เรื่อง: ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
ธรรมนัส พรหมเผ่า นักการเมืองบ้านใหญ่จากจังหวัดพะเยา กลับมาปรากฏชื่อเป็นข่าวอีกครั้ง จากการที่มูลนิธิที่ใช้ชื่อกันจอมพลัง (มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้) ที่เปิดรับเงินบริจาคจำนวนมหาศาลจากประชาชน กลับระบุในข้อบังคับว่า หากยุติมูลนิธิจะมอบเงินทั้งหมดให้แก่ มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็นชื่อของรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนปัจจุบัน
ต่อมากัน จอมพลังยังให้สัมภาษณ์ว่าสนิทสนมกับ “ผู้กอง” จนกลายเป็นดราม่าสังคมครั้งใหญ่ที่ผนวกรวมชื่อบุคคลการเมืองเข้ามาเป็นอีกตัวละครหลักของดราม่าครั้งนี้
สำหรับ ผู้กองฯ – ธรรมนัส พรหมเผ่า ตัวเขาคือ นักการเมืองมากลีลา และเป็นหนึ่งในนักการเมืองไม่กี่คนที่ไม่เคยหลุดหายไปจากกระแสข่าว
สาเหตุที่ชื่อ “ธรรมนัส” ไม่เคยหายไปจากการรายงานข่าว คือ บารมีและเส้นสายของธรรมนัสที่มีอยู่ในหลากหลายวงการ ตั้งแต่การเมืองลงไปจนถึงธุรกิจสีเทาๆ
และไม่เพียงปรากฏแต่ชื่อ หลายครั้งธรรมนัสเปิดเผยชัดเจนว่ามีความสนิทสนมกับบุคคลหลากหลายแวดวง รวมถึงแสดงตนว่ามีอำนาจและบารมีในแวดวงเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
คนมากบารีมีและเป็นสีสันให้สื่อ/สังคมอยู่ทุกวี่วัน จากเหตุที่มีสายสัมพันธ์อยู่ในหลากหลายวงการ เราทุกคนน่าจะลองตั้งคำถามกันดีไหมว่า ธรรมนัสนี่ใหญ่จริงมั้ย?
ที่มาของชื่อ “ผู้กอง”
ผู้กอง ดูเหมือนอีกหนึ่งชื่อเล่นของธรรมนัส พรหมเผ่า ไปเสียแล้ว เหตุที่เขาได้ชื่อนี้ ด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะ เขาเปลี่ยนชื่อบ่อย (ไม่ว่าจะเป็น พชร มนัส และยุทธภูมิ) แต่สาเหตุสำคัญก็มาจากการที่เขาถูกปลดประจำการจากกองทัพบกในขณะดำรงตำแหน่งผู้กอง
การปลดประจำการเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2534 จากเหตุขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ก็กลับเข้ามารับราชการได้อีกในเวลาเพียงไม่นาน กระทั่งถูกปลดอีกครั้งในปี 2536 จากข้อกล่าวหาว่าหนีราชการในช่วงอายุที่ยังไม่ถึง 30 ปี (ธรรมนัสเกิดปี 2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ธรรมนัสถูกจำคุกในดคียาเสพติดอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังจากนั้นเขาสามารถยื่นหนังสือขอกลับเข้ารับราชการได้อีกครั้ง
แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพ้นจากการเป็นข้าราชการจากคดีความมากมาย โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการสังหาร ดร.พูลสวัสดิ์ จิราภรณ์ ในปี 2542 จึงได้มีหนังสือหนังสือประกาศปลดธรรมนัส ออกจากราชการเป็นการถาวร
ธรรมนัส จึงต้องดำรงยศเป็นเพียง ร้อยเอก หรือ “ผู้กอง” มาจนถึงปัจจุบัน
ธุรกิจสีเทา มาเฟียสีเขียว
ในทศวรรษ 2530 (พ.ศ.2530-39) ช่วงเวลาที่ธรรมนัสเพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยออกมาเป็นทหารหนุ่ม ประเทศไทยในเวลานั้นแม้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดด มีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเวียนอยู่ในประเทศ ทั้งเงินลงทุนทางตรงโดยผู้ประกอบการต่างชาติ หรือเงินกู้จากต่างประเทศโดยนายทุนไทย รวมถึงเม็ดเงินที่ในธุรกิจสีเทาที่กำลังเติบโตไล่กวดเศรษฐกิจไทย
จากประเมินของ ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ พบว่าระหว่างปี 2536-2538 เม็ดเงินที่ไหลเวียนในธุรกิจสีเทาก็อาจมีมากถึง 4 ล้านล้านบาท (ประมาณ 6-10% ของ GDP ไทย ณ ขณะนั้น) เฉพาะรายได้ของบ่อนการพนันและหวยใต้ดินอาจสูงถึง 1.4-2.6 แสนล้านบาท ส่วนการค้าประเวณีและยาเสพติดก็สร้างรายได้รวมสูงถึง 6 หมื่นล้าน และ 3.3 หมื่นล้าน ตามลำดับ
แม้จะสร้างรายได้มากแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเปราะบางสูงเช่นกัน จากทั้งความเสี่ยงที่จะถูกปราบปรามหรือถูกต่อต้านจากสังคม เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ธุรกิจสีเทาต้องการอำนาจรัฐ และบารมีของผู้มีอำนาจ เพื่อปกป้องผลประโยชน์
ณ เวลานั้น บ่อนบ่อนการพนัน ซ่องค้าบริการ และยาเสพติด จำนวนมากใน กทม. ต่างได้รับการคุ้มครองจากผู้นำในกองทัพ นายทหารที่มีข่าวเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทาเหล่านี้มากที่สุด คือ “เสธไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต กับ “เสธแอ๋ว – อัครเดช ศศิประภา” ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามจากหนังสือว่า เจ้าพ่อเมืองหลวง และ มาเฟียสีเขียว
ผู้กองตุ๋ย ชื่อที่หนังสือพิมพ์ใช้เรียกธรรมนัส ณ เวลานั้น ถูกโยงว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเสธไอซ์ ถึงขนาดมีกระแสข่าวว่า มาเฟียสีเขียวทั้งสองคนเป็นคนเบ่งพลังทำให้ร้อยเอกธรรมนัสสามารถกลับเข้ารับราชการทหารได้อีก

กระทั่งหลังการถูกปลดจากราชการ เสธไอซ์ ก็เป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของธรรมนัส ทั้งการชี้ช่องทางการประกอบธุรกิจหลังถูกปลด และความช่วยเหลือในมิติอื่น ๆ อีกมาก
ธรรมนัส เคยเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและทั้งสองเสธไว้ว่า “ผมมาสนิทกับพี่ไอซ์ ตอนสมัยเป็นวัยรุ่นอายุ 20 กว่าๆ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อก่อนซีกซ้ายคือพี่ไอซ์ แต่ถ้าด้านขวาของถนนคือผม พี่เขาให้ความอุปการะผมไว้หลายเรื่องตอนที่ผมลำบาก สำหรับผมในสายตาของพี่ๆ ทั้งหลายคือคนนอบน้อม ทำให้ส่วนใหญ่ พี่ๆ ก็จะรัก แต่เวลาปฏิบัติการข้างนอกแล้วเราเป็นคนดุดัน เวลาอยู่กับสังคมพี่น้องแล้วเราเป็นคนให้เกียรติคน ทำให้ทั้งพี่แอ๊ว และพี่ไอซ์ก็จะรักผม เมื่อก่อนก็อยู่กับพี่แอ๊ว แต่พอพี่เขาเกษียณอายุราชการไป ผมก็มาอยู่กับพี่ไอซ์ ตลอดเวลาพี่แอ๊วกับพี่ไอซ์ก็รักผม”
ไม่เพียงเท่านั้น ธรรมนัสยังมีเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารที่ 25 อย่าง “เสธ.หิ” พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ นายทหารนอกราชการอีกหนึ่งคนที่ถูกปลดจากการพัวพันในคดีรื้อบาร์เบียร์ บนถนนสุขุมวิท ร่วมกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เมื่อปี 2546 ไล่เลี่ยกับการปลดธรรมนัส ซึ่งในช่วงทศวรรษ 2540 (พ.ศ.2540-49) นับเป็นจุดสิ้นสุดของมาเฟียสีเขียวบนหน้าสื่อเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดี ธรรมนัสเป็นดั่งแมวเก้าชีวิต แม้ทั้งเขาและเสธหิจะถูกปลดออกจากราชการ แต่เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 25 ของธรรมนัสที่เหลือกลับเติบโตดำรงตำแหน่งระดับสูงในระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี หรือ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ
การปลดธรรมนัสจึงไม่อาจตัดเส้นสายและเครือข่ายในระบบราชการของเขาออกไปได้ ขณะที่เครือข่ายธุรกิจสีเทาที่เขามีส่วนพัวพันก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเส้นสายในทั้งสองวงการที่กล่าวไปนี้จะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่กลับมาหนุนเสริมการเติบโตทางการเมืองและการสะสมทุนทางเศรษฐกิจของธรรมนัสในเวลาต่อมา
ก่อนขึ้นไปเป็นเจ้าพ่อภาคเหนือ
ธรรมนัส เริ่มเข้าสู่วงการการเมืองตั้งแต่ยังไม่ได้ถูกปลดจากราชการเต็มตัว แต่พื้นที่เลือกตั้งแรกของเขากลับไม่ใช่จังหวัดพะเยา ในปี 2542 เขาเข้าร่วมเป็นทีมงานหาเสียงของพรรคไทยรักไทย แต่เขตเลือกตั้งที่เขาดูแลกลับเป็นการเลือกตั้งเขตกรุงเทพฯ
การชิมรางทางการเมืองครั้งนี้ เกิดจาก เสธไอซ์ ที่เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ ณ ปีนั้น เป็นผู้ก่อตั้งและแคนดิเดทนายกของพรรคไทยรักไทย เสธไอซ์ในฐานะที่เป็นผู้มากบารมีในกรุงเทพและเพื่อนร่วมรุ่น จึงดึงรุ่นน้องมือทำงานอย่างธรรมนัสมาเป็นผู้ดูแลการเลือกตั้งในกรุงเทพของพรรคไทยรักไทย กระทั่งกลายเป็นการปูทางความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างนายใหญ่กับผู้กอง
การเข้าสู่การเมือง เปิดทางให้ธรรมนัสสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากเครือข่ายได้อย่างเป็นทางการและเป็นสีเทาน้อยลง ธรรมนัสเคยเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ธุรกิจที่น่าจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญของธรรมนัสน่าจะมาจาก “หจก.ขวัญฤดี” หนึ่งในบริษัท 5 เสือกองสลาก กลุ่มบริษัทนายหน้าจำหน่ายหวยที่เป็นดั่งเสือนอนกินในวงการลุ้นโชคของไทย
ไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะ กองทัพบกอดีตต้นสังกัดของธรรมนัส เป็นหน่วยงานที่ได้อภิสิทธิ์ดูแลกองสลากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้บัญชาการทหารบกแทบทุกคนล้วนเคยดำรงตำแหน่งประธานกองสลากมาแล้วทั้งสิ้น ธรรมนัสที่เข้าสู่วงการเมือง และเคยเป็นบุคลากรของกองทัพ แถมมีเครือข่ายอยู่มากมายในกองทัพและธุรกิจของกองทัพ จึงช่องทางให้สามารถก้าวเข้ามาประกอบธุรกิจดังกล่าวได้
ธรรมนัสยังคงเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย และจากการประสานงานและเงินอย่างโดดเด่นของเขาทำให้เคยเป็นหนึ่งใน สส. บัญชีรายชื่อของพรรคด้วยซ้ำ นับเป็นการเปลี่ยนเครือข่ายสีเขียว (กองทัพ) และสีเทาให้กลายเป็นทุนทางการเมืองเศรษฐกิจครั้งสำคัญของธรรมนัสเลยก็ว่าได้
บ้านใหญ่ที่เพิ่งสร้าง กับคำถามที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
ดังที่กล่าวไปก่อนหน้า ตั้งแต่ธรรมนัสเป็นหนุ่มวัยแรกรุ่น สู่การเป็นมาเฟียสีเขียว กระทั่งเข้าสู่วงการเมือง เขตอิทธิพลของเขายังคงเป็นกรุงเทพฯ เท่านั้น ในการเลือกตั้งของพรรคตระกูลชินวัตร เขาก็รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเขตกรุงเทพ แต่ในการเลือกตั้งปี 2554 ธรรมนัสเริ่มขยายอิทธิพลขึ้นไปสู่จังหวัดพะเยา
ธรรมนัสอาศัยพลังของคนเสื้อแดงจังหวัดพะเยาเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงคะแนนเสียงจากบ้านใหญ่ที่เริ่มถูกลดบทบาทลง จากกระแสความนิยมของพรรคไทยรักต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งเมื่อครั้งปี 2554 ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยกวาดชัยชนะไปอย่างท่วมท้น ผลการเลือกตั้งในครั้งนั้นได้สร้างช่องว่างทางอำนาจให้ธรรมนัสขยับขึ้นจากกรุงเทพฯ มาลงหลักปักฐานที่จังหวัดชายแดนแห่งนี้ในที่สุด
การรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดย คสช. เมื่อปี 2557 เป็นปัจจัยที่บีบให้ธรรมนัสจำต้องเปลี่ยนสังกัดพรรค ทั้งการถูก คสช. สั่งยกเลิกสัมปทาน 5 เสือกองสลากหรือการถูก คสช. เรียกรายงานตัวและคอยสอดส่องความเคลื่อนไหว
ต่อมาเขาจึงอาศัยเส้นสายจากเพื่อนสนิทในกองทัพอย่าง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 25 เป็นกาวใจเชื่อมต่อธรรมนัสกับ 3 ป. (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาในสายบูรพาพยัคฆ์ (กองทัพภาคที่ 2)
ในปี 2562 ธรรมนัสจึงลงเลือกตั้งในจังหวัด พร้อมประกาศตัวเป็นบ้านใหญ่พะเยา โดยก่อนหน้าการประกาศตัว ธรรมนัส ได้เข้าพิธีแต่งงาน (ไม่จดทะเบียน) กับ “ธนพร ศรีวิราช” ลูกสาวพ่อเลี้ยงคำตั๋น ผู้นำตระกูลบ้านใหญ่ประจำอำเภอดอกคำใต้ และเป็นน้องสาวของ “จีรเดช ศรีวิราช” นายกเล็กเมืองดอกคำใต้ ซึ่งนับเป็นการกู้สัมพันธ์ ที่จะช่วยธรรมนัสกลายเป็นผู้นำในเครือข่ายอำนาจของท้องถิ่นจังหวัดพะเยา
หลังการเลือกตั้งเมื่อครั้งปี 2562 นี้เองที่สังคมไทยได้รู้จัก ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะคนแจกกล้วย จากการแสดงบทบาทนำของธรรมนัสในการประสานผลประโยชน์ของนักการเมืองมากมาย เพื่อเป็นฐานค้ำยันความมั่นคงของรัฐบาล ถึงขนาดกล่าวว่า “โค่นผมได้ ก็เท่ากับล้มรัฐบาลได้”
เส้นทางการเมืองหลังปี 2562 ของธรรมนัสเรียกได้ว่าพุ่งสูงมาก เพียงเวลาเพียง 6 ปี ตัวเขาสามารถไต่เต้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งรองนายกฯ ได้ จากการหันหลังให้ตระกูลชินวัตรไปสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ
อย่างไรก็ดี ตำแหน่งที่สูงส่งก็มิอาจหยุดเสียงนินทาและคำถามที่ต่อตัวของธรรมนัสได้ วีรกรรมในอดีตของเขายังคงถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องเก่าอย่างการเคยถูกจำคุกที่ต่างประเทศ หรือการเป็น 1 ใน 5 เสือกองสลาก ไม่เพียงแต่เรื่องราวในอดีต พฤติกรรมทางการเมืองของธรรมนัสเองก็ถูกจับตาโดยสังคมและสื่อมวลชน
นั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ ที่จะมีเสียงต่อต้านและการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของมูลนิธิกันจอมพลัง เมื่อมีการเปิดเผยว่าเงินบริจาคของประชาชนที่โอนให้มูลนิธิกันจอมพลังจะถูกโอนต่อให้มูลนิธิธรรมนัสฯ หากมูลนิธิปิดตัวลง
ในห่วงเวลานี้ เราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากได้เลยว่า ธรรมนัสใหญ่จริง และเมื่อย้อนกลับไปสำรวจการเติบโตของธรรมนัส เราเองก็จะพบเห็นร่องรอยเครือข่ายทั้งสีเขียว สีเทา และสีแดง (พรรคของตระกูลชินวัตร) ที่ร้อยรัดจนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเส้นทางให้ ธรรมนัสได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งรองนายกฯ และมีแนวโน้มจะทวีพลังทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงขึ้นไปอีก
ท้ายที่สุด คงถึงเวลาแล้วที่ทั้งผู้เขียน ผู้อ่าน และประชาชน จะตัดสินใจว่า “จะถอยห่างจากการเมืองเพราะนักการเมืองเช่นนี้ หรือจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงการเมืองเพราะมีนักการเมืองเช่นนี้?”
รายการอ้างอิง
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร, สังศิต พิริยะรังสรรค์ และ นวลน้อย ตรีรัตน์ (2539). เศรษฐกิจนอกกฎหมายกับนโยบายสาธารณะในประเทศไทย: รายงานผลการวิจัย. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
- ชัยยนต์ ประดิษฐศิลป์ และโอฬาร ถิ่นบางเตียว. (2549). เจ้าพ่อท้องถิ่น การเมือง โลกาภิวัตน์. ใน ผาสุก พงษ์ไพจิตร (บ.ก.), การต่อสู้ของทุนไทย 2 : การเมือง วัฒนธรรม เพื่อความอยู่รอด. (น. 358-422). สำนักพิมพ์มติชน
- เนตรนภา ไวทย์เลิศศักดิ์, นวลน้อย ตรีรัตน์, นักวิจัย, ภวิดา ปานะนนท์, นักวิจัย, วีรยุทธ กาญจน์ชูฉัตร, นักวิจัย, นพนันท์ วรรณเทพสกุล, นักวิจัย, อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์, นักวิจัย, รัตพงษ์ สอนสุภาพ, นักวิจัย, พอพันธ์ อุยยานนท์, นักวิจัย, สักกรินทร์ นิยมศิลป์, นักวิจัย, ชัยยนต์ ประดิษฐ์ศิลป์, นักวิจัย, โอฬาร ถิ่นบางเตียว, นักวิจัย, ธานี ชัยวัฒน์, นักวิจัย, เวียงรัฐ เนติโพธิ์, นักวิจัย และ วัฒนา สุกัณศีล, นักวิจัย (2550). โครงสร้างและพลวัตทุนไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจ: รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม.
- https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:82119
- https://themomentum.co/thammarat-prompao-and-his-words/
- https://www.bangkokbiznews.com/politics/1063072
- https://mgronline.com/politics/detail/9680000100427#google_vignette
- https://isranews.org/article/isranews-scoop/98308-isranews-news-9.html
- https://www.dailynews.co.th/news/3772215/
- https://www.thansettakij.com/politics/604647#google_vignette
- https://www.thaipost.net/main/detail/116317

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย
เกิดและโตในภาคเหนือตอนล่าง เรียนตรีจิตวิทยา กำลังเรียนโทสังคมศาสตร์ สนใจอ่านสังคมจากการมองประเด็นเล็ก ๆ




