แสงแดดที่รัฐไม่อนุญาต ความมั่นคงที่ไร้ชื่อคนตัวเล็ก โจทย์ที่ต้องเปลี่ยนให้ผ่านพลังงานไทย 

เรื่อง: กองบรรณาธิการ / JET in Thailand

ภาพ : จิราเจต จันทร์คำ

ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้ซีรีส์คอนเทนต์ ‘พลังงาน / คน / ภาคเหนือ’ จากความร่วมมือระหว่าง Lanner และ JET in Thailand

ในประเทศที่แสงแดดมีมากตลอดปีอย่างประเทศไทย การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ควรเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด ทว่าความจริงกลับสวนทางตรงกันข้าม แม้การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar rooftop) จะมีต้นทุนถูกลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่โซลาร์เซลล์กลับยังเป็นสิ่งที่คนตัวเล็กถูกกีดกันการเข้าถึง ด้วยนโยบายของภาครัฐที่ไม่เอื้อให้ประชาชนทุกคนสามารถผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 

เราจึงมักเห็นการสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์จากภาครัฐในฐานะ ‘โครงการช่วยเหลือ’  มากกว่าการสนับสนุนในฐานะที่เป็น ‘สิทธิขั้นพื้นฐาน’ ซึ่งรัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชน ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เกิดขึ้นได้เฉพาะคนบางกลุ่ม ขณะที่กลุ่มคนตัวเล็กหรือคนชายขอบเข้าถึงสิ่งนี้ผ่านโครงการแจกจ่ายแผงโซลาร์จากภาครัฐ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหลายครั้งพบว่า ไม่มีกลไกดูแลหรือการสนับสนุนในรูปแบบที่ยั่งยืน เมื่อระบบพัง ไม่มีงบซ่อม ไม่มีคนรับผิดชอบดูแล ชาวบ้านจึงกลับไปใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดมนอีกครั้ง​ 

มิหนำซ้ำระบบพลังงานของประเทศยังคงถูกรวมศูนย์โดยรัฐและเอกชนขนาดใหญ่เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ขณะที่ประชาชนถูกกันออกจากโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าจึงเป็นได้เพียงผู้ใช้ไฟฟ้าและจ่ายค่าไฟ

โซลาร์บนหลังคา กับอุปสรรคที่กั้นไม่ให้ไฟส่องถึงชุมชน

ภาพ: EarthRights International / Thai C-CAN / ชเลฝัน ดิษฐ์ผู้ดี

แม้ในปัจจุบัน การใช้โซลาร์เซลล์จะเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และช่วยประหยัดค่าค่าใช้จ่ายในยุคค่าไฟแพง แต่ในมุมมองของ ศักดิ์กมล แสงดารา เจ้าหน้าที่โครงการเก็บตะวัน ผู้ที่เคยเข้าร่วมคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพาเมื่อหลายปีก่อน จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทำงานผลักดันเรื่องติดตั้งโซลาร์เซลล์ในชุมชน   ระบุว่า แม้ประเทศไทยมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์มาไม่น้อยกว่า 10 ปี  แต่มีเพียงกลุ่มภาคเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ  ขณะที่กลุ่มชุมชน ประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในครัวเรือน รวมถึงขายไฟเข้าระบบ มักถูกทิ้งให้จัดการกันเอง ท่ามกลางกฎเกณฑ์และอุปสรรคที่มาจากรัฐเป็นผู้ออกแบบไว้

ขณะเดียวกัน สนอง อุ่นเรือง  ช่างไฟฟ้าวัยเกษียณ จากบ.กิ่วฮ่อง ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ที่ปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการรับติดตั้งโซลาร์เซลล์ เล่าย้อนความหลังว่า ในอดีตการติดตั้งโซลาร์เซลล์ต้องสั่งแผงจากเยอรมนีหรืออเมริกาเท่านั้น เพราะจีนยังไม่ผลิต ราคาต่อวัตต์สูงถึง 47–55 บาท แล้วแต่ยี่ห้อ รวมไปถึงค่าขนส่งที่ราคาสูง แผงแบบทินฟิล์มให้กำลังแค่ 70–100 วัตต์ต่อแผงเท่านั้นเอง แต่เมื่อภาครัฐเริ่มเปิดทางให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน พร้อมออกนโยบายส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ ราคาของโซลาร์เซลล์ก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จากวัตต์ละ 10 บาท เมื่อ 5 ปีก่อน และเหลือไม่ถึง 4 บาท ในปัจจุบัน

สนองอธิบายเพิ่มเติมว่า ในระดับครัวเรือน คนส่วนใหญ่เลือกติดตั้งแบบระบบออนกริด (On-grid) ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้า โดยใช้ไฟจากการไฟฟ้ามาเสริมเฉพาะเวลากลางคืนหรือในช่วงที่โซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าไม่พอ ขณะที่บางชุมชนที่อยู่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง ก็เลือกใช้ระบบออฟกริด (Off-grid) ซึ่งไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้า แต่พึ่งพาการเก็บไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่เพื่อสำรองไฟไว้ใช้ยามกลางคืนหรือวันที่ไม่มีแสงแดด

อย่างไรก็ตาม โอกาสเหล่านี้ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มคนที่พอมีทุนทรัพย์ เพราะแม้ราคาแผงโซลาร์จะลดลง แต่ต้นทุนการติดตั้งทั้งระบบเฉลี่ยอยู่ประมาณ 50,000-150,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดติดตั้งและระบบที่ใช้ ยังถือว่าสูงสำหรับครัวเรือนรายได้น้อย ขณะที่รัฐยังไม่มีมาตรการหรือกลไกสนับสนุนทางการเงินที่ชัดเจน 

เมื่อรวมกับกฎระเบียบและขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้งที่ยุ่งยากและซับซ้อนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ยิ่งทำให้การเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ควรจะเป็นของทุกคนมีความยากขึ้นไปอีกขั้น นอกเหนือจากเรื่องเงินทุนติดตั้ง

จากประสบการณ์ของสนอง เขาเล่าว่าปัญหาการติดตั้งโซลาร์เซลล์คือ กฎระเบียบในปัจจุบัน หากประชาชนต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ระบบออนกริด และไฮบริดซึ่งต้องเชื่อมต่อกับระบบของการไฟฟ้า จะต้องยื่นเรื่องขออนุญาตผ่านหลายขั้นตอน มีหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3–4 หน่วยงาน โดยขั้นตอนแรกจะต้องมีการยื่นแบบติดตั้งที่ อบต. หรือเทศบาลในพื้นที่ ซึ่งจะต้องมีวิศวกรโยธาเซ็นรับรองแบบก่อนว่าบ้านสามารถรับน้ำหนักแผงได้อย่างปลอดภัย จากนั้นเมื่อดำเนินการติดตั้งเสร็จ ต้องมีวิศวกรไฟฟ้าเซ็นรับรองอีกครั้งจึงจะสามารถนำเอกสารไปยื่นขอเชื่อมระบบกับการไฟฟ้าในพื้นที่ได้ 

นอกจากนี้ สนองยังสะท้อนว่า ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น เพราะกระบวนการอนุญาต การควบคุมมาตรฐาน และการกำหนดคุณสมบัติอุปกรณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและไม่สอดคล้องกับความจริงของชีวิตคนตัวเล็กในชุมชน

“ขั้นตอนทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ไม่มีทุน เพราะแม้จะลงทุนซื้ออุปกรณ์เองได้ แต่กลับต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการจ้างวิศวกรและขออนุญาตอีกหลายหมื่นบาท เช่น ค่าใบเซ็นของวิศวกรโยธาประมาณ 5,000 บาทต่อฉบับ หากต้องขอสองฉบับก็เป็น 10,000 บาท และหากระบบเกิน 10 กิโลวัตต์ ค่าวิศวกรรวมแล้วอาจสูงถึง 20,000 บาทหรือมากกว่านั้น” 

“กระบวนการนี้ทำให้ชาวบ้านที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถผุดขึ้นมาบนดินได้ ต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ”​ สนอง กล่าว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “ร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ โดยกำหนดให้การติดตั้งโซลาร์บนหลังคาสำหรับใช้เองในบ้านหรือสถานประกอบการไม่ต้องขออนุญาตอีกต่อไป แต่ต้อง ‘แจ้งล่วงหน้า’ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประกาศโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี 

นอกจากนี้ การติดตั้งยังคงต้องได้รับรองโดยวิศวกรไฟฟ้าและวิศวกรโยธาตามกฎหมาย ซึ่งสอดรับกับประสบการณ์ของสนองที่เคยเล่าถึงข้อจำกัดจากระบบเดิม ขณะเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ ‘ขายไฟฟ้าอย่างเสรี’ ทำได้เฉพาะการติดตั้งเพื่อใช้เอง ไม่สามารถขายไฟส่วนเกินหรือส่งต่อระหว่างกันได้ เว้นแต่ขายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือองค์กรอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด 

ไม่ใช่แค่เงินทุนและขั้นตอนการขออนุญาต แต่ปัญหาคือ ‘อำนาจ’ ที่กำหนดให้ ‘ใคร’ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้า

นอกจากเรื่องเงินทุนติดตั้งและกระบวนการขออนุญาตที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชนในการเข้าถึงไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ยังมีเรื่องโครงสร้างอำนาจที่รัฐเป็นผู้ออกแบบว่าใครมีสิทธิผลิตและขายไฟเข้าระบบได้บ้าง เข้ามามีส่วนกำหนดบทบาทของประชาชนในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ

แม้รัฐจะมีนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตไฟขายเข้าระบบ ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งนับเป็นหนึ่งในมาตรการจูงใจให้คนลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ ผ่านการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ ‘โซลาร์ภาคประชาชน’ กำลังการผลิตไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า 10 ปี แต่การรับซื้อก็ยังถูกจำกัดด้วยระบบโควต้า โดยมีกฟน. และ กฟภ. ทำหน้าที่เป็นผู้รับซื้อ

ในช่วงปี 2562-2565 มีการประกาศรับซื้อทั้งสิ้น 260 เมกะวัตต์ แต่ด้วยราคารับซื้อที่ไม่จูงใจและมีความยุ่งยากซับซ้อนในขั้นตอนขออนุญาตติดตั้งและเสนอขายไฟฟ้า จึงมีผู้เข้าร่วมโครงการขายไฟเข้าระบบเพียง 9 เมกะวัตต์ คิดเป็น 3.5% ของเป้าหมายการรับซื้อทั้งหมด 

ต่อมาในปี 2566 ได้มีการปรับโควต้าเป็นรับซื้อไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ ในราคา 2.2 บาท/หน่วย สำหรับการรับซื้อระหว่างปี 2564-2573 ประกอบกับเกิดวิกฤตปัญหาค่าไฟแพงจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2567 ได้มีการ ‘หยุดรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว’ เนื่องจากโควต้าการรับซื้อเต็มแล้ว ต้องรอการประกาศแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า(PDP) ฉบับใหม่ ซึ่งยังไม่มีกำหนดแน่ชัดว่าจะประกาศใช้เมื่อใด อีกทั้งในแผน PDP ฉบับร่าง หรือ PDP2024 ที่ได้เปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ยังไม่มีการกำหนดเป้าหมายและสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาภาคประชาชน

ในขณะที่ประชาชนต้องแย่งโควต้าการรับซื้อไฟฟ้าในระดับ ‘หลักสิบ’ เมกะวัตต์ต่อปี แต่รัฐกลับเดินหน้าสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ เห็นได้จากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed – in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ถือเป็นการเปิดรับซื้อพลังงานหมุนเวียนจากภาคเอกชนครั้งใหญ่ หรือ ‘RE big lot’  ซึ่งยังคงมีคำถามจากสังคมถึงความโปร่งใสในกระบวนการรับซื้อไฟฟ้า

จากประกาศรับซื้อทั้ง 2 รอบ ในช่วงปี 2566-2567 มีการตั้งเป้ารับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยสัญญาระยะยาว 20-25 ปี รวมทั้งสิ้น 6,000 เมกะวัตต์  หรือคิดเป็น 17 เท่าของโควต้าโซลาร์ภาคประชาชนทั้งหมดที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2562-2567 (350 เมกะวัตต์) 

“ระบบรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ภาคประชาชนมีโควต้าจำกัด เปิดรับสมัครเพียงช่วงสั้นๆ ทั้งที่ระบบในปัจจุบันมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว แต่ระเบียบยังไม่ปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริง” สนอง อุ่นเรือง  กล่าว

ขณะเดียวกัน โครงการ ‘Solar Rooftop ภาคธุรกิจ (Self-Consumption + Private PPA)’ ก็เอื้อให้ภาคเอกชนขนาดกลางถึงใหญ่สามารถติดตั้งแผงโซลาร์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองได้อย่างสะดวก โดยรัฐลดขั้นตอนการขออนุญาตเหลือเพียง ‘แจ้งติดตั้ง’ พร้อมให้สิทธิพิเศษทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์จาก BOI และการทำสัญญาซื้อขายไฟ (Private PPA) กับผู้ผลิตไฟฟ้าอื่นในราคาต่ำกว่าตลาด

ด้าน ศักดิ์กมล แสงดารา ได้สะท้อนว่ารัฐเลือกสนับสนุนคนที่มีทุน มีศักยภาพ และอยู่ในระบบที่รัฐออกแบบไว้ ขณะที่ชาวบ้านหรือคนตัวเล็ก หากต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ใช้เอง กลับต้องเผชิญกับขั้นตอนซับซ้อน ค่าใช้จ่ายแฝงสูง และหากต้องการขายไฟเข้าระบบ ก็ต้องผ่านกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากและมีโควต้าจำกัด ในขณะที่ต่างประเทศภาครัฐเข้ามาสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากประชาชน ผ่านระบบการรับซื้อไฟฟ้าและสนับสนุนเงินทุนในการติดตั้ง

แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากรัฐ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบสนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์บนหลังคา โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการติดตั้ง ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 200,000 บาท 

แต่ในความเป็นจริง มาตรการนี้แทบไปไม่ถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพราะต่อให้รัฐลดหย่อนภาษี แต่ถ้าไม่มีทุนตั้งต้นสำหรับค่าติดตั้ง ก็ไม่มีทางก้าวเข้ามาอยู่ในระบบได้ และยิ่งไปกว่านั้น กฎระเบียบของรัฐที่มีอยู่ กลับยิ่งเพิ่มต้นทุนให้ประชาชนต้องแบกรับ หากอยากจะผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดบนหลังคาบ้านตัวเอง

สิ่งสำคัญที่รัฐไทยควรไปให้ถึงก็คือ นโยบาย ‘แรงจูงใจด้านเงินทุน’ ที่จะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาผลิตพลังงานเองอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ส่วนลดสำหรับอุปกรณ์ หรือการจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ประชาชนรายได้น้อยสามารถเข้าถึงได้จริง แม้บางธนาคารจะมีสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) แต่ก็จำกัดเฉพาะลูกค้าที่มีเครดิตดีหรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนเหล่านี้

ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เคยมีนโยบายให้เงินสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจ (EVN) เพื่อช่วยเหลือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ในช่วงปี 2562-2563 จนทำให้ประเทศเวียดนามมียอดติดตั้ง Solar Rooftop พุ่งเกิน 10,000 เมกะวัตต์ภายในเวลาเพียงปีเดียว 

รายงานวิจัยสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับพลังงานหมุนเวียนของ โดย TDRI ยังชี้ชัดว่า ระบบโซลาร์เซลล์แบบติดตั้งบนหลังคาเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่สามารถกระจายอำนาจการผลิตพลังงานไปสู่ระดับครัวเรือนและชุมชนได้อย่างแท้จริง หากรัฐมีมาตรการช่วยเหลือเงินทุนเริ่มต้น และเปิดเสรีการขายไฟเข้าสู่ระบบอย่างเป็นธรรม แต่จนถึงปัจจุบัน รัฐไทยยังคงใช้วิธีเปิด ‘โครงการเฉพาะกิจ’ ที่มีข้อจำกัดเรื่องโควต้า แทนที่จะยอมรับว่าการเข้าถึงพลังงานสะอาดควรเป็น ‘สิทธิขั้นพื้นฐาน’ ไม่ใช่ ‘โอกาสของคนมีเงินทุน’ เท่านั้น ความเหลื่อมล้ำเชิงนโยบายเช่นนี้เอง ที่ทำให้โซลาร์เซลล์ยังคงเป็นเรื่องของคนบางกลุ่ม มากกว่าจะเป็นพลังงานสำหรับทุกคน

“ผมอยากให้รัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนต้นทุนการติดตั้งซัก 50–60% หรือไม่ก็มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้เข้าถึงได้จริง ทุกวันนี้ อย่างที่ผมทำอยู่กับฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ ผมก็ต้องไปหาแหล่งกู้เงินให้เขา ดอกเบี้ยร้อยละ 4 กว่า ๆ ชาวบ้านก็ต้องลงทุนเองเต็มร้อย ซื้ออุปกรณ์ จ้างบริษัทที่ไว้ใจได้ติดตั้ง มันยังเป็นภาระอยู่มาก” สนอง กล่าว

เรียนรู้จากโลก ทำไมพลังงานหมุนเวียนจึงเป็นของทุกคนได้

จากบทความเรื่องพลังงานหมุนเวียนและความคลุมเครือของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดย ประเสริฐ แรงกล้า อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ศึกษาระบบพลังงานหมุนเวียน ผ่านการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในประเทศเยอรมนี พบว่า ความสนใจเรื่องพลังงานหมุนเวียนในเยอรมนีนั้นมีมาก่อนที่ประชาคมโลกจะตื่นตัวเรื่องภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศหลายทศวรรษ อีกทั้งวัฒนธรรมการเคลื่อนไหวของพลเมืองในด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และโครงสร้างทางการเมืองของประเทศเยอรมนีถือเป็นรากฐานสำคัญ 

โดยในปี 2517 ได้มีชุมชนเริ่มลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์ จนสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานในเยอรมนีเพื่อหาแนวทางพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสม จนเกิดรูปแบบที่เมืองและชุมชนร่วมกันเป็นเจ้าของพลังงานหมุนเวียน ในปี 2560 มีการจัดตั้งสหกรณ์พลังงานหมุนเวียนในระดับท้องถิ่นถึง 1,000 แห่ง ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลม แสงอาทิตย์ และก๊าซชีวภาพ รวมเป็นเงินลงทุนประมาณ 68,942 ล้านบาท 

ประเสริฐ เสนอว่า การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนไม่ใช่แค่เรื่องผลิตไฟฟ้า แต่คือการท้าทายระบบการเมืองรวมศูนย์และเศรษฐกิจแบบผูกขาดโดยกลุ่มทุนฟอสซิล ตัวอย่างจากเยอรมนีแสดงให้เห็นว่า ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงาน’ เป็นกระบวนการที่ประชาชนลุกขึ้นมาวิพากษ์อำนาจรัฐและสร้างระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์เอง โดยมีรากฐานจากวัฒนธรรมพลเมือง ไม่ใช่แค่นโยบายจากบนลงล่าง ซึ่งจุดนี้มักถูกมองข้ามจากนานาประเทศที่พยายามคัดลอกโมเดลเยอรมนีเฉพาะด้านเทคนิค แต่ละเลยการพิจารณามิติทางสังคม

ตัวอย่างกฎหมายส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

เยอรมนี ในปี 2543 รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมาย Renewable Energy Sources Act (Erneuerbare–Energien–Gesetz: EEG) สาระสำคัญคือ เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ด้วยมาตรการรับซื้อไฟฟ้า(Feed-in Tariff: FiT) จากผู้ผลิตที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ซึ่งอนุญาตให้ทุกคนในสังคมมีสิทธิผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขายเข้าระบบ โดยมีการจ่ายค่าตอบแทนในอัตราที่เหมาะสมและมั่นคงระยะยาวถึง 20 ปี

ญี่ปุ่น ภายหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟูกุชิมะ ในปี 2554 ปีถัดมารัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมาย Feed-in Tariff Law (FiT Law) บังคับให้บริษัทไฟฟ้าต้องรับซื้อพลังงานหมุนเวียน (เช่น โซลาร์เซลล์ พลังงานลม ฯลฯ) ในราคาที่รัฐกำหนด ทำให้ภาคประชาชนสามารถขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ รับประกันระยะยาว 10-20 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาด ส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากที่สุดในโลก ข้อมูลจาก Netzero carbonth เผยว่า ทางรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์เพอรอฟสไกต์ ที่เป็นพลังงานที่หาได้ง่ายและมีกำลังการผลิตมากกว่าพลังงานนิวเคลียร์ถึง 20 เท่า 

ออสเตรเลีย ในปี 2543 รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมาย Renewable Energy (Electricity) Act 2000 สำหรับส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน บังคับให้ผู้จำหน่ายไฟฟ้าต้องจัดหาพลังงานหมุนเวียนตามสัดส่วนที่กำหนด และออกใบรับรองพลังงานหมุนเวียนที่สามารถซื้อขายได้ในตลาด ส่งผลให้กระตุ้นตลาดติดตั้งโซลาร์บนหลังคา โดยมีการติดตั้งมากถึง 1 ใน 3 ของครัวเรือนทั้งประเทศ

โจทย์ที่ต้องเปลี่ยนให้ผ่าน เพื่อให้พลังงานเป็นของทุกคน 

จะเห็นได้ว่า อุปสรรคที่ขวางประชาชนไม่ให้เข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ใช่แค่ต้นทุน กฎระเบียบ หรือเทคโนโลยี แต่คือ ‘ระบบที่รัฐออกแบบไว้’ ทำให้ประชาชนไม่สามารถเป็นเจ้าของพลังงานได้จริง แม้จะเรียกว่า ‘โซลาร์ภาคประชาชน’ แต่กลับมีโควต้าเพียงปีละไม่กี่สิบเมกะวัตต์ ขณะที่ภาคเอกชนกลับได้รับโอกาสในระดับหลักพันเมกะวัตต์ พร้อมสิทธิพิเศษทางภาษีและการอนุญาตแบบเร่งด่วน

แม้จะมีความพยายามจากภาครัฐในการออกกฎหมายใหม่เพื่อปลดล็อกขั้นตอนบางอย่าง เพื่อเปิดทางให้การติดตั้งสะดวกขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนรายย่อยยังคงต้องแบกรับภาระต้นทุนหลายด้าน และยังไม่เดินหน้าไปสู่การ ‘เปิดสิทธิ’ และ ‘กระจายอำนาจการผลิตไฟฟ้า’ ให้กับประชาชนทุกคน ทำให้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็น ‘สิทธิพิเศษ’ สำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น

ดังนั้น โจทย์ที่ต้องเปลี่ยนให้ผ่านลำดับแรกก็คือ รัฐยอมรับว่าการเข้าถึงพลังงานเป็น ‘สิทธิ’ ไม่ใช่ ‘สงเคราะห์’ เพื่อนำไปสู่การปลดล็อกเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นอุปสรรค พร้อมเปิดทางให้ประชาชนผลิตและขายไฟได้อย่างเสรี โดยมีมาตรการสนับสนุนเงินทุนที่เป็นธรรม เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือเงินอุดหนุนการติดตั้ง 

การผลิตไฟฟ้าจะไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่มีเงินทุน แต่จะกลายเป็นพลังงานที่กระจายอำนาจให้ทุกคนได้มีสิทธิเป็นผู้ผลิตเพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานให้กับทุกครัวเรือนในประเทศ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือบริษัทที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

นี่คือโจทย์สำคัญของระบบพลังงานไทยที่ต้องเปลี่ยนให้ผ่าน ไม่ใช่แค่การผลิตไฟฟ้าจากอะไร แต่คือการกำหนดให้ใครเป็นผู้มีสิทธิผลิตและได้ประโยชน์จากพลังงาน หากโจทย์นี้ยังไม่ได้รับการปลดล๊อก เพื่อให้คนธรรมดาเข้าถึงการผลิตไฟจากแสงแดดที่อยู่บนหลังคาของตนเองอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โอกาสของ ‘พลังงานที่เป็นของทุกคน’ ก็จะยังเป็นเพียงแสงสว่างที่ไม่มีวันถูกเปิดสวิตช์

“ถ้ารัฐสนับสนุนประชาชนเต็มที่กว่านี้ กฎระเบียบเข้าถึงง่ายกว่านี้ โซลาร์เซลล์จะเป็นพลังงานของคนทั่วไปได้จริงๆ แน่นอนครับ” สนอง กล่าว

รายการอ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง