![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/1-3-1024x683.webp)
“เสียทั้งพ่อ แม่และเพื่อน แม่ก็เป็นมะเร็งปอด ต่อมาก็เป็นพ่อในเดือนสิงหาคม เสียเพื่อนไปเมื่อตอนต้นปีนี้เอง 3 คน เป็นคนที่รักทั้งนั้นเลย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คือถ้าใครไม่เจอด้วยตัวเองไม่เข้าใจความรู้สึก เพราะว่าอาการของคนที่เป็นโรคมะเร็งปอด ถ้าเคยมีญาติจะรู้เลยว่ามันทรมานขนาดไหน”
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/2-2-1024x683.webp)
ผศ.ดร.วนารักษ์ ไซพันธ์แก้ว เหยื่อควันพิษภาคเหนือที่ต้องสังเวยชีวิตคนที่รักถึง 3 คนให้กับวิกฤตฝุ่นควัน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของ Lanner ว่า ตนได้เสียทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนรักของเธอให้กับโรคทางเดินหายใจที่มาจากมลพิษทางอากาศที่ย่ำแย่ โดยพ่อของตนในวัย 83 ปีต้องเสียชีวิตด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคถุงลมโป่งพอง อีกทั้งยังพบก้อนในปอดในช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้แม่ของตนก็เพิ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดเช่นกัน และก็เสียเพื่อนไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากปัญหามลพิษทางอากาศที่ย่ำแย่ ตนจึงอยากเรียกร้องให้รัฐเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้จริงจังมากกว่านี้
เชื่อว่าพวกเราหลายคนคงจะพูดถึงปัญหาของฝุ่น PM2.5 กันอยู่ทุกวัน เนื่องด้วยค่าฝุ่นที่พุ่งขึ้นในทุกวัน เว็บไซต์ iQAir ยังคงรายงานอันดับเมืองที่มีค่าฝุ่นมากที่สุดในโลกก็ยังคงเป็นจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และอีกหลายพื่นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย คำถามที่มักจะพ่วงมาพร้อม ๆ กับเรื่องนี้ก็คือการหาตัวการของคนผิดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตนี้
ฝุ่น PM2.5 ย่อมาจาก Particulate Matters เป็นฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร และไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า สาเหตุที่ทำให้เกิดก็เริ่มจากท่อไอเสียของเครื่องยนต์ ควันจากการเผา ควันบุหรี่ หรือกระบวนการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม ถ้าในอากาศมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่สูง เราก็จะสามารถมองเห็นได้โดยมีลักษณะเป็นหมอกควันปกคลุมรอบบริเวณ เช่น ในกรณีของอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยปกติเราจะสามารถมองเห็นดอยสุเทพได้อย่างชัดเจน แต่การมีอยู่ของฝุ่น PM2.5 ที่สูงจึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็น หรืออาจจะเห็นแบบเลือนลาง โดยที่ฝุ่น PM2.5 สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ ส่งผลให้อาการของผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบ หรือทำให้คนปกติป่วยเป็นหอบหืดได้เช่นเดียวกัน หากเราสูดดมเอาฝุ่นและมลพิษเข้าสู่ร่างกาย สะสมเป็นเวลานาน ๆ อาจเป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้ หรือแม้กระทั่งการตกตะกอนภายในหลอดเลือด ที่นำไปสู่อาการหัวใจวาย หลอดเลือดสมองตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะและวายเฉียบพลัน แม้แต่ในสมองเอง PM2.5 ก็ส่งผลให้เกิดอาการความดันโลหิตสูง เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดในสมอง หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวจนทำให้เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก และอาจนำไปสู่ของอัมพฤกษ์อัมพาตได้
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/338833623_724743922449179_5394672887605055645_n-1024x1024.webp)
นี่อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เกิดจากจากสถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือเท่านั้น แต่ถ้ามองไปให้ลึกกลับพบข้อมูลที่น่าสนใจจากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุขว่าในปี 2563 นั้นภาคเหนือมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่นๆของประเทศ หรือประมาณ 31.4 ราย ต่อแสนประชากร ขณะที่อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยทั่วประเทศเท่ากับ 22.6 รายต่อแสนประชากร
โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565 เพจเฟซบุ๊ก WEVO สื่ออาสา ได้เปิดเผยข้อมูลสถิติมะเร็งปอด ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และภาคเหนือ อ้างอิงงานศึกษา ของ รศ.พญ.บุษยามาส ชีวสกุลยง หัวหน้าหน่วยวิชามะเร็งวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดเพศชายในทะเบียนมะเร็งของจ.เชียงใหม่ 14,299 ราย ขณะที่ ผู้ป่วยมะเร็งปอดเพศหญิง 5,664 ราย เมื่อพิจารณาอัตราการป่วยด้วยมะเร็งปอดภาพรวมของประเทศไทย ผู้ชายป่วยเป็นมะเร็งปอด ร้อยละ 9.3 เพศหญิง ร้อยละ 20.6 สำหรับ ข้อมูลผู้ป่วยในเชียงใหม่ ผู้ชาย ร้อยละ 22.3 ผู้หญิง ร้อยละ 29.6, จ.ลำปาง ผู้ชาย ร้อยละ 27.6 ผู้หญิง ร้อยละ 53 ส่วนที่ จ.สงขลา ผู้ชาย ร้อยละ 4.9 ผู้หญิง ร้อยละ 13.5
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/3-1-1024x683.webp)
และข่าวร้ายอีกข่าวก็คือเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ส. 1/2566 คดี หมายเลขแดงที่ ส. 1/2566 ในคดีที่มีผู้ยื่นฟ้องขอให้นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคำสั่งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้สภาพบรรยากาศในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยมีฝุ่น PM 2.5 ไม่เกินมาตรฐานตามที่ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด แต่วินิจฉัยแล้วว่าสถานการณ์มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอนเกินมาตรฐาน ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงต่อเนื่องระหว่างเดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2566 ตามฟ้อง ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ออกคำสั่งตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 จึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้ พิพากษายกฟ้อง
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่การอัพ Social Media ว่าวันนี้ค่าฝุ่นมีปริมาณเท่าไหร่ หรือที่บ้านมีเครื่องฟอกอากาศกี่ตัว แต่มันคือเรื่องของเราทุกคน ก่อนที่เราจะต้องตายเพราะปัญหานี้อาจทรมานผ่อนส่ง
ไม่รอดแน่ แนวโน้มฝุ่นละออง 2566
8 พฤศจิกายน 2565 วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้คาดการณ์สถานการณ์แนวโน้มฝุ่นละอองในปี 2566 ไว้ว่าอาจมีแนวโน้มสูงกว่าปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากสภาพอุตุนิยมวิทยาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และสำหรับภาคเหนือ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะหนีไม่พ้นปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าที่จะเพิ่มสูงขึ้น จากการที่จุดความร้อนลดลงไปกว่า 80%
ด้วยเหตุนี้เองการควบคุมกิจกรรมการเผาต่าง ๆ จึงเพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงตามธรรมชาติในพื้นที่ป่า รวมไปถึงการกระจายความรู้ความเข้าใจแก่คนในพื้นที่เกี่ยวกับการกำจัดขยะโดยไม่ใช้วิธีเผาผ่านการสร้างความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบของการเผา การแปรรูปเชื้อเพลิงเพื่อลดกิจกรรมการเผา รวมไปถึงการควบคุมปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของประเทศ ผ่านการส่งเอกสารไปยังสำนักงานเลขาธิการอาเซียนในการขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลประเทศต่าง ๆ
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/4-1-1-1024x1024.webp)
แม้ว่ารัฐจะคาดการณ์เอาไว้แบบนั้นแต่เมื่อคาดว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้แล้ว กลับไม่สามารถดำเนินการเพื่อยับยั้งวิกฤตนี้ได้อย่างทันท่วงที ซ้ำในหลายภาคส่วนยังคงชี้ไปที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ดังที่ นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการเชียงใหม่ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนประจำสัปดาห์เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่าความไม่เข้าใจปัญหาของผู้มีอำนาจในการจัดการปัญหาและวิกฤตนี้
ฝุ่นข้ามพรมแดนฟรี อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์รวย ประชาชนตาย
จากผลวิเคราะห์ทางดาวเทียมในช่วงเวลา 20 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2545 – 2565 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และอิทธิพลของนโยบายรัฐ โดย กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (ภาคเหนือ) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดทำขึ้นเพื่อสืบค้นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่เชื่อมโยงกัน ระหว่างมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่า พบว่า “การพัฒนารูปแบบการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมตามนโยบายสนับสนุนของรัฐภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา รวมถึงนโยบายสร้างแรงจูงใจอื่น ๆ เป็นปัจจัยสำคัญ
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/5-1-1024x819.webp)
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา การปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงสัตว์กลายเป็นรูปแบบการพัฒนา ที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมตามนโยบายสนับสนุนของรัฐภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญาและการขยายตัวของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ นี่เองนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผืนป่า เพื่อเป็นที่เพาะปลูกข้าวโพด และการสูญเสียพื้นที่ป่าไปก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดมลพิษทางอากาศ กลายเป็นวิกฤตที่คุกคามทั้งสภาพแวดล้อมของพื้นที่ภาคเหนือตอนบน อีกทั้งยังกลายเป็นมลพิษข้ามแดมปกคลุมลุ่มแม่น้ำโขงด้วย ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผิน นี่คงเป็นผลกระทบที่มาจากการประกอบอาชีพของเกษตรกรในพื้นที่ แต่นั่นก็คงเป็นการกล่าวโทษที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เพราะส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรครั้งนี้ก็มาจากการบริโภคของคนในสังคม อุตสาหกรรมอาหาร รวมไปถึงนโยบายการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวของรัฐบาลด้วยเช่นกัน
การขยายพื้นที่เพาะปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน และมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน ซึ่งครอบคลุมถึงภาคเหนือตอนบนของไทย, รัฐฉาน (เมียนมาร์), ภาคเหนือของ สปป.ลาว ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาได้กลายเป็นศูนย์กลางของประเด็นมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน ที่เป็นผลพวงจากการทําลายพื้นที่ป่าเพื่อขยายการผลิตพืชเศรษฐกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อการส่งออก (commodity-driven deforestation) รวมถึงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ในช่วงปี 2558-2563 พื้นที่ป่า 10.6 ล้านไร่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงถูกทําลายและกลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยครึ่งหนึ่งของพื้นที่อยู่ในเขตภาคเหนือของสปป.ลาว
วันที่ 13 พฤษภาคม 2565 นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบายอาหาร ผ่อนปรนมาตรการภาษีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้ WTO ในโควตา ระหว่างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2565 (3 เดือน) ในอัตราภาษีร้อยละ 0 ปริมาณข้าวโพดไม่เกิน 6 แสนตัน หรือร้อยละ 50 ของความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ไม่เพียงพอ
ดังนั้น กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร จึงได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ในโควตา ประเภทพิกัด 1005.90.99 รหัสย่อย 71 และจะมีผลบังคับใช้นับจากวันถัดจากวันที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2565
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/งาน6-1024x530.png)
เห็นได้ชัดเจนว่าการยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเหลือร้อยละ 0 สําหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อรองรับการขยายพื้นที่การเพาะปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการส่งเสริมระบบเกษตรพันธสัญญาการปลูกข้าวโพดผ่านการยกเว้นภาษีนําเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นเอื้อประโยชน์ให้ อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ของไทยเติบโตภายใต้กฎหมายและนโยบายที่สนับสนุนโดยภาครัฐอย่างสอดคล้องกันไป
โดยในแต่ละปีปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านมายังไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเมียนมาและสปป.ลาวนั้น คาดว่ามีจำนวนมากถึงกว่าร้อยละ 95 ต่อปี โดยข้อมูลที่เผยแพร่โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เคยเปิดเผยข้อมูลถึงการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาและสปป.ลาว ว่า เพียงเฉพาะครึ่งแรกของปี 2564 (เดือนมค.-กค.) มีการนำเข้าจากเมียนมาร้อยละ 98.25 หรือ 1,717,570,110 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 384,595,449 ดอลลาร์สหรัฐ และจากสปป.ลาว ร้อยละ 0.51 หรือ 14,091,660 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 1,996,463 ดอลลาร์สหรัฐ โดยในปี 2564 ทำรายได้จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวม 256,785,062 บาท จากการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวมทั้งสิ้น 26,479,000 กิโลกรัม (ข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) โดยตัวเลขดังกล่าวนี้ยังไม่รวมถึงการที่นำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมไก่ ที่ทำให้ไทยอยู่ในอันดับสี่ของผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของโลก ทว่ารายได้และผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ กลับต้องแลกมาด้วยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของคนไทยและคนในภูมิภาค
นี่ถือเป็นกำไลที่มีมูลค่ามหาศาลที่กลุ่มทุนอุตสาหกรรมได้รับเป็นค่าตอบแทน แต่ค่าตอบแทนของประชาชนคือลมหายใจที่พ่วงฝุ่นพิษมาด้วย
ไม่รอดแน่เมื่อ พ.ร.บ.อากาศสะอาด รัฐบาลประยุทธ์ปัดแล้วปัดอีก
ที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันให้เกิดกฎหมายที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด โดยมีทั้งทั้ง 5 ฉบับด้วยกันคือ
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/7-jpg.webp)
1. ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. …. เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคภูมิใจไทย เมื่อ 9 กรกฎาคม 2563 เนื้อหาสาระสำคัญคือ การจัดการสภาพแวดล้อมและอากาศสะอาด สิทธิในการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย การใช้สิทธิในการทางศาลในการคุ้มครองหรือปกป้องตัวเอง และการฟ้องร้องต่อคนที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย รวมไปถึงการปรับปรุงมาตรการและโครงการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทุก ๆ 2-3 ปี
2.ร่างพ.ร.บ.การบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. เสนอโดยภาคประชาชน ประกอบด้วย หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ สมาคมการค้า สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเครือข่ายภาคประชาสังคม ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 12,000 คน และนำรายชื่อมาส่งมอบต่อสภาเมื่อ 13 กรกฎาคม 2563
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/8-jpg.webp)
3.ร่างพ.ร.บ.การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ. …. เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล โดยร่างกฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่การจัดทำฐานข้อมูลด้านมลพิษซึ่งเป็นต้นตอของปัญหามลพิษทางอากาศ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลมลพิษและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/9-jpg.webp)
4.ร่างพ.ร.บ.กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ พ.ศ. …. โดยเครื่อข่ายอากาศสะอาด โดยมุ่งไปที่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีภูมิต้านทานและความทนทานในการรับปริมาณสารมลพิษได้ต่ำกว่าบุคคลทั่วไป เช่น เด็ก ผู้มีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยทางเดินหายใจ ผู้ทำงานกลางแจ้ง ที่อยู่ในพื้นที่มลภาวะสูงจะต้องได้รับสิทธิ์การเข้าถึงการดูแลรักษาในโรงพยาบาลรับโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยรัฐ ต้องให้ข้อมูลด้านที่มาของปัญหาคุณภาพอากาศแก่ประชาชน
5.ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชน เสนอโดยพรรคพลังประชารัฐ เดือนธันวาคม 2564 เนื้อหาสาระสำคัญคือ การกำหนดเขตมลภาวะทางอากาศ โดยหกพบว่าท้องที่ใดมลภาวะทางอากาศที่มีแนวโน้มร้ายแรงมีผลกระทบต่อร่างกาย และก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้คณะกรรมการมลพิษทางอากาศ มีอำนาจในกระกาศพระราชกิจจานุเบกษาเพื่อกำหนดให้ท้องที่นั้นเป็นพื้นที่มลพิษทางอากาศ แม้จะมีความพยายามในการผลักดันขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลประยุทธ์กลับไม่ตอบสนองและปัดตกไปทั้งหมด 3 ฉบับ นั่นคือของพ.ร.บ.อากาศสะอาดฉบับพรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล และฉบับประชาชน มีที่ผ่านเพียง 2 ฉบับเท่านั้น เนื่องจากทั้ง 3 ฉบับมีความขัดแย้งกับ พ.ร.บ.การเงินฯ พร้อมกับการดองพ.ร.บ.อากาศสะอาด และไม่พูดถึงอีก อาจตัดสินได้อย่างง่ายว่ารัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจเป็นฆาตกรในการสังหารหมู่ประชาชนในครั้งนี้ก็เป็นได้
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/10-1024x1024.webp)
เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา มูลนิธิชีววิถี หรือ BIOTHAI ได้เผยแพร่ข้อมูลนักการเมืองและรัฐมนตรีที่ต้องแสดงความรับผิดชอบและแก้ปัญหาฝุ่นพิษที่เป็นสาเหตุความเจ็บป่วยของประชาชนกว่า 2 ล้านคนนับตั้งแต่มกราคม 2666 โดยมีทั้งหมด 5 คนด้วยกันคือ
1.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนคอยกำกับดูแลรัฐมนตรี รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจ ภัยพิบัติสาธารณะ และภาพรวมการบริหารประเทศ พร้อมทั้งนั่งหัวโต๊ะในการประชุมเพื่อ แสดงความเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ หรือกำหนดเงื่อนไขในการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
2.จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการอาหาร ผู้จัดทำคำประกาศกระทรวง ขอให้ครม.เห็นชอบเพื่อให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
3.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำกับดูแลหน่วยงานด้านมาตรฐานสินเค้าเกษตร มีหน้าที่สั่งการให้การนำเข้าข้าวโพดต้องใช้ GAP เป็นมาตรฐานบังคับ เพื่อแสดงที่มาว่าไม่ได้มาจากพื้นที่เผาไหม้
4.วราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่รับผิดชอบหลักแก้ปัญหาฝุ่นพิษ แต่ไม่เคยชี้เป้าแสดงหลักฐานฝุ่นพิษ ข้ามพรมแดน จากข้อมูลที่มีอย่างเพียงพอทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนมาตรการห้ามนำเข้าถ้ามาจากพื้นที่เผาไหม้
5.อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.กระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่ดูแลสุขภาพของประชาชน แต่ไม่มีข้อเสนอหรือท่าที่จะจัดการกับปัญหา
แกไม่รอดแน่ คืนปอดให้ประชาชน
มาถึงตรงนี้แล้ว เราอาจจะยังถึงขั้นที่พบกับทางออกหรือข้อเสนอที่สามารถแก้ไขวิกฤตนี้ได้อย่างทันท่วงที แต่อย่าลืมว่าโครงสร้างอำนาจของรัฐในช่วงที่ผ่านมาคือตัวการสำคัญที่ทำให้ปัญหา PM2.5 ยังคงอยู่
![](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2023/04/11-1024x577.webp)
โดยเครือข่ายประชาชนภาคเหนือจึงได้ร่วมกัน #ฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง, พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีการปฏิบัติการตามกฎหมายและนโยบายที่ได้มีการจัดทำไว้เพื่อลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้ โดยจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 10.00 น.
หวังว่าศาลปกครองจะรับฟ้อง ก่อนที่คนเหนือจะไม่รอด
อ้างอิง:
- เติบโตบนความสูญเสีย : ผลวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม 20 ปีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเกษตรพันธสัญญาในเขตภาคเหนือของไทย – Greenpeace Thailand
- รัฐต้องเอาผิดอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 และการทำลายป่า – Greenpeace Thailand-สำรวจสี่ร่างกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษ-อากาศสะอาด แก้ปัญหา PM 2.5 – iLaw
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: การลงทุนข้ามพรมแดนและมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน – Greenpeace Thailand
- สำรวจสี่ร่างกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษ-อากาศสะอาด แก้ปัญหา PM 2.5 – iLaw
![พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า](https://www.lannernews.com/wp-content/uploads/2022/09/347-150x150.png)
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากผู้เขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...