18 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5 มีคำพิพากษาในคดีการเสียชีวิตของ พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต หลังเข้ารับการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1/66 ที่ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยพนักงานอัยการฟ้องครูฝึกทหาร 2 นาย ในข้อหาร่วมกันกระทำการโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การฝึกทหารในคดีนี้เป็นการฝึกที่ฝ่าฝืนระเบียบของกองทัพ และมีการลงโทษรวมถึงการสั่งการในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้เสียหายเจ็บป่วยจากการฝึกและติดเชื้อในกระแสเลือด ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
ศาลจึงพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี ก่อนลดโทษให้หนึ่งในสาม เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ เหลือโทษจำคุกคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
คดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีแรก ๆ ที่มีการนำพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มาใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐในกองทัพ และยังเป็นคดีสำคัญในประเด็นเขตอำนาจศาล ก่อนหน้านี้ฝ่ายจำเลยเคยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงยกประเด็นว่าคดีควรอยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดมีคำวินิจฉัยให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลพลเรือน ซึ่งนับเป็นบรรทัดฐานสำคัญต่อคดีลักษณะเดียวกันในอนาคต

หลังศาลอ่านคำพิพากษา แก้วกัลยา แซ่ลี ภรรยาของพลทหารกิตติธร กล่าวว่า ครอบครัวรู้สึกดีใจที่ศาลให้ความสำคัญกับชีวิตของทหารชั้นผู้น้อยและรับฟังคำให้การของครอบครัว โดยระบุว่า
“ดีใจที่ศาลเห็นถึงความสำคัญของคนที่เป็นทหาร แล้วก็เห็นถึงครอบครัวของเรา และเชื่อในคำพูดของเรา เพราะทุกคำที่เราพูดในชั้นศาล เป็นความจริงทั้งหมด”
แก้วกัลยา กล่าวด้วยว่า การต่อสู้คดีตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับครอบครัว โดยเฉพาะบุตรซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ต้องเติบโตขึ้นท่ามกลางการขาดพ่อ การที่สามารถยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ได้ก็เพราะลูก และจากความช่วยเหลือของหลายฝ่าย
พร้อมกันนี้ แก้วกัลยา ฝากถึงกองทัพให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนำคดีนี้ไปเป็นบทเรียนในการดูแลทหารคนอื่น ๆ อย่างจริงจัง โดยย้ำว่าทหารทุกนายต่างก็เป็นลูกของพ่อแม่ และไม่มีใครอยากเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่เมื่อเป็นหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว กองทัพควรดูแลทหารชั้นผู้น้อยให้ดีที่สุด
“ไม่มีใครอยากไปเกณฑ์ทหาร แต่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องไป เมื่อคนของเราไปแล้ว ก็อยากฝากให้ดูแลเขาให้ดี เหมือนลูกของตัวเอง”

ด้าน พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า คำพิพากษาคดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานสำคัญในการฝึกและการลงโทษ โดยเฉพาะการลงโทษแบบรวมหมู่ ซึ่งศาลชี้ว่าไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือกดดันหรือบังคับให้ผู้อื่นยอมรับสารภาพ
พรเพ็ญ ระบุว่า หากการฝึกหรือการลงโทษในลักษณะดังกล่าวไม่มีการชี้แจงเหตุผลอย่างชัดเจน และนำไปสู่การละเมิดร่างกายหรือจิตใจ ก็อาจเข้าข่ายการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และเป็นความผิดตามกฎหมาย รวมถึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและวินัยของกองทัพเอง พร้อมย้ำว่า การฝึกเพื่อสร้างวินัยไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พรเพ็ญ ยังกล่าวว่า คดีนี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญที่ยืนยันว่า หากทหารกระทำความผิดที่เข้าข่ายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ คดีต้องอยู่ในอำนาจของศาลพลเรือน เพื่อให้เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นอิสระและความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...




