เรื่อง: นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
“….ปวงดอกไม้เบ่งบานสลอน ฝูงภมรภู่ผึ้งสอดไซ้
ดอกพิกุลของปี้ต้นใต้ ลมปั๊ดไม้ มาสู่บ้านตู๋
ฮู้แน่ซัด เข้าสอดสองหู ว่าสีจมปูถูกป้ำเก๊าเนิ้ง
เก๊ามันต๋าย ป๋ายมันเสิ้ง ลำกิ่งเนิ้ง ป๋ายโก้นโตยแนว
ดอกพิกุล ก่อคือดอกแก้ว ไปเป๋นของเปิ้น แล้วเนอ…..”
หมายเหตุ: ผู้เขียนถอดความบทร้องนี้จากเสียงร้องของ ‘จรัล มโนเพ็ชร’ มาโดยตรง เพื่อให้เห็น ความคลาดเคลื่อน ระหว่างภาษาล้านนายุคเก่ากับภาษาล้านนาที่ปรากฏในผลงานของจรัลเอง ซึ่งความคลาดเคลื่อนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ศิลปินตั้งใจไว้
ในการค้นคว้า ผู้เขียนได้อ้างอิงจาก วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต เรื่อง ลักษณะวรรณกรรมภาคเหนือ โดย ศาสตราจารย์ประคอง นิมมานเหมินท์ (พ.ศ. 2509) ซึ่งถือเป็นงานวิชาการบุกเบิกด้านนี้ วิทยานิพนธ์ดังกล่าวได้ใช้ข้อมูลจาก นายเนตร จันทรปัญญา ผู้ใกล้ชิด ท้าวสุนทรพจนกิจ และเป็นผู้ที่จดจำเนื้อหาบทประพันธ์ดั้งเดิมได้มากที่สุด
ท่อนร้องของบทเพลง ‘น้อยไจยา’ ท่อนนี้ที่ขับร้องโดย จรัล มโนเพ็ชร และ สุนทรี เวชานนท์ อาจเป็นท่อนที่คุ้นหูใครหลายคน เพราะน้ำเสียงของทั้งคู่ช่วยปลุกตัวละคร ‘น้อยไจยา–นางแว่นแก้ว’ ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านฉากสำคัญในละครร้องที่เล่าถึงความรัก ณ น้ำตกห้วยแก้ว ระหว่างชายหนุ่ม ไจยา และหญิงสาว แว่นแก้ว เต็มไปด้วยถ้อยคำตัดพ้อและอารมณ์ออดอ้อน
เพลงนี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสานดนตรีสมัยใหม่เข้ากับคุณค่าศิลปวัฒนธรรมล้านนาอย่างกลมกลืน จนได้รับความนิยมกว้างขวาง และถูกยกให้เป็นบทเพลงอมตะของไทย ด้วยท่วงทำนองอันไพเราะและถ้อยคำเมืองล้านนาที่งดงาม
นอกจากนี้ เนื้อหายังโยงกับฉากจริงในพื้นที่เวียงเชียงใหม่และปริมณฑลในช่วงยุคอาณานิคมที่เป็นรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมระหว่างล้านนากับสยาม โดยมี จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ราชาโฟล์คซองคำเมือง’ ทำหน้าที่สำคัญในการนำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดผ่านบทเพลง โดยการนำเพลงน้อยไจยามาขับร้องใหม่ด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ผสมเสียงกีตาร์เบาๆ และขลุ่ยรีคอร์เดอร์ประกอบ เพลงนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นบทเพลงรัก หากแต่ยังทำหน้าที่เสมือน ‘หน้าต่าง’ ที่เปิดไปสู่ประวัติศาสตร์ของสังคมพหุวัฒนธรรมในดินแดนล้านนายุคเปลี่ยนผ่าน
แม้ น้อยไจยา จะเป็นที่จดจำในฐานะเพลงที่โดดเด่นทั้งทำนองและเสียงร้องของศิลปิน แต่สิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือบทเพลงนี้สะท้อนให้เห็น ‘ภูมิสถานและความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์’ ผ่านฉากสำคัญอย่าง น้ำตกห้วยแก้ว, ชุมชนบ้านวังสิงห์คำ, แจ่งกะต๊ำ, และวัดนันทาราม ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่จริงในเมืองเชียงใหม่และปริมณฑล
เรื่องราวในเพลงไม่ได้หยุดอยู่ที่รักสามเส้าระหว่าง น้อยไจยา นางแว่นแก้ว และส่างนันตา เท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นว่า ท้าวสุนทรพจนกิจ กวีในราชสำนักเชียงใหม่ ได้ใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องบันทึกสังคมร่วมสมัย สะท้อนความหลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นไทยวน ไทใหญ่ ไทเขิน ตลอดจนผู้คนจากพม่าและชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาค้าขายหรือทำธุรกิจในช่วงที่ป่าไม้สักเป็นสินค้าสำคัญ
หนึ่งในตัวละครหลักอย่าง ส่างนันตา ซึ่งถูกเล่าว่าเป็นชาวไทใหญ่เจ้าของโรงเลื่อยไม้ที่บ้านวังสิงห์คำ ก็บ่งบอกถึงการอพยพและการตั้งถิ่นฐานของชาวไทใหญ่และชาวพม่าในล้านนา ระหว่าง พ.ศ. 2383–2428 เมื่อบริษัทอังกฤษอย่างบริติชเบอร์เนียวและบอมเบย์เบอร์มาเข้ามาสัมปทานป่าไม้ในภูมิภาคนี้ อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการรวมล้านนาเข้าสู่สยาม ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งราชสำนักกรุงเทพฯ และอิทธิพลอาณานิคมตะวันตก
ความสลับซับซ้อนของเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวจึงสะท้อนออกมาในบทเพลง น้อยไจยา อย่างแนบแน่น เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงรัก หากยังเป็นภาพแทนของสังคมล้านนา-เชียงใหม่ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์และความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันประหนึ่ง ‘ดอกพิกุลที่เบ่งบานท่ามกลางสายลมแห่งประวัติศาสตร์’
ความสัมพันธ์ล้านนา–ราชสำนักสยาม สู่ต้นธารละครร้อง น้อยไจยา
ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนากับกรุงเทพฯ เริ่มชัดเจนตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เมื่อล้านนาอยู่ในฐานะเมืองประเทศราช และยิ่งใกล้ชิดมากขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะเมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูปการปกครอง ทำให้บทบาทของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลดลง จนกระทั่งตำแหน่งนี้ถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2482 เมื่อเจ้าแก้วนวรัฐสิ้นพระชนม์ในฐานะเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้าย
ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้สะท้อนเพียงด้านการเมือง แต่ยังเกี่ยวพันกับศิลปวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น จิตรกรรมฝาผนังวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ (พ.ศ. 2000–2200) ที่นำ สุวรรณสังขชาดก มาถ่ายทอด ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจะทรงนำเรื่องเดียวกันมาดัดแปลงเป็น กลอนบทละคร จนแพร่หลายในรูปแบบละครนอก ต่อมาในราว พ.ศ. 2420 เจ้าแม่ทิพเกสร พระชายาเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้นำวรรณกรรม พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ขึ้นเชียงใหม่ และให้พระญาพรหมโวหารแต่งเป็น ‘คร่าวซอพระอภัยมณี’ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างวรรณคดีกรุงเทพฯ และศิลปะพื้นเมืองล้านนา
ต่อมา พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเพลงซอและนาฏศิลป์ล้านนา พระองค์ทรงเชิญครูซอ เช่น นายศรีหมื่น ปลายราง มาสอนเชื้อพระวงศ์ และเจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ (ศิลปินแห่งชาติ) ยังเคยเล่าว่า “พระองค์ถึงกับทรงสอนเพลง ซอน้อยไจยา ด้วยพระองค์เอง” เพลงนี้ก็คือ น้อยไจยา–แว่นแก้ว ผลงานประพันธ์ของท้าวสุนทรพจนกิจ ขุนนางราชสำนักเชียงใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก โรมิโอและจูเลียต ของเชกสเปียร์ เพื่อนำไปแสดงในงานฉลองพระชนมายุครบ 48 พรรษาของพระราชชายาฯ ราว พ.ศ. 2464
ละครร้อง น้อยไจยา–แว่นแก้ว จึงเป็นผลงานที่ผสมผสานอิทธิพลตะวันตก ราชสำนักกรุงเทพฯ และศิลปะการแสดงล้านนา พระราชชายาฯ ยังทรงแก้ไขบทบางตอนเพื่อความเหมาะสม และทรงวางรากฐานให้นาฏศิลป์ล้านนามีมาตรฐาน สามารถแสดงต้อนรับราชอาคันตุกะและแขกเมืองสำคัญได้
หนึ่งในฉากสำคัญคือฉากที่น้อยไจยาและแว่นแก้วนัดพบกันที่น้ำตกห้วยแก้ว ทั้งสองร้องโต้ตอบพร้อมฟ้อนรำท่าล่องน่าน จนภายหลังถูกเรียกติดปากว่า ‘ฟ้อนล่องน่านน้อยไจยา–แว่นแก้ว’ แม้บทละครฉบับเต็มจะสูญหายไป แต่ทำนองซอและการแสดงยังสืบทอดต่อผ่านครูซอและครูนาฏศิลป์ เช่น เจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ และนางสมพันธ์ โชตนา (ศิลปินแห่งชาติ) ซึ่งต่างสืบสายตรงมาจากราชสำนักเชียงใหม่
ปัจจุบัน น้อยไจยา–แว่นแก้ว ยังคงมีชีวิตอยู่ในรูปแบบการฟ้อนและการขับซอ ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรของวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ และใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ชุดการแสดงใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงนับเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างล้านนา สยาม และตะวันตกได้อย่างงดงาม
บทขับซอทำนอง ล่องน่านน้อยไจยา–แว่นแก้ว เดิมมีความไพเราะและเข้าถึงง่าย จนเป็นที่นิยมทั้งในภาคเหนือและภูมิภาคอื่นๆ ต่อมา จรัล มโนเพ็ชร ได้นำมาปรับปรุงและร้องใหม่ในรูปแบบ โฟล์คซองคำเมือง จนกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้มีการเปลี่ยนแปลงคำร้องและทำนองบ้าง แต่ก็ยังคงรักษากลิ่นอายดั้งเดิมเอาไว้
จรัลได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ ‘พลิกฟื้นชีวิต’ ให้แก่บทซอนี้ เขาเติบโตในเชียงใหม่ มีพื้นฐานด้านดนตรีและศิลปะล้านนา แต่สามารถนำเสนอให้น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว โดยผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่าง สะล้อ ซอ ซึง เข้ากับกีตาร์และดนตรีโฟล์ค จนเกิดเอกลักษณ์ทางดนตรีร่วมสมัย แม้จะปรับทำนองและรูปแบบให้เข้ากับยุคสมัย แต่เขายังคงรักษาแก่นสำคัญของ น้อยไจยา–แว่นแก้ว ไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะภาษาคำเมืองที่ไพเราะ และสาระที่สะท้อนวิถีชีวิตและความรู้สึกของผู้คนล้านนา
ดอกพิกุลที่เบ่งบานใน ‘น้อยไจยา’ เนื้อหาสาระและหน้าต่างสู่ประวัติศาสตร์สังคมพหุวัฒนธรรม
เรื่องราวความรักของ น้อยไจยา (ไจยา) บุตรชายพระยาสามล้าน ผู้ตั้งบ้านเรือนอยู่แจ่งกะต๊ำ และ แว่นแก้ว บุตรีพระยาไจยลังกา ผู้พำนักอยู่นอกประตูเวียงเชียงใหม่ เล่าขานกันมายาวนานในนาม ‘น้อยไจยา’ เรื่องนี้มิได้เป็นเพียงนิทานรัก หากยังสะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์และสังคมพหุวัฒนธรรมของเชียงใหม่ในห้วงเวลาสำคัญ
ครอบครัวทั้งสองสนิทกันและหวังจะให้ไจยากับแว่นแก้วแต่งงานกัน ทั้งคู่ก็รักใคร่กันอยู่แล้ว โดยมีหนานตุ้ยและนางเกี๋ยงเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือใกล้ชิด แต่เหตุการณ์เริ่มซับซ้อนเมื่อ ส่างนันตา เศรษฐีโรงเลื่อยชาวไทใหญ่จากบ้านวังสิงห์คำริมแม่น้ำปิง เข้ามาพบเห็นแว่นแก้วและเกิดความพึงใจ ด้วยฐานะร่ำรวย ส่างนันตาจึงไปขอหมั้นหมายจากพระยาไจยลังกาและนางอุษา ภรรยาใหม่ พระยาไจยลังกายังมิได้ตอบตกลง ต้องการถามความสมัครใจของแว่นแก้วก่อน แต่ฝ่ายนางอุษากลับเห็นดีด้วยเพราะเล็งเห็นฐานะมั่นคง
เมื่อแว่นแก้วรู้เรื่องนี้ จึงให้นางเกี๋ยงนัดน้อยไจยาไปพบที่ ห้วยแก้ว เพื่อปรึกษากัน ทว่าบังเอิญส่างนันตาไปพบเข้า จึงเกิดปากเสียงและทะเลาะวิวาทกัน ส่างนันตาโกรธแค้นมาก ขู่จะไปฟ้องศาล
ไม่นานส่างนันตาก็ไปใส่ความต่อพระยาไจยลังกาว่าไจยาและแว่นแก้วประพฤติผิดประเพณี แม้แว่นแก้วและนางเกี๋ยงยืนยันว่าไม่จริง แต่ส่างนันตาก็ยังนำเรื่องไปฟ้องศาล โชคดีที่ศาลสอบถามความจริงจากแว่นแก้วและตัดสินว่าไจยาไม่มีความผิด ส่างนันตายิ่งเจ็บใจและอาฆาตไจยา
ต่อมา พระยาสามล้านจึงไปสู่ขอแว่นแก้วจากพระยาไจยลังกา ทั้งสองได้แต่งงานกันอย่างสมหวัง แต่ในคืนส่งตัวเข้าหอ ส่างนันตาลอบยิงน้อยไจยา เรื่องเล่าว่ามีสองกระแส บ้างว่าเขาสิ้นใจทันที บ้างว่าเขาหนีรอดและได้กลับมาอยู่กินกับแว่นแก้วอย่างมีความสุข
การผูกโยงกับสังคมเชียงใหม่
ท้าวสุนทรพจนกิจได้ทูลเกล้าฯ ถวายบทละครร้องเรื่อง น้อยไจยา–แว่นแก้ว แด่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี และพระองค์ทรงปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมกับยุคสมัย เรื่องราวในละครถูกเล่าราวกับว่าเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่ โดยหยิบยกสถานที่สำคัญ หมู่บ้าน และแหล่งชุมชนต่างๆ มาเป็นพื้นหลังและรายละเอียดของตัวละคร
แว่นแก้วถูกกำหนดให้เป็นหญิงสาวรูปงามจากชุมชน วัดนันทาราม ด้านใต้ของกำแพงเมือง ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวไทเขินที่อพยพมาจากเชียงตุง สาวเมืองเชียงตุงขึ้นชื่อว่างดงามจนมีคำกล่าวว่า “สาวงามบ้านเขิน สาวเคิ้นวัวลาย” โดย ‘สาวงามบ้านเขิน’ ก็คือหญิงสาวจากบ้านนันทาราม ส่วน ‘สาวเคิ้นวัวลาย’ คือหญิงชาวไทเขินบ้านวัวลายที่ทำเครื่องเงิน แม้ฐานะร่ำรวย แต่กลับไม่ค่อยมีชายหนุ่มสู่ขอเพราะต้องใช้ค่าสินสอดสูง
ในขณะที่ ส่างนันตา ถูกผูกโยงให้เป็นหนุ่มชาวไทใหญ่จากหมู่บ้าน วังสิงห์คำเหนือ ซึ่งในอดีตเป็นชุมชนของคหบดีชาวไทใหญ่ผู้มั่งคั่งจากการค้าไม้ พื้นที่ตั้งแต่ประตูท่าแพไปจนถึงแม่น้ำปิง รวมถึงวังสิงห์คำ ล้วนเป็นย่านพ่อค้าและแรงงานชาวพม่า–ไทใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับกิจการไม้สัก ส่างนันตาจึงถูกสร้างภาพให้เป็นลูกคหบดีผู้ร่ำรวย และเป็นที่หมายปองของบิดามารดาแว่นแก้วที่หวังจะให้บุตรสาวแต่งงานด้วย
แม้กระทั่ง น้ำตกห้วยแก้ว ที่เชิงดอยสุเทพ ซึ่งเคยเป็นแหล่งนัดพบของหนุ่มสาวในอดีต ก็ถูกนำมาใช้เป็นฉากสำคัญให้ไจยาและแว่นแก้วนัดพบกัน
หากมองในบริบทประวัติศาสตร์ ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ล้านนาภายใต้ร่มเงาสยามกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกสมัยใหม่ เมืองเชียงใหม่กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าในยุครัชกาลที่ 5 และอยู่ในห้วงเดียวกับการขยายอำนาจของเจ้าอาณานิคม ตลอดจนการเติบโตของเศรษฐกิจทุนนิยมโลก ส่งผลให้ต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งแรงงานขนส่งคาราวานจากกลุ่มไทใหญ่และจีนฮ่อ แรงงานสัมปทานไม้สักซึ่งดึงชาวขมุและกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่
บริษัทต่างชาติอย่าง บริติช บอร์เนียว (British Borneo Company Ltd.) ที่มีมิสเตอร์ หลุยส์ ที. ลีโอโนเวนส์ เป็นผู้จัดการ และ บอมเบย์ เบอร์มา (Bombay Burmah Trading Corporation Ltd.) ต่างเข้ามาดำเนินธุรกิจไม้สักในเชียงใหม่ตั้งแต่ราว พ.ศ. 2430 เป็นต้นมา ต่อมามีทั้งพม่า ไทใหญ่ เจ้านาย และขุนนางท้องถิ่นร่วมทำกิจการป่าไม้ด้วย ย่านการค้าไม้ริมแม่น้ำปิงตั้งแต่ท่าแพไปจนถึงวังสิงห์คำจึงเต็มไปด้วยชุมชนพ่อค้าชาวพม่าและไทใหญ่ที่ติดต่อค้าขายกับเมืองมะละแหม่งผ่านเส้นทางแม่สอด จังหวัดตาก
จากสาเหตุนี้ละครเรื่องน้อยไจยา-แว่นแก้วจึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาวไทใหญ่ที่เป็นพ่อค้าในเมืองเชียงใหม่เพื่อโยงกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไว้อย่างน่าสนใจ ดังปรากฏข้อความในบทประพันธ์ที่กล่าวว่า
“ฮักเหลือมอกจะไปบอกปิตต๋า หื้อป้อพระยาไปขอน้องไท้
แต่ปี้นี้กั๋วจักบ่ได้เพราะข้าปี้ไท้ไร้ยากเข้าของ บ่หมี๋เงินทองเหมือนนันตาเงี้ยว”
ดังนั้น ตัวละคร ส่างนันตา ในบทละครร้องจึงมิได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อเป็นคู่แข่งความรักของน้อยไจยา หากยังเป็น ‘ภาพแทน’ ของคหบดีชาวไทใหญ่ผู้มั่งคั่งจากการค้าไม้ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมเชียงใหม่ในห้วงเวลานั้น บทละครร้อง น้อยไจยา จึงไม่เพียงเล่าเรื่องรักโศกของหนุ่มสาว แต่ยังสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และบริบทการเมืองของล้านนาภายใต้สยามได้อย่างมีมิติ
ความสัมพันธ์ของชุมชนต่างๆ ในเมืองเชียงใหม่ ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา สภาพเศรษฐกิจสังคม และความเจริญด้านศิลปวัฒนธรรมจากราชสำนักกรุงเทพฯ ที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงนำมาพัฒนาการนาฏศิลป์ดนตรีล้านนา ส่งผลให้ละครเรื่อง น้อยไจยา-แว่นแก้ว ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย ใกล้เคียงละครตะวันตก ผสานนาฏศิลป์ไทยภาคกลาง ดนตรี และขับซออย่างงดงาม ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีล้านนาในยุคศิลปวัฒนธรรมรุ่งเรือง พร้อมเป็นการยกระดับความเป็นพื้นบ้านให้มีแบบแผนจากราชสำนัก หัวเมืองเหนือทั้งแปด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน ก็ได้รับอิทธิพลจากราชธานีเชียงใหม่ในยุคนั้นด้วย
น้อยไจยาในภูมิสถานย่านเวียงเชียงใหม่และปริมณฑล
ผู้เขียนขอนำเสนอฉากสำคัญและสถานที่ที่ปรากฏในละครร้อง น้อยไจยา–แว่นแก้ว ดังนี้

ตำแหน่งที่ 1 น้ำตกห้วยแก้ว อันเป็นสถานที่นัดพบของน้อยไจยาและแว่นแก้ว ชายหนุ่มหญิงสาวในเชียงใหม่ใช้เป็นสถานที่พบปะพูดคุยและเกี้ยวพาราสีกันมาตั้งแต่อดีต สถานที่นี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีต้นน้ำจากดอยสุเทพ ไหลลงสู่เมืองเชียงใหม่ รอบเส้นทางมีแหล่งธรรมชาติ เช่น วังบัวบาน น้ำตกมณฑาธาร และวัดสกิทาคาผาลาด ในละครฉากนี้ น้อยไจยาและแว่นแก้วแลกเปลี่ยนความรู้สึกเกี่ยวกับการแต่งงานและฐานะ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับส่างนันตาและบุตรของเขา


ตำแหน่งที่ 2 ชุมชนบ้านวังสิงห์คำ เป็นหมู่บ้านของส่างนันตา ลูกชายคหบดีชาวไทใหญ่ ผู้ประกอบอาชีพค้าไม้สักเพื่อส่งไปกรุงเทพฯ โดยในบริบทยุคอาณานิคมซึ่งมีการทำกิจการค้าไม้สักและโรงเลื่อยกันอย่างเฟื่องฟู เพราะไม่ได้มีการลงทุนในการปลูกขึ้นมาแต่อย่างใด นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ดึงดูดให้พ่อค้าไม้สักชาวพม่าและชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาสู่ดินแดนแถบนี้กันอย่างมากมาย โดยอาศัยชาวขมุเป็นแรงงาน ดังนั้น ชาวไทใหญ่หรือชาติพันธุ์อื่นๆ ใกล้เคียงอย่างปะโอ ตองสูนั้น คือกลุ่มคนซึ่งถือได้ว่ามั่งมีในทางเศรษฐกิจมากเป็นอย่างยิ่ง
มีคำถามเชิงทีเล่นทีจริงถามกันมาบ่อยครั้งว่า บ้านวังสิงห์คำบ้านของส่างนันตาที่ว่านี้เป็นบ้านวังสิงห์คำเหนือ (ในตำบลป่าตัน) หรือบ้านวังสิงห์คำใต้ (ในตำบลป่าแดด) ผู้เขียนคิดว่าคำถามนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเมื่อเราเทียบเคียงบริบททางประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมและเศรษฐกิจการค้าไม้สักในล้านนา ตลอดจนเส้นเรื่องในเรื่องเล่าที่มีต่อบทบาทและสถานะภาพทางสังคมของส่างนันตา ก็จะทำให้เราทราบได้ทันทีว่า ถึงแม้เขาจะเป็นไทใหญ่ (ดูจากคำนำหน้าชื่อว่า “ส่าง” ซึ่งแปลว่าผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว) ส่างนันตาเป็นชาวไทใหญ่ในระดับคหบดีที่ร่ำรวยจากธุรกิจการค้าไม้สัก (จะกล่าวว่าแกอยู่ในแวดวงสังคมไฮโซเชียงใหม่ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้) แน่นอนว่ากลุ่มพ่อค้าไม้สักเหล่านี้ได้มีสถานที่พำนักตั้งอยู่ติดแม่น้ำปิง โดยอาศัยแรงของกระแสน้ำช่วยล่องแพไม้สักลงไปยังกรุงเทพฯ ในช่วงฤดูน้ำหลาก
ชุมชนดังกล่าวเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งลำน้ำปิงเคียงคู่กันมาตั้งแต่แถบบ้านท่อ-บ้านหลุก บ้านป่าตัน-บ้านสันผีเสื้อ บ้านวังสิงห์คำ-ฟ้าฮ่าม บ้านขะจาว และวัดเกตุ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีโรงเลื่อยไม้ ขณะเดียวกันเศรษฐีไทใหญ่ พม่า หรือปะโอ อันเป็นผู้รากมากดีที่ร่ำรวยจากธุรกิจไม้สักเหล่านี้ ก็มีส่วนสำคัญในการเป็นคณะศรัทธาหัววัด อันเป็นศาสนสถานยึดเหนี่ยวของคนกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายวัดในเวียงเชียงใหม่ เช่น ขณะที่วัดป่าเป้า ตั้งอยู่ข้างคูเมืองด้านทิศเหนือ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนชาวไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีชุมชนชาวไทใหญ่ล้อมรอบ
ชุมชนไทใหญ่นี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวล้านนาและชาวไทใหญ่ที่มีมาช้านานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงของพื้นที่ชุมชนดังกล่าวยังปรากฏพื้นที่ทางจิตวิญญาณหรือศาสนสถานของศาสนาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดป่าเป้าและวัดกู่เต้า ของชุมชนชาติพันธุ์ไทใหญ่และปะโอ วัดทรายมูลของชุมชนชาวพม่า

ตำแหน่งที่ 3 ตัวเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่เป็นเมืองหลวงเก่าของล้านนา มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม การค้า และการเมือง ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มระหว่างเทือกเขาผีปันน้ำและถนนธงชัย มีแม่น้ำแม่ปิงและลำน้ำสาขา ระบบชลประทานแบบเหมืองฝายหล่อเลี้ยงสังคมเกษตรกรรมในแอ่งเชียงใหม่–ลำพูน สมัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกรุงเทพฯ และล้านนา ทำให้ละครเรื่องนี้สะท้อนชีวิตผู้คนในเมืองเชียงใหม่ ผสมผสานวัฒนธรรม ประเพณี การเมือง การค้าชาติพันธุ์ และภาษาท้องถิ่น

ตำแหน่งที่ 4 ชุมชนวัดนันทาราม ชุมชนของชาวไทเขินจากเมืองเชียงตุง เป็นหมู่บ้านฝีมือดีด้านสลักไม้และเครื่องเงิน นางเอกแว่นแก้วจึงเป็นลูกสาวชาวไทเขินจากวัดนันทาราม แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครกับชุมชนอย่างชัดเจน


ตำแหน่งที่ 5 ชุมชนวัดพวกช้าง เป็นบ้านของพระยาไจยลังกา บิดาของน้อยไจยา ตั้งอยู่แถวแจ่งก๊ะต๊ำ ชุมชนนี้มีความถนัดในการเลี้ยงช้างแก่เจ้าเมือง น้อยไจยาเป็นชาวไทยยวน เคยบวชแล้วมีคำว่าน้อยนำหน้านาม พระยาไจยลังกามีฐานะทางการเมือง แต่ครอบครัวไม่ร่ำรวยเท่าส่างนันตา จึงเป็นเหตุให้บิดาแว่นแก้วพอใจให้ลูกสาวแต่งงานกับส่างนันตา ความรักของน้อยไจยา–แว่นแก้วจึงต้องนัดพบกันที่น้ำตกห้วยแก้ว
เชื่อมรากวัฒนธรรมล้านนา จากราชสำนักสู่ละครน้อยไจยา-แว่นแก้ว
บทละครร้อง น้อยไจยา รจนาขึ้นโดยท้าวสุนทรพจนกิจ กวีในราชสำนักเชียงใหม่ และได้รับการปรับปรุงโดยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เพื่อถวายในงานฉลองพระชนมายุครบ 48 ปี ไม่ใช่เพียงวรรณกรรมเล่าเรื่องความรักสามเส้า ระหว่างน้อยไจยา นางแว่นแก้ว และส่างนันตา แต่ยังเป็นพยานทางประวัติศาสตร์สะท้อนภูมิสถาน ชาติพันธุ์สัมพันธ์ และการเปลี่ยนผ่านทางสังคมเศรษฐกิจในล้านนา โดยเฉพาะเวียงเชียงใหม่และปริมณฑลช่วงรอยต่อระหว่างยุคอาณานิคมกับการรวมชาติของล้านนาและสยาม
เมื่อบทเพลงนี้ได้รับการฟื้นฟูผ่านน้ำเสียงของ จรัล มโนเพ็ชร ศิลปินผู้ได้รับการยกย่องเป็นราชาโฟล์คซองคำเมือง น้อยไจยา จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสานดนตรีพื้นถิ่นล้านนากับดนตรีสมัยใหม่ เนื้อหาบทเพลงยังคงคุณค่าทางวัฒนธรรม และเปิดหน้าต่างสู่สังคมพหุวัฒนธรรมของเชียงใหม่
จรัล มโนเพ็ชร ได้นำบทขับซอทำนองล่องน่านดั้งเดิม ซึ่งเดิมได้รับอิทธิพลจากละครตะวันตก เช่น โรมิโอและจูเลียต ของเชกสเปียร์ และปรับปรุงให้ผสมผสานภาษาคำเมืองล้านนากับไทยกลาง เพื่อเข้าถึงผู้ฟังทุกกลุ่ม เขานำเครื่องดนตรีพื้นถิ่น เช่น สะล้อ ซอ ซึง มาผสมกับกีตาร์และดนตรีโฟล์คสมัยใหม่ พร้อมร้องคู่กับสุนทรี เวชานนท์ ทำให้เสียงขับขานนุ่มนวลและเข้าถึงง่าย
บทเพลงยังสะท้อนวิถีชีวิตล้านนา เช่น ท่อนร้องเปรียบเทียบดอกพิกุลและฝูงภมรสอดไซ้กับความรักที่ออดอ้อนและตัดพ้อ การปรับปรุงนี้ทำให้ น้อยไจยา กลายเป็นเพลงอมตะที่เข้าถึงผู้ฟังทั่วประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะสังคมล้านนา และทำให้จรัลเป็นสะพานเชื่อมอดีตกับปัจจุบัน
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ฉากในละครยังเปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างตัวละครกับภูมิสถานจริง เช่น น้ำตกห้วยแก้ว บ้านวังสิงห์คำ ชุมชนแจ่งกะต๊ำ วัดนันทาราม และเวียงเชียงใหม่ แต่ละสถานที่สะท้อนวิถีชีวิต ชาติพันธุ์ และเศรษฐกิจ ตั้งแต่สังคมเกษตรกรรม การค้าไม้ อิทธิพลอาณานิคม ไปจนถึงความมั่นคงทางการเมืองและวัฒนธรรมของล้านนา
ในมิติการศึกษา น้อยไจยา ยังช่วยให้เข้าใจการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองพหุวัฒนธรรมและเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปฟ้อนล่องน่าน การพัฒนาแอปพลิเคชันแผนที่ดิจิทัล เชื่อมโยงเรื่องราวในเพลงกับสถานที่จริง ทำให้ผู้เรียนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์และสังคมเมือง
ท้ายที่สุด น้อยไจยา มิใช่เพียงบทเพลงรัก แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าใจและพัฒนาเชียงใหม่ ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความหลากหลายทางสังคม เป็นสะพานเชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างยั่งยืน

ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า