ชาวบ้านสะท้อนปัญหามาตรการจัดการไฟ-PM 2.5 ภาคเหนือและพากรมควบคุมมลพิษลงพื้นที่ดูไร่หมุนเวียน

Date:

31 มกราคม 2566

ภาพ: กัญญ์วรา หมื่นแก้ว

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2565 เวลา 16.00 น. ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมด้วยมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ มูลนิธิธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงพื้นที่ชุมชนปกาเกอะญอบ้านสบลาน หมู่ 6 ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน และรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของภาคประชาชนเกี่ยวกับมาตรการจัดการไฟป่าและ PM 2.5 ของภาครัฐที่ยังไม่สอดคล้องกับวิถีการจัดการเชื้อเพลิงของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ

มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ รายงานว่า อธิบดีกรมควบคุมมลพิษลงพื้นที่ชม ‘ไร่หมุนเวียน’ ของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ จ.เชียงใหม่ รับฟังปัญหามาตรการจัดการไฟป่า-PM 2.5 ภาคเหนือ ชาวบ้านยืนยันวิถีใช้ ‘ไฟจำเป็น’ เพื่อปากท้อง อธิบดีย้ำ มาตรการควรจำแนกไฟ รับไปพิจารณาดำเนินการ

ตาแยะ ยอดฉัตรมิ่งบุญ ชาวปกาเกอะญอบ้านสบลาน/ ภาพ: กัญญ์วรา หมื่นแก้ว

ตาแยะ ยอดฉัตรมิ่งบุญ ชาวปกาเกอะญอบ้านสบลาน กล่าวว่า ชุมชนบ้านสบลานอยู่ในพื้นที่ป่าที่ถูกรัฐประกาศทับ ปัจจุบันเป็นป่าสงวนแห่งชาติเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติออบขาน ซึ่งแต่เดิมก็มีข้อพิพาทกับหน่วยงานในพื้นที่เรื่องสิทธิในที่ทำกินอยู่แล้ว และย้ำว่า การทำไร่หมุนเวียนเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ชุมชน เพราะชาวบ้านไม่ได้มีรายได้ จำเป็นต้องปลูกข้าวในระบบไร่หมุนเวียนเพื่อเลี้ยงครอบครัว อย่างไรก็ตามระบบไร่หมุนเวียนถูกหน่วยงานรัฐและสังคมมองว่าเป็นไร่เลื่อนลอยที่ทำลายป่า และความจำเป็นในการใช้ไฟหลังการแผ้วถางพื้นที่ก็ถูกมองเป็นต้นเหตุของไฟป่าและ PM 2.5 แม้ชุมชนจะมีการควบคุมไฟอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงมาตรการห้ามเผาเด็ดขาดตามประกาศ จ.เชียงใหม่ ที่แสดงถึงความไม่เข้าใจวิถีที่หลากหลาย และมุ่งใช้อำนาจในการควบคุมมากกว่าการมีส่วนร่วม

“เราต้องทำไร่หมุนเวียนซึ่งต้องมีการเผาตามวิถีชีวิต ถ้าไม่ให้เราเผาไร่ ปีหน้าเราจะไม่มีข้าวกินแล้ว เราใช้ไฟแค่ครั้งเดียวตลอดทั้งปี แต่ติดที่เป็นช่วงเวลาประกาศห้ามเผา ทำให้ติดข้อจำกัดหลายอย่าง ไร่หมุนเวียนนั้นเราไม่ได้เผาทั้งหมด เราเผาเฉพาะแปลงที่ถางในปีนี้ ซึ่งมีอยู่แค่ 12 แปลง ไร่ที่พักฟื้นไว้รอบๆ ก็ช่วยดูดซับคาร์บอนได้ และมีพิกัดชัดเจน ไม่ได้บุกรุกป่าใหม่ และที่ผ่านมาเราก็ช่วยดูแลป่ามาตลอด ทำแนวกันไฟกัน 2 เดือน ความยาว 116 กิโลเมตร เชื่อมกับ อ.แม่วาง ด้วย” ตาแยะกล่าว

นันทวัฒน์ เที่ยงตรงสกุล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.สะเมิงใต้ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ย้ำว่า ที่ผ่านมาชุมชนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ยังสามารถใช้ไฟในไร่หมุนเวียนได้ แม้ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีจนไม่สอดคล้องกับภูมิปัญญาดั้งเดิม เช่น การจัดทำแผนการจัดการเชื้อเพลิงในไร่หมุนเวียนเสนอต่อนายอำเภอ การใช้แอพลิเคชันของหน่วยงานเพื่อขออนุญาตในการเผา การปรับเวลาการใช้ไฟเพื่อไม่ให้ปรากฏจุดความร้อน (Hotspot) แต่ที่ผ่านมาไม่มีหลักประกันว่าชุมชนจะสามารถใช้ไฟได้อย่างปลอดภัยจากการจับกุมและคุกคามของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ โดยเฉพาะกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

“เราทำหนังสือ ทำข้อมูล ล่ารายชื่อจากชุมชนเสนอจัดทำแผนการใช้ไฟไปที่อำเภอ พยายามบอกว่าขอให้ยืดหยุ่นตามวิถีของกลุ่มชาติพันธุ์ได้ไหม นายอำเภอก็บอกว่าไม่ได้ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ต้องบังคับใช้ในแนวทางเดียวกัน ล่าสุดเรายังพบว่ามีหน่วยงานส่งเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับมาลาดตระเวนในพื้นที่อีก ชุมชนก็เกิดความกังวล ถ้ากดดันและบีบให้เราจัดการเชื้อเพลิงไม่ได้ขนาดนี้ หลังจากนี้ชาวบ้านคงต้องไปทำงานรับจ้างในเมืองกันหมด เพราะปลูกข้าวกินเองไม่ได้แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านย้ำ

ประยงค์ ดอกลำใย ผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เห็นว่า มาตรการห้ามเผาของจังหวัดมีปัญหาคือไม่เปิดโอกาสให้มีการจัดการเชื้อเพลิง รวมทั้งเงื่อนระยะเวลาของมาตรการห้ามเผาที่ไม่สอดคล้องกับวงจรการผลิตของชุมชนปกาเกอะญอที่ยังทำระบบไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นระบบเกษตรที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเกษตรกรรมยั่งยืน ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติโดยกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 ส.ค. 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงรองรับอยู่ โดยกำหนดแนวนโยบายให้มีการยอมรับและฟื้นฟูระบบไร่หมุนเวียน ดังนั้นมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทบทวนและปรับปรุงให้สอดคล้อง และไม่สร้างผลกระทบต่อระบบการผลิตในรูปแบบไร่หมุนเวียน

ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ตนได้เข้าใจระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนมากขึ้นในการศึกษาดูงานครั้งนี้ และเห็นข้อจำกัดของมาตรการจากส่วนกลางที่ยังมีช่องว่างระหว่างชุมชนกับหน่วยงานรัฐ โดยย้ำว่าหลังจากนี้จะรับไปพิจารณาดำเนินการให้มีการจำแนกการใช้ไฟอย่างจริงจัง เพราะมีไฟที่ชุมชนจำเป็นต้องใช้ตามวิถี นอกจากนั้นยังเห็นว่ามาตรการหรือนโยบายด้านการจัดการไฟป่าและ PM 2.5 ไม่ควรใช้มาตรการเดียวกับกับทุกพื้นที่เพราะมีบริบทที่แตกต่าง และไม่ควรมีแค่การจัดการไฟในรูปแบบของป่าสงวนและแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เท่านั้น แต่ควรมีระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียนอยู่ด้วย

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้ประกาศมาตรการห้ามเผาเด็ดขาด กำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 2566 โดยจังหวัดเชียงใหม่มีเนื้อที่ประมาณ 13 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่าประมาณ 9 ล้านไร่ ซึ่งจังหวัดได้ประกาศพื้นที่บริหารจัดการพิเศษ 8 พื้นที่ ครอบคลุมถึง อ.สะเมิง ด้วย นอกจากนั้นยังกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการจัดการไฟป่าและ PM 2.5 โดยจุดความร้อน (Hotspot) ร่องรอยการเผาไหม้ (Burn Scar Area) จำนวนวันที่มีค่า PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน และจำนวนผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ต้องลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ของค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...

คนฮอดเดือดร้อน น้ำหนุนจากเขื่อนภูมิพลท่วมซ้ำทุกสิบปี พืชผลทางการเกษตรเสียหายยกสวน

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 สถานการณ์น้ำหนุนในพื้นที่ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณสะพานจามเทวี...