แต่พอเข้าไปเห็นชีวิตเขาจริงๆ ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่คนแปลกหน้า เขาเป็นเพื่อนบ้านของเรา เขาไม่ได้อยากพึ่งพาใคร แค่อยากมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย”
อีกอุปสรรคสำคัญคือภาษา คนในค่ายจำนวนมากพูดภาษาพม่าและกะเหรี่ยง โรงพยาบาลจึงสนับสนุนให้ ‘ลูกหลานอุ้มผาง’ ที่เคยไปเรียนหรือทำงานในเมือง กลับมาทำงานเป็นบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ เมื่อพยาบาลเกือบครึ่งเป็นคนในพื้นที่และพูดภาษาเดียวกับคนไข้ เข้าใจวัฒนธรรมเดียวกัน คนไข้ในค่ายจึงกล้าเข้ามารักษามากขึ้น
แต่ภารกิจของโรงพยาบาลชายแดนไม่ได้จบแค่การรักษาโรคทั่วไป เพราะที่นี่คือ ‘แนวหน้าการควบคุมโรคระบาด’ ที่อาจลุกลามข้ามพรมแดนได้ทุกเมื่อ
ชายแดน ห้องเครื่องป้องกันโรคของประเทศ
“ยุงก้นปล่องสามารถบินข้ามแดนไปมา ไม่สนใจว่าอะไรคือพรมแดน เพราะนั่นคือสิ่งที่มนุษย์สมมติกันขึ้นมา รวมถึงวัณโรค ทุกคนสามารถเป็นกันได้ โดยไม่เลือกว่าเป็นคนสัญชาติไทยหรือเมียนมา”
นพ.วรวิทย์ เปรียบเทียบเพียงประโยคเดียวที่อธิบายแก่นของ ‘สาธารณสุขไร้พรมแดน’ ได้ชัดเจนที่สุด
ในปี 2568 อำเภออุ้มผางมีผู้ป่วยมาลาเรียถึง 1,405 ราย มาลาเรียคือหนึ่งในโรคที่พบบ่อยที่สุดในพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้น มีลำน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงจำนวนมาก ประกอบกับการเคลื่อนย้ายของแรงงานและผู้อพยพจากฝั่งเมียนมาที่เข้าออกอยู่ตลอดเวลา
หากควบคุมไม่ได้ โรคที่เคยถูกกวาดล้างไปแล้วในหลายพื้นที่ของไทย อาจกลับมาระบาดอีกครั้งจากแนวชายแดน
เช่นเดียวกับ วัณโรค ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในค่ายผู้ลี้ภัยที่มีสภาพแออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี และขาดยาต่อเนื่องจากฝั่งเมียนมา ปัญหาใหญ่คือ วัณโรคดื้อยา ซึ่งรักษายากและแพร่ต่อได้ง่าย เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลอุ้มผางจึงต้องออกหน่วยติดตามผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กินยาครบตามกำหนด ป้องกันการดื้อยาและการแพร่เชื้อสู่คนในชุมชนไทย
ยังมี โรคหัดและโปลิโอ ที่อาจกลับมาระบาดได้ หากเด็กในค่ายไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน โรงพยาบาลต้องจัดทีมฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขจังหวัด รวมถึง โรคพิษสุนัขบ้า ที่เคยคร่าชีวิตคนไข้จากฝั่งเมียนมา และส่งผลให้บุคลากรทั้งโรงพยาบาลต้องฉีดวัคซีนป้องกันไปพร้อมกัน
“โรคติดต่อและเรื้อรังเป็นภัยความมั่นคงของชาติด้านสุขภาพ ผมก็เหมือนทหารแนวหน้าด้านสุขภาพ”
เสียงคัดค้านการรักษาผู้อพยพจากเพื่อนบ้าน มักยกเรื่อง ‘ภาระงบประมาณของรัฐ’ หรือ ‘ภาษีต้องไปช่วยคนต่างชาติ’ แต่ในมุมของแพทย์ชายแดน เหตุผลหลักของการรักษาไม่ใช่แค่ความสงสารหรือความเป็นมนุษยธรรม หากคือการป้องกันโรคไม่ให้ระบาดเข้าประเทศ เป็นลำดับแรก

มาลาเรีย วัณโรคดื้อยา โปลิโอ หรือโรคหัด ไม่มีพรมแดนสำหรับเชื้อโรค หากปล่อยให้ผู้ป่วยในค่ายหรือในป่าชายแดนไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เชื้อเหล่านี้สามารถแพร่กลับเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของประเทศได้ทุกเมื่อ
การใช้ทรัพยากรบางส่วนที่ชายแดนเพื่อรักษาและควบคุมโรคตั้งแต่ต้นทาง จึงประหยัดกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และปลอดภัยกว่า การรอให้โรคระบาดลุกลามเข้ามาในประเทศ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมากกว่าหลายเท่า และกระทบคนไทยทั่วประเทศโดยตรง
สำหรับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอุ้มผาง ‘แนวหน้า’ ไม่ได้หมายถึงแพทย์และพยาบาลเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนที่ช่วยกันป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจาย ตั้งแต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ออกตรวจในหมู่บ้านห่างไกล นักวิชาการที่ตามเก็บสถิติการระบาด พยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยที่สอนการล้างมือเป็นภาษากะเหรี่ยง ไปจนถึงคนขับรถพยาบาลที่ขับฝ่าฝนขึ้นเขาเพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
เมื่อไทยไม่มีข้อตกลงสุขภาพข้ามพรมแดนกับเมียนมา
แม้ชายแดนจังหวัดตากต้องรับผู้ป่วยไร้สัญชาติและผู้อพยพจำนวนมากทุกปี แต่ประเทศไทยยังไม่มี ข้อตกลงความร่วมมือด้านสุขภาพข้ามพรมแดน(cross-border health agreement) กับเมียนมาอย่างเป็นรูปธรรม
ข้อตกลงแบบนี้ควรจะกำหนดบทบาท ความรับผิดชอบ การแบ่งภาระ และกลไกสนับสนุนร่วมกันระหว่างสองประเทศ ทั้งในด้านการส่งต่อผู้ป่วย งบประมาณ บุคลากร และเวชภัณฑ์ รวมถึงการประสานงานกับองค์กรสาธารณสุขระหว่างประเทศ
หากมีระบบดังกล่าว ไทยจะสามารถ
- กำหนดช่องทางส่งต่อผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมาอย่างเป็นทางการ
- ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรระหว่างประเทศได้ตรงเป้าขึ้น
- เพิ่มทรัพยากรทางการแพทย์ บุคลากร และยา ให้เพียงพอกับภาระงานจริง
- มีช่องทางเรียกคืนค่าใช้จ่ายบางส่วนจากการรักษาผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในสิทธิของไทย
แต่เมื่อยังไม่มีข้อตกลงนี้ ภาระทุกอย่างตั้งแต่การรักษาไปจนถึงค่าใช้จ่ายจึงตกอยู่บนโรงพยาบาลชายแดนไทยเพียงฝ่ายเดียว ขณะเดียวกัน งบสาธารณสุขระดับชาติยังไม่มีการจัดสรรงบเฉพาะสำหรับพื้นที่ชายแดน ทำให้ภาระงานจริงของโรงพยาบาลแนวหน้าไม่สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับ เจ้าหน้าที่ต้อง ‘แบกรับช่องว่างเชิงโครงสร้าง’ ด้วยตัวเองในทุกๆ วัน
โรงพยาบาลชายแดนอย่างอุ้มผางและแม่สอด จึงไม่ใช่แค่โรงพยาบาลเล็กๆ ที่รักษาคนป่วย แต่คือ ‘จุดยุทธศาสตร์ทางมนุษยธรรมและความมั่นคง’ ที่คอยรับแรงปะทะแรกจากทั้งโรคระบาดและวิกฤตมนุษยธรรม
ความเท่าเทียมทางสุขภาพ ไม่ใช่คำสวยหรู แต่คือกลไกการอยู่รอดร่วมกัน
เมื่อมองจากระยะไกล ปัญหาสุขภาพของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยอาจถูกเล่าในฐานะ “เรื่องของคนชายแดน” แต่เมื่อมองใกล้ ๆ จะเห็นว่า ทุกเชื้อโรค ทุกการขาดวัคซีน ทุกการตัดงบขององค์กรระหว่างประเทศ และทุกครั้งที่คนคนหนึ่งถูกทิ้งให้อยู่ข้างนอกระบบ ล้วนสะท้อนกลับมายังความมั่นคงของคนไทยทั้งประเทศ
ในพื้นที่ที่เส้นพรมแดนหยุดคนได้ แต่หยุดโรคไม่ได้ การมองผู้อพยพเป็นภาระ คือการหลอกตัวเอง
การรักษาผู้อพยพที่ชายแดน คือการป้องกันโรคไม่ให้ลุกลาม การดูแลสุขภาพของคนไร้สัญชาติ คือการปกป้องสังคมไทยทั้งสังคม และ “ความเท่าเทียมทางสุขภาพ” จึงไม่ใช่คำหรูหราในเอกสารสิทธิมนุษยชน หากคือกลไกพื้นฐานของการอยู่รอดร่วมกันในภูมิภาคที่พรมแดนไม่อาจกั้นโรคระบาดได้เลย

เพราะในท้ายที่สุด สุขภาพของ ‘เขา’ ก็คือสุขภาพของ ‘เรา’ เช่นกัน
รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ “โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ”
Lanner, Louder, The Isaan Record, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




