จิ๊นลาบเถื่อน หมูกระทะก็เถื่อน สถานการณ์หมูเถื่อนภาคเหนือ บนความสะดุ้งที่ไม่คลี่คลาย

Date:

เรื่อง: กองบรรณาธิการ Lanner

ในภาคเหนือนั้น เนื้อหมูก็นับว่าเป็นวัตถุดิบที่อยู่คู่ครัวคนเหนือ ในประวัติศาสตร์การกินมาอย่างยาวนาน เป็นวัตถุดิบหลักของ ‘จิ๊นลาบ’ หรือที่เรียกชื่อว่า ‘ลาบเมือง’ ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีตัวตนมาตั้งแต่สมัย 300 ปีก่อนตามประวัติศาสตร์การใช้เครื่องเทศในภูมิภาคล้านนา ในฐานะของอาหารที่ถูกประกอบขึ้นในพิธีมงคลต่างๆ เสริมเคล็ดของความมีโชคลาภ จนถึงปัจจุบันความนิยมของจิ๊นลาบก็ยังไม่ตกลงแต่อย่างใด อาจจะมีข้อพิพาทกันบ้างว่าลาบเมืองกับลาบอีสาน ลาบไหนอร่อยกว่ากัน? ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องหาข้อพิสูจน์ใด เพราะลิ้นและนิยามความอร่อยของคนแต่ละภาคไม่เหมือนกัน

แล้วถ้าจู่ ๆ เนื้อหมูที่เลี้ยงปากท้องเราอยู่ทุกวัน หรือแม้แต่เนื้อหมูร้านหมูกระทะที่ตั้งอยู่แทบทุกมุมเมือง และยังเป็นทางเลือกมื้ออาหารยอดนิยมของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่ถูกนิยามว่าเป็นเมืองหลวงหมูกระทะ กลับกลายเป็นเนื้อหมูคุณภาพต่ำจากเมืองนอก คุณประโยชน์และสารอาหารต่างๆ ที่มาคู่กับความอร่อยชวนน้ำลายสอ กลายเป็นพิษภัยต่อร่างกายผู้บริโภค และส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการในตลาดเนื้อหมู คงเป็นเรื่องที่ชวนสยองไม่ใช่น้อย สถานการณ์ของ ‘เนื้อหมู’ ในปัจจุบันเรียกได้ว่าอยู่ในสภาวะวิกฤต จากการลักลอบนำเข้า “เนื้อหมูเถื่อน” เนื้อหมูราคาถูกแต่ไร้คุณภาพ ที่แม้จะลากยาวมาหลายปีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแต่อย่างใด

จุดเริ่มต้นนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน 

เนื้อสุกรหรือเนื้อหมู รวมถึงเครื่องในหมู เป็นสินค้าต้องขออนุญาตนำเข้าจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมถึงต้องได้การตรวจรับรองโรคและการเคลื่อนย้ายซากสัตว์จากกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งต้องผ่านวิธีการนำเข้าของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่ต้องประสานการทำงานและรับผิดชอบร่วมกัน แต่จากการแพร่ระบาดของโรคระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจสุกร (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome : PRRS) โรคระบบทางเดินอาหาร (Porcine Epidemic Diarrhea : PED) และโรคอหิวาต์แอฟริกัน หรือ ASF (African Swine Fever) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้ภาคเกษตรเลือกลดการเลี้ยงแม่พันธุ์สุกรลง ส่งผลให้เนื้อหมูไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด รวมถึงราคาที่พุ่งสูงขึ้นตามกลไกตลาด ทำให้ “เนื้อหมูเถื่อน” กลายเป็นช่องทางของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการหากำไรจากสถานการณ์เนื้อหมูในปัจจุบัน


(ภาพ: www.thaismartfarmer.com)

เนื้อหมูเถื่อน หรือ “หมูกล่อง” เป็นเนื้อหมูที่ถูกนำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ด้วยวิธีการปลอมแปลงเอกสาร การนำเนื้อหมูเถื่อนบรรจุปนกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ รวบไปถึงการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่รัฐทำให้การขนส่งเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ก่อนจะนำไปกระจายสู่จุดขายเนื้อหมูปริมาณมากอย่างร้านค้าปลีก หรือร้านชาบู หมูกระทะ ปัจจุบันเนื้อหมูเถื่อนส่วนใหญ่มีแหล่งที่มาจากประเทศบราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สเปน หรืออิตาลี เป็นต้น ซึ่งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ระบุว่า หมูเถื่อนเหล่านี้มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ ASF แทบทั้งหมด เนื่องจากมีการตรวจพบเชื้อดังกล่าวในเนื้อหมูที่ขายตามตลาดในกรุงเทพฯ อีกทั้งหมูเถื่อนยังเต็มไปด้วยสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นสารต้องห้ามตาม พรบ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ของไทย ของกรมปศุสัตว์ ตั้งแต่ปี 2546 และยังเจอปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์พุ่งสูงไม่ต่างกับไทย แต่หมูเถื่อนเสนอราคาขายปลีกอยู่ที่ 135-150 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนผิดกฎหมายเหล่านี้จึงเป็นการสร้างมูลค่าให้กับขยะเหลือทิ้ง

โรค ASF ถูกรายงานพบการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรกในวันที่ 10 มกราคม 2565 ในรัฐบาลสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลให้แม่พันธุ์หมูมีจำนวนลดลงจาก 1.1 ล้านตัวเหลือเพียง 550,000 ตัว ส่งผลให้จำนวนลูกหมูที่ถูกผลิตได้ในประเทศลดลงไปกว่าครึ่ง เหลือเพียง 12-13 ล้านตัวต่อปี อัตราการลดลงยังฉับพลันในช่วงเวลาสั้นๆ นี้กลายเป็นความเสี่ยงที่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูยังไม่พร้อมแบกรับ จนทำให้เนื้อหมูแดงในตลาดมีราคาพุ่งสูงขึ้นจนเฉียดกิโลกรัมละ 300 บาท แต่วันดีคืนดี ราคาเนื้อหมูที่พุ่งแตะดวงจันทร์ก็กลับลดลงมาทั้งๆ ที่สถานการณ์โรค ASF ยังไม่คลี่คลาย

ภายหลังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พบกับที่มาของราคาเนื้อหมูที่ลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ นั่นคือการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน เข้ามาขาย ซึ่งจะมีจุดสังเกตุอยู่ที่ราคาขายที่ต่ำกว่าปกติ อยู่ที่ 135-145 บาทต่อกิโลกรัม รวมไปถึงยังมีโรงเชือดเนื้อหมูเถื่อน ซึ่งยิ่งทำให้ทำกำไรได้ดีกว่าการซื้อเนื้อหมูจากเกษตรกรไปเชือดเอง

สถานการณ์เนื้อหมูเถื่อนลากยาวไปจนถึงช่วงปลายปี 2565 โดยนายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ได้สรุปภาพรวมสถานการณ์ตลอดปี 2565 ปรากฎว่ามีการจับกุมดำเนินคดีไปถึง 29 คดี รวมของกลางทั้งหมดมีจำนวนของกลางถึง 1.7 ล้านกิโลกรัม เป็นมูลค่าราวๆ 123 ล้านบาท โดยพบว่ามีการนำเข้ามาจากประเทศบราซิลมากที่สุด ส่งผลให้ GDP ภาคเกษตรของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สาขากรมปศุสัตว์ในปีนั้นต้องติดลบไป 3%

หนึ่งในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2566 โดยกรมปศุสัตว์ได้ฝังทำลายชิ้นส่วนเนื้อหมูเถื่อนเป็นน้ำหนักถึง 723,786 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 123 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ คาดการณ์ว่านั่นเป็นเพียง 5% ของหมูทั้งหมดที่มีการลักลอบเท่านั้น 

หมูสะดุ้งไปสะดุ้งมา?

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งโยกย้ายข้าราชการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ พันตำรวจโทประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปเป็นอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และให้ พันตำรวจตรีสุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่กำลังทำคดีหมู

เถื่อน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรมแทน โดยการสืบสวนคดีดังกล่าวก็ใกล้จะสาวได้ถึงตัวการใหญ่ของขบวนการอยู่เต็มแก่ สร้างความงุนงงให้กับประชาชนถึงการโยกย้ายตำแหน่งครั้งนี้ โดยทางพ.ต.อ.เอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ได้ออกมายืนยันว่าการโยกย้ายครั้งนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนแต่อย่างใด


พันตำรวจตรีสุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ภาพ: https://news1live.com/detail/9660000005630 )

นอกเหนือจากการโยกย้ายตำแหน่งกลางคันแล้ว DSI ยังต้องเผชิญกับการกดดันจาก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอยู่เพียงหน่วยงานเดียว ทั้ง ๆ ที่ DSI เป็นเพียงหน่วยงานปลายน้ำของการสอบสวนครั้งนี้เท่านั้น ขณะที่กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่เศรษฐาเป็นเจ้ากระทรวง กรมประมง ที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บังคับบัญชา และกรมปศุสัตว์ ที่ ไชยา พรมมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบ ยังไม่ถูกตรวจสอบเท่า และยังไม่ปรากฏข่าวว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงกรณีหมูเถื่อนที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2564 แต่ทุกเรื่องในเวลานี้โยนให้ดีเอสไอรับไปเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น

ย้อนกลับไปทางด้านร.อ.ธรรมนัส ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับประเด็นดังกล่าว โดยได้ตั้งทีม “พญานาคราช” ขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษปราบปรามสินค้าปศุสัตว์ และสินค้าประมงผิดกฎหมาย โดยเป็นชุดปฏิบัติการที่คอยให้ความช่วยเหลือสารวัตรปศุสัตว์ สารวัตรประมง และสารวัตรเกษตรในการตรวจสอบ ติดตาม และจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าสินเกษตรผิดกฎหมาย

นอกจากนี้มีความงงงวยเกิดขึ้นจากการทำงานของภาครัฐแล้ว ในภาคธุรกิจเองก็มีความวุ่นวายเกิดขึ้นไม่แพ้กัน โดยสถานการณ์หมูเถื่อนก็สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเคลื่อนไหวกับราคาหุ้นของนายทุนยักษ์ใหญ่อย่าง บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) เจ้าของแม็คโคร (Makro) ห้างค้าส่งอาหารสดขนาดใหญ่ให้ตกลงมา 6.42% ปิดซื้อขายที่ 25.50 บาท (29 พ.ย.2566) โดยคาดว่าเป็นผลมาจากการเข้าตรวจค้นของ DSI หลังพบว่าเคยซื้อเนื้อหมูจากบริษัทที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมูเถื่อน มูลค่า 390 ล้านบาท ซึ่งราคาหุ้นดังกล่าว เป็นจำนวนที่ลดลงต่อเนื่องจากวันที่ 28 พ.ย.66 ที่ราคาปรับลด 2.68%  ปิดที่ 27.25 บาท  รวม 2 วัน  หุ้น CPAXT ร่วง 8.93% หรือ -2.50 บาท  คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด  26,451 ล้านบาท

โดยในกรณีดังกล่าว ทางด้านห้ามแม็คโครได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 28 พฤษจิกายนที่ผ่านมา ยืนยันรับซื้อหมูจากแหล่งผลิตในประเทศ 100% โดยมีแหล่งผลิตที่ชัดเจน และมีใบรับรองถูกต้องตามกฎหมายจากกรมปศุสัตว์ทุกล๊อต ส่วนเครื่องในหมูปกติซื้อในประเทศ 99% อย่างไรก็ดีจะมีบางช่วงที่ความต้องการบริโกคเนื้อหมู และเครื่องในมีมากกว่าจำนวนสินค้าในประเทศ จึงมีการรับซื้อจากบริษัทนำเข้า โดยยืนยันการรับซื้อของบริษัทฯ มีใบอนุญาตการนำเข้าและเคลื่อนย้ายอย่างถูกต้อง

ขณะที่ราคาหุ้น บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) เจ้าของ 7-Eleven และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ CPAXT (34.91%) ก็ร่วงตามไปด้วย – 5.48% หรือ -3.00 บาท ปิดซื้อขายที่ 51.75 บาท รวมมูลค่าหายไปทั้งสิ้น 26,949 ล้านบาท

ลาบหมูเถื่อน? หมูเถื่อนกระทะ? สถานการณ์เนื้อหมูเถื่อนในภาคเหนือ

สถานการณ์เนื้อหมูเถื่อนเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการที่ส่งผลกระทบไปทั่วประเทศทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยข้อมูลจากสหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกรชลบุรี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา เผยให้เห็นว่าภาคเหนือ กลายเป็นพื้นที่ที่มีเนื้อหมูราคาแพงที่สุดในประเทศไปแล้วจากการขึ้นราคาเนื้อหมูหน้าฟาร์มจากกิโลกรัมละ 74 บาท เป็นกิโลกรัมละ 78 บาท ซึ่งนี่ก็ไม่ได้เป็นผลกระทบจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เคยกล่าวถึงประเด็นเนื้อหมูเถื่อนในภาคเหนือไว้เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2565 กับสำนักข่าวฐานเศรษฐกิจ ว่าปริมาณหมูที่ส่งเข้าพื้นที่ภาคเหนือมีมากเกินความเป็นจริง จากปกติจะมีหมูเข้าเชือดในพื้นที่ประมาณ 2,000-3,000 ตัวต่อเดือน และมีการนำเข้าซากหมูหรือหมูที่เชือดแล้วประมาณ 2-3 ล้านกิโลกรัมต่อเดือน แต่ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 มีการนำซากหมู ขึ้นมาทางภาคเหนือเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านกิโลกรัมต่อเดือน ส่งผลกระทบให้ยอดขายหมูมีชีวิตในฟาร์มเริ่มช้าลง 30% โดยเชื่อว่าเป็นหมูที่นำเข้าที่ผิดกฎหมาย เพราะผลผลิตหมูไทยที่เกษตรกรช่วยกันเลี้ยงจะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณเข้าสู่สมดุลได้ราวสิ้นปีแต่ปริมาณหมูในตลาดกลับเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ


สุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ (ภาพ: https://kasettumkin.com/cattle/article_44742 )

ผลจากหมูจำนวนมากเข้ามาตีตลาดในภาคเหนือ ส่งผลทำให้เกษตรกรขายหมูได้น้อยลง เช่น เขียงเคยเข้ามาจับ 3 ตัวต่อวันก็จับเหลือเพียง 1-2 ตัวต่อวัน โดยราคาขายหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มในพื้นที่ภาคเหนือราคาประมาณ 110 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ทำให้ผู้เลี้ยงต้องเลี้ยงหมูที่ยังขายไม่ได้ต่อไป และเริ่มสะสมน้ำหนักเกิน 100 กก. ต้นทุนการเลี้ยงยิ่งสูงขึ้น หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้หวั่นเกรงจะกระทบต่อราคาขายจะเริ่มลดลง

“ราคาหมูเถื่อนถูกกว่าหมูไทย จากไม่มีมาตรการป้องกันโรคหรือตรวจสอบย้อนกลับที่ดี ต้นทุนการผลิตหมูจึงถูกกว่า ส่วนเครื่องในเขาก็ไม่กิน การส่งมาขายที่ไทยจึงเปรียบเหมือนได้ทั้งเงินและลดขยะในบ้านเขา  ที่สำคัญ หมูเถื่อนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากคนไทย ทั้งภาครัฐผู้ที่มีหน้าที่ตรวจสอบป้องกันแต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งผู้ประกอบการร้านอาหารที่หันไปซื้อของถูกมาปรุงให้ผู้บริโภคกิน คนรับกรรมก็คือผู้บริโภคคนไทยทั้งประเทศ และเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจะไม่สามารถฟื้นฟูผลผลิตได้ตามเป้าหมาย จึงต้องขอร้องให้ภาครัฐขจัดปัญหาหมูเถื่อนอย่างจริงจังทันที” นายสุนทราภรณ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การลักลอบนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนในปัจจุบันก็ยังไม่ถูกคลี่คลายลง หนำซ้ำยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งเกษตรกรและผู้บริโภคเนื้อหมู และสร้างความฉงนให้กับประชาชนถึงความจริงจังในการสกัดกั้นขบวนการมิจฉาชีพดังกล่าวว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด กลายเป็นภาระของประชาชนที่ต้องคอยระแวดระวังเนื้อหมูที่กำลังจะส่งตรงเข้าปากว่าจะเป็นเนื้อหมูเถื่อนด้อยคุณภาพหรือไม่?


อ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...