‘บ้านใหญ่’ ไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่เล่นการเมืองเพียงครอบครัวเดียว แต่หมายถึงเครือข่ายตระกูลการเมืองที่สืบทอดบทบาทและอิทธิพลต่อเนื่องยาวนาน โดยที่สมาชิกในเครือข่ายมักกระจายตัวอยู่ทั้งในสนามการเมืองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้รับเหมางบประมาณ และภาคธุรกิจ
ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ บทบาทของ ‘การเมืองบ้านใหญ่’ หรือกลุ่มตระกูลการเมืองท้องถิ่น กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสการย้ายพรรคของนักการเมืองท้องถิ่นและตระกูลการเมืองหลายจังหวัดทั่วประเทศ
จากข้อมูลของ Rocket Media Lab พบว่า ทั่วประเทศไทยมีตระกูลการเมืองที่ถือว่าเป็น ‘บ้านใหญ่’ รวม 215 ตระกูล โดยใน 17 จังหวัดภาคเหนือ พบบ้านใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 43 ตระกูล ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกจังหวัดในพื้นที่

43 บ้านใหญ่ภาคเหนือ ใครย้ายพรรค – ใครยังปักหลักอยู่พรรคเดิม
จากการกระจายตัวของบ้านใหญ่ทั้ง 43 ตระกูลใน 17 จังหวัดภาคเหนือ พบบ้านใหญ่สังกัดพรรคภูมิใจไทย 16 ตระกูล, เพื่อไทย 15 ตระกูล, กล้าธรรม 8 ตระกูล ประชาชน 3 ตระกูล และรวมไทยสร้างชาติ 1 ตระกูล
โดยที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีตระกูลที่ยังปักหลักอยู่พรรคเดิมจำนวน 22 ตระกูล ขณะที่ 18 ตระกูลย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ รวมถึง อีก 3 ตระกูลที่ขยับขยายจากการเป็นบ้านใหญ่ในการเมืองระดับท้องถิ่น เข้าสู่การลงแข่งขันในการเมืองระดับชาติ

ในกลุ่ม 22 บ้านใหญ่ที่ปักหลักอยู่พรรคเดิม
พบว่า ตระกูลสำคัญในเชียงราย ได้แก่ เตชะธีราวัฒน์, ติยะไพรัช และจงสุทธานามณี ยังคงสังกัดพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับตระกูลวันไชยธนวงศ์ที่ยังอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ส่วนในเชียงใหม่ ตระกูลอมรวิวัฒน์ยังปักหลักอยู่กับเพื่อไทย ขณะที่ตระกูลโตวิจักษณ์ชัยกุลยังคงสังกัดพรรคประชาชน
ในอีกด้าน ตระกูลทวีเกื้อกูลกิจ (ตาก), คำประกอบ (นครสวรรค์), ภัทรประสิทธิ์และขจรประศาสน์ (พิจิตร), ช่างพินิจ (พิษณุโลก), ลิมปะพันธุ์ (สุโขทัย) และตระกูลไทยเศรษฐ์ (อุทัยธานี) ยังปักหลักอยู่กับพรรคภูมิใจไทย
ขณะที่ ตระกูลศรีแก้ว (น่าน), เหลืองวิจิตร (พิจิตร), เหลืองทองนารา (พิษณุโลก), อนรรฆพันธ์ (เพชรบูรณ์), วงศ์วรรณ (แพร่), โล่ห์สุนทร (ลำปาง), มณีรัตน์ (ลำพูน), เทพสุทิน (สุโขทัย) และตระกูลศุภรักษ์จินดา (อุตรดิตถ์) ก็ยังคงสังกัดอยู่พรรคเพื่อไทย
ด้าน 18 ตระกูลที่ย้ายพรรค
พบว่า มีบ้านใหญ่ 7 ตระกูล ได้แก่ เชื้อเมืองพาน (เชียงราย), ไกรฤกษ์ (พิษณุโลก), พร้อมพัฒน์และทองใจสด (เพชรบูรณ์), ปราศจากศัตรูเเละศุภศิริ (เเพร่) และจันทรสุรินทร์ (ลำปาง) ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย
ขณะที่บ้านใหญ่อีก 7 ตระกูล ได้แก่ ลิกค์และอาภรณ์รัตน์ (กำแพงเพชร), สุนทรเลขา (นครสวรรค์), พรหมเผ่าเเละตันบรรจง (พะเยา), พั้วช่วย (เพชรบูรณ์) และจีนาคำ (แม่ฮ่องสอน) ย้ายเข้าสังกัดพรรคกล้าธรรม
นอกจากนี้ ยังพบบ้านใหญ่ 2 ตระกูลที่ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ได้แก่ รัตนากร (กำแพงเพชร) และภู่พิสิฐ (ลำพูน), 1 ตระกูลย้ายเข้าพรรคประชาชน ได้แก่ บูรณุปกรณ์ (เชียงใหม่) เเละอีก 1 ตระกูลย้ายเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แก่ แก้วทอง (พิจิตร)
3 บ้านใหญ่ ที่ขยับขยายจากการเมืองท้องถิ่นสู่การเมืองระดับชาติ
พบว่า มีตระกูลนิโรจน์ (นครสวรรค์), พนมขวัญ (แพร่) และรัตนคำฟู (ลำปาง) ที่ก้าวขึ้นมาสู่การแข่งขันระดับชาติ โดยสังกัดพรรคภูมิใจไทย ประชาชน และกล้าธรรม ตามลำดับ
บ้านใหญ่ยังทรงพลัง หรือกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน?
ท่าทีของบ้านใหญ่ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ชี้ให้เห็นว่า ‘การเมืองบ้านใหญ่’ ยังคงเป็นส่วนสำคัญของการเลือกตั้งปี 2569 เนื่องจากหลายตระกูลยังคงทำหน้าที่เป็นฐานเสียงสำคัญให้กับหลายพรรคการเมือง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เริ่มเห็นแนวโน้มการ “กระจายตัว” ของเครือข่ายบ้านใหญ่ที่เริ่มขยับขยายไปสังกัดพรรคอื่นๆ มากขึ้น
ฉะนั้น แม้การเมืองไทยจะได้รับผลกระทบและเปลี่ยนแปลงตามกระแสใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่โครงสร้างอำนาจแบบบ้านใหญ่จึงยังเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ทางการเมืองในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และยังคงมีบทบาทสำคัญในการแข่งขันทางการเมืองภายใต้การเลือกตั้งปี 2569 ดังที่บ้านใหญ่จากหลายจังหวัดได้ปรับตัวให้สอดรับกับสมดุลอำนาจใหม่ทั้งในระดับชาติและภูมิภาค
