ถกวิกฤตสิ่งแวดล้อมภาคเหนือใต้รัฐและทุน ย้ำชุมชนต้องมาก่อนตัวเลข หยุดตัดสิทธิในนามของการพัฒนา

Date:

12 พฤษภาคม 2568 สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ภาคเหนือ จัดสัมมนาประเมินสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. ณ โรงแรม ฮอลิเดย์การ์เด้น จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและเชื่อมต่อเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมในภาคเหนือตอนบน โดยมี  สาคร  สงมา ประธานสมัชชาองคกรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กล่าวเปิดงาน

10.00 น. บรรยายพิเศษ “การเมืองเรื่องชีวิต” โดย อรรถจักร สัตยานุรักษ์ อดีตอาจารย์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อรรถจักรเปิดประเด็นด้วยการชวนตั้งคำถามถึงบทบาทของรัฐที่พยายาม “เปลี่ยนชาวบ้านให้เป็นคนเมือง” ซึ่งแม้จะอ้างว่าเป็นการเข้ามาดูแล แต่กลับเป็นการดูแลในกรอบของ “ความเป็นไทยแบบมีลำดับชั้น” ที่ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น เขาอธิบายว่า การชุมนุมของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้เป็นการปฏิเสธความเป็นไทย แต่เป็นการยืนหยัดเรียกร้องในนามของ “สิทธิ” และ “ชีวิต” ที่พวกเขาควรได้รับโดยชอบธรรม นอกจากนี้ อรรถจักร ยังตั้งข้อสังเกตว่า พลังทางสังคมด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับพลังของรัฐและทุน ยิ่งเน้นย้ำว่าการพูดถึงสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นเฉพาะ แต่คือ “การเมืองเรื่องชีวิต” ของผู้คนที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้

“การรณรงค์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หากไม่มีพลังทางสังคมร่วมผลักดัน การเมืองเรื่องชีวิตก็ยากจะขยับเขยื้อน” อรรถจักร กล่าวทิ้งท้าย

เวลา 11.00 น. ได้มีการนำเสนอสถานการณ์ปัญหาด้านป่าไม้ ที่ดิน และคาร์บอนเครดิต โดย พชร คำชำนาญ กรรมการสมัชชาองคกรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พชรเปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลภายใต้พรรคเพื่อไทย โดยชี้ว่า แม้รัฐบาลจะมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสิทธิของพี่น้องชาติพันธุ์ได้จริง แต่กลับยังคงเลือกใช้วิธีการเดิมที่ไม่พ้นจากโครงสร้างอำนาจแบบเก่า พร้อมทั้งกล่าวหาและโยนความผิดให้กับผู้คนที่อยู่กับป่า เขาเน้นย้ำถึงนโยบาย “เพิ่มพื้นที่สีเขียว 55% ของพื้นที่ประเทศ” ว่าแม้ดูเหมือนเป็นแนวทางอนุรักษ์ แต่แท้จริงแล้วเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ด้านคาร์บอนเครดิตที่เอื้อให้ภาคเอกชนเข้ามาปลูกป่าแทน ขณะที่วิธีการของรัฐกลับเป็นการยึดพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน หรือกดดันให้ชุมชนต้องเข้าร่วมโครงการปลูกป่าของรัฐโดยไม่มีทางเลือก พชร ตั้งคำถามต่อสังคมว่า “เราจะได้อะไรจากการเพิ่มพื้นที่สีเขียว หากมันต้องแลกมาด้วยการละเมิดสิทธิของผู้คน?” พร้อมชี้ทางออกว่า รัฐควรทบทวนกฎหมายที่บีบบังคับชาวบ้าน และให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนมากกว่าตัวเลขบนแผนที่

“การอนุรักษ์ที่ไม่เห็นคน คือการอนุรักษ์ที่ไม่ยั่งยืน”

ขณะที่ ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ จากสภาลมหายใจเชียงใหม่ นำเสนอภาพรวมสถานการณ์หมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยเน้นว่า องค์ความรู้ของชุมชนและท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการไฟป่าอย่างยั่งยืน หากแต่กลับถูกขัดขวางด้วยนโยบายแบบรวมศูนย์จากรัฐบาลกลาง

“สิ่งที่เชียงใหม่พยายามทำมาโดยตลอด คือการผลักดันแผนจัดการไฟป่าจากฐานชุมชนให้กลายเป็นนโยบายระดับจังหวัด” ชัชวาลย์กล่าว พร้อมเสนอว่า หน่วยงานรัฐควรยอมรับความจำเป็นของการใช้ไฟในกระบวนการเกษตรของชาวบ้าน แทนที่จะออกมาตรการ “ห้ามเผาโดยเด็ดขาด” ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสภาพภูมิประเทศ

และยังย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างต้องเริ่มจากการ “กระจายอำนาจ” ให้จังหวัดและชุมชนมีสิทธิกำหนดแนวทางตามบริบทของตนเอง พร้อมกับเรียกร้องให้ปลดล็อกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินทำกิน เพื่อสร้างระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล

ช่วงบ่ายเริ่มต้นโดย เพียรพร ดีเทศน์  ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ในประเด็นสถานการณ์ด้านการจัดการน้ำ เขื่อน และโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล (โครงการผันน้ำยวม) เพียรพร กล่าวถึงถึงความไม่ชอบธรรมของรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ใช้ภาพประกอบและข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อผลักดันโครงการให้ดำเนินต่อไป โดยถือเป็นการกระทำที่ละเมิดจริยธรรมของเจ้าหน้าที่อย่างร้ายแรง ด้วยเหตุนี้เครือข่ายจึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ตรวจสอบความถูกต้องของรายงานดังกล่าว และเรียกร้องให้ยุติการดำเนินโครงการผันน้ำยวมในทันที

ต่อด้วย โกวิทย์ บุญธรรม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส นำเสนอสถานการณ์แม่น้ำกก ปนเปื้อนสารพิษ โดยระบุว่าบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกกมีการทำเหมืองแร่จำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำฝั่งเหนือ โกวิทย์ชี้ว่า แม่น้ำกกเปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ของจังหวัดเชียงราย ที่หล่อเลี้ยงทั้งชุมชนเมืองและชนบท เขายังตั้งข้อสังเกตว่าในพื้นที่เหมืองแร่บริเวณแม่น้ำสาย มีการเปิดหน้าดินอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มในพื้นที่ชายแดนอำเภอแม่สาย นอกจากนั้น น้ำที่ปนเปื้อนยังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ต้องใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูก ทำให้พืชผลเกิดโรคและเสียหายจำนวนมาก โกวิทย์ย้ำว่า หากไม่มีการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนอย่างจริงจัง แม่น้ำสายและแม่น้ำกกอาจกลายเป็น “แหล่งสารพิษขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ” ซึ่งจะก่อให้เกิดวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขในระยะยาว

สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอว่า การแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายควรเปิดพื้นที่ให้มีเสียงจากฝั่งเมียนมาด้วย เพื่อเชื่อมโยงประเด็นนี้ในระดับภูมิภาค ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงในเขตแดนของประเทศไทยเท่านั้น เขาตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้าแร่ตะกั่วและแมงกานีสจำนวนมาก จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีบริษัทไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตประเทศเมียนมา สืบสกุลเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องติดตามและตรวจสอบว่าบริษัทใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การเจรจาหารือ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามไปมากกว่านี้ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศไทยเพียงเท่านั้น

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของสัมมนา ศราวุฒิ ปินกันธา ตัวแทนจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น นำเสนอสถานการณ์ ด้านเหมืองแร่ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีข้อเสนอคือไม่เอาเหมืองแร่ทุกกรณีเนื่องจากมีบทเรียนในอดีตที่ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากเหมืองนั้นรุนแรงและกระทบต่อชีวิตของผู้คนในชุมชนท้องถิ่นอย่างไร และส่งท้ายด้วย ธนากร อัฏฐ์ประดิษฐ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร สรุปภาพรวมสถานการณ์ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในภาคเหนือตอนบนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เชื่อมโยงกับการขยายของทุนนิยมสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบกับชุมชนคนอยู่กับป่า ที่มีรัฐและทุนเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

10 ปีไม่เป็นผล ‘กลุ่มรักษ์บ้านแหง’ ต้องสู้ต่อ หลังศาลปกครองสูงสุด ‘ยกย้อน’ คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีชาวบ้าน 386 คน ยื่นฟ้องเพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์

27 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือ...

ภาพไวรัลรถไฟบรรทุกรถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปหาดใหญ่ ถูกสร้างด้วย AI ย้อนรอยต้นฉบับจากคลิปปี 64

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19.30 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พระราม เดินดง...

ล้านนาเนี่ยน: พี่เป้ ไรเดอร์

“เราขับแกร็บ เราอยู่บนถนน เราเลี่ยงไม่ได้ จะเลี่ยงก็ต้องเลือกรับงานไม่ไปทางที่รถติด เพราะค่ารอบระบบก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา ตอนนี้ค่ารอบเริ่มต้นที่ 19 บาท” “มันทำให้เราเสียเวลากับค่ารอบที่มันถูก จากปกติถ้ารถไม่ติด...

สิทธิวิจารณ์ท้องถิ่นอยู่ตรงไหน? เมื่ออบต.ศรีถ้อย แจ้งหมิ่นฯ ชาวบ้านพญากองดี หลังโพสต์ถนนพัง–ถูกเรียกค่าน้ำมัน 20,000 บาท

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีกรณีชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย...