ความกลัวลึก ๆ ของ ‘คน(เมือง)เจียงใหม่’ ต่อชาว ‘ไทใหญ่’

Date:

เรื่อง: Dada Journalism

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

บทความว่าด้วยความกลัวลึก ๆ ของ “คนเมือง” หรือ “คนเชียงใหม่พื้นถิ่น” ต่อ “ชาวไทใหญ่” ที่ถือว่าได้เป็นฟันเฟืองหลักของระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ไปแล้ว เนื่องด้วยคนพื้นถิ่นเองก็อาจจะมองว่าตนเองอยู่ในภาวะที่ถดถอยในหลาย ๆ ด้าน ในขณะที่ชาวไทใหญ่น่าจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ จากคุณลักษณะพิเศษที่คนเมืองมองว่าชาวไทใหญ่มีเหนือกว่าพวกเขาคือ “สู้งาน อดทน และเก็บออม”

1.

ณ ร้านคาราโอเกะ อำเภอรอยต่อกับเมืองเชียงใหม่แห่งหนึ่ง ขณะที่ผู้เขียนและรุ่นน้องกำลังดื่มด่ำกับรสชาติสิ่งมึนเมาเคล้าเสียงเพลงจากตู้คาราโอเกะ รถปิ๊คอัพสี่ประตูใหม่เอี่ยมคันหนึ่งจอดตรงหน้าร้าน น้อง ๆ ที่นั่งโต๊ะผู้เขียนรีบกุลีกุจอออกไปต้นรับ

“เจ้าถิ่นมาแล้วว่ะ เผ่นเถอะ” ผู้เขียนกล่าวกับรุ่นน้อง จากที่เคยได้ร้อง 10 เพลงรวด แต่เมื่อแขกผู้มาใหม่มาถึงร้าน พวกเขาก็กลับครองไมค์ไป พร้อมกับขับกล่อมสาว ๆ ในร้านด้วยเพลงไทใหญ่ พูดคุยสนิทสนมกับน้อง ๆ ด้วยภาษาเดียวกัน แจกทิปงาม ๆ แทบตลอดเวลา

ผู้เขียนกับรุ่นน้องรีบเช็คบิลแบบตัวลีบออกจากร้าน ก่อนควบมอไซค์กลับบ้านก็เหลือบมองรถปิ๊คอัพสี่ประตูใหม่เอี่ยมคันนั้น พบมีอุปกรณ์ก่อสร้างบางส่วนที่อยู่ท้ายกระบะรถ


2.

ปัจจุบันหลายอุตสาหกรรมในเชียงใหม่ ชาวไทใหญ่สามารถไต่เต้าจากแรงงานระดับล่างสุดสู่การเป็นฟันเฟืองสำคัญในอาชีพนั้น ๆ เช่น ในภาคก่อสร้าง ที่เริ่มยกระดับมาเป็นผู้รับเหมาเองหลายราย หรือไม่ก็เป็นระดับหัวหน้างานผู้มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแรงงานส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวไทใหญ่ด้วยเช่นกัน

‘สู้งาน อดทน และเก็บออม’ ถือเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ชาวไทใหญ่มีเหนือคนพื้นถิ่นเชียงใหม่ ยิ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงกายอย่างหนักอย่างภาคการก่อสร้าง ซึ่งต่างจากคนพื้นถิ่นที่เริ่มออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยด้านการศึกษาที่สูงขึ้นหรือการไปประกอบอาชีพอื่นที่เหนื่อยน้อยกว่า

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

นอกจากภาคการก่อสร้างแล้ว แรงงานภาคบริการอย่างไม่เป็นทางการ (จ้างรายวัน ไม่มีประกันสังคม) ทั้งในร้านอาหาร เด็กเสิร์ฟเด็กนั่งดริ้งก์ร้านเหล้า/ร้านคาราโอเกะ ร้านขายของชำ รับจ้างในตลาดสด ภาคการเกษตร ฯลฯ แรงงานไทใหญ่ก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในอุตสาหกรรมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ขยายตัวออกไปตามอำเภอต่าง ๆ มากขึ้น ไม่ใช่แค่กระจุกตัวในอำเภอเมืองหรืออำเภอในเขตชายแดนเช่นในอดีต

ช่วงสิบกว่าปีก่อน ขณะที่ผู้เขียนยังทำงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ด้านสิทธิแรงงานแห่งหนึ่ง เคยได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับ “แรงงานต่างด้าว” (ตามภาษากฎหมายไทย) หรือ “แรงงานข้ามชาติ” (ตามภาษาของ NGO และปัญญาชน) ในพื้นที่ภาคเหนือ พบว่าส่วนใหญ่แล้วแรงงานชาวไทใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในเขตเศรษฐกิจเช่นในตัวอำเภอเมืองเชียงใหม่ มักจะมีที่พักที่คับแคบ คุณภาพชีวิตไม่ดีนัก ทนทุกข์กับการถูกละเมิดสิทธิต่าง ๆ นานา

ปัจจุบันสถานการณ์ของพวกเขาดีขึ้นตามลำดับ แม้จะยังไม่ดีที่สุดก็ตาม แต่ก็มีพัฒนาการในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งการยอมรับจากคนพื้นถิ่นในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน ในด้านคุณภาพชีวิตจากการที่อยู่อย่างแออัดตามหอพักหรือไซต์งานก่อสร้างในอำเภอเมือง แรงงานชาวไทใหญ่ก็กระจายตัวออกมายังอำเภอรอยต่อกับเมืองเชียงใหม่มากขึ้น มีทั้งการเช่าบ้าน หอพัก ที่พักคนทำงานที่นายจ้างสร้างให้ หรือแม้แต่การลงขันกันเองเพื่อซื้อที่ดินร่วมกัน แล้วก็แบ่งจัดสรรพื้นที่สร้างบ้านหลายหลังในแปลงนั้น


 3.

“90% เป็นนักเรียนไทใหญ่ เด็กเชียงใหม่เราแทบไม่มีเลย” มิตรสหายกล่าวกับผู้เขียน เธอเป็นผู้รับเหมาประกอบอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนขยายโอกาส (เปิดสอนระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3) แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในอำเภอรอยต่อกับเมืองเชียงใหม่ โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนประมาณ 200 คน

ดังที่กล่าวไปว่าปัจจุบันอำเภอรอยต่อกับเมืองเชียงใหม่หลายอำเภอ มีชุมชนชาวไทใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และนิยมส่งลูกหลานเรียนในโรงเรียนรัฐบาล (ทั้งสังกัด สพฐ. และของท้องถิ่น) ในละแวกใกล้บ้านหรือที่พัก

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

“ไทยเราออกให้หมดเลย ทั้งค่าเรียน ค่าอาหารกลางวัน” มิตรสหายของผู้เขียนก็มีลูกด้วยเช่นกัน แต่เธอเลือกที่จะส่งลูกไปเรียนยังโรงเรียนเอกชนในเมืองแทนโรงเรียนละแวกบ้าน ทั้งนี้ตามกฎหมายไทยเด็กที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยหรือไม่มีหลักฐานการแสดงตน สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาของไทยได้ และยังได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกับเด็กไทย

จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้โรงเรียนในเขตชนบทรอยต่อกับอำเภอเมืองเชียงใหม่นั้นเผชิญปัญหาขาดแคลนนักเรียนอย่างหนัก เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลง รวมทั้งค่านิยมการส่งลูกหลานไปเรียนในเมืองเชียงใหม่ โรงเรียนขนาดเล็กต้องทยอยปิดตัวลงไป จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เด็กชาวไทใหญ่เริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาไทยมากขึ้น ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ณ ปัจจุบันโรงเรียนในเขตชนบทรอยต่อกับอำเภอเมืองเชียงใหม่หลายแห่งยังอยู่ได้ก็เพราะมีนักเรียนชาวไทใหญ่นี่แหล่ะ


4.

“ตอนนี้คนเมือง (คนพื้นถิ่นเชียงใหม่) เป็นลูกน้องไทใหญ่หมดละนะ” แม่ของผู้เขียนกล่าวกับผู้เขียน ในวันที่สั่งอุปกรณ์ก่อสร้างจากร้านเจ้าประจำมาส่งที่บ้าน ก่อนหน้านี้ 2-3 ปีก่อน หัวหน้างานชาวไทใหญ่รายนี้ยังเป็นเพียงลูกน้องระดับล่างสุด แต่พบว่าวันนี้เขาได้เป็นหัวหน้างานแล้ว โดยมีคนพื้นถิ่นเชียงใหม่เป็นลูกน้องแทน “แถวบ้านเราคนไทใหญ่ก็เริ่มเข้ามาซื้อที่ทำบ้านกันมากขึ้นด้วย เห็นเขาว่ามีการบอกต่อ ๆ กันมา” แม่ของผู้เขียนกล่าวต่อ “คนเมืองเราได้แต่ขายที่เอาตังค์ไปซื้อรถคันใหม่ให้ลูก ส่วนไทใหญ่เขาก็ซื้อที่สร้างบ้านกัน”


นอกจากแม่ของผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนลองสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของเพื่อนและคนรู้จักที่เป็นคนพื้นถิ่น (คนธรรมดาที่ไม่ใช่ NGO นักกิจกรรม นักวิชาการ) ที่มีต่อชาวไทใหญ่ พบว่าสามารถแยกได้เป็นกลุ่มใหญ่หลัก ๆ ได้ 3 กลุ่มคือ

1. ไม่เปิดใจรับและยังมีอคติอยู่อย่างเปี่ยมล้น คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนไทใหญ่ ไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือไม่เคยร่วมงานด้วย หรือมีประสบการณ์ที่ไม่ดีไปเลย (เช่น ผู้รับเหมาที่เคยถูกชาวไทใหญ่ตัดราคารับงาน แรงงานที่นายจ้างหันไปจ้างคนไทใหญ่แทนพวกเขา หรือคนในชุมชนที่มีชาวไทใหญ่เข้าไปอยู่อาศัยแล้วมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากชาวไทใหญ่ เป็นต้น)

2. เริ่มเปิดใจรับแต่ก็ยังมีอคติและความหวาดระแวงอยู่บ้าง คนกลุ่มนี้เริ่มได้คลุกคลี มีปฏิสัมพันธ์ และเริ่มได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากชาวไทใหญ่บ้าง เช่น คนในชุมชนที่มีชาวไทใหญ่เข้าไปอยู่อาศัย (แต่มีประสบการณ์ที่ดี) ร้านชำ ร้านกับข้าว ร้านก๋วยเตี๋ยว (แม่ของผู้เขียนอยู่ในกลุ่มนี้) ธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เริ่มมีลูกค้าเป็นชาวไทใหญ่ เป็นต้น

3. เปิดใจรับอย่างเต็มที่ คนกลุ่มนี้ได้รับผลประโยชน์จากชาวไทใหญ่อย่างเต็มที่ เช่น เป็นผู้รับเหมาที่มีลูกน้องเป็นชาวไทใหญ่ ธุรกิจที่มีชาวไทใหญ่เป็นลูกค้าสำคัญ เป็นต้น (ซึ่งอาจจะนับรวม NGO นักกิจกรรม นักวิชาการ ไว้ในกลุ่มนี้ก็ได้) รวมถึงกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับศาสนาและวัดที่มีชาวไทใหญ่เข้าไปทำบุญหรืออุปถัมภ์วัดนั้น ๆ เป็นจำนวนมาก

จะอย่างไรก็แล้วแต่ผู้เขียนสังเกตว่า 2 กลุ่มแรกนั้นต่างมีจุดร่วมกันคือ “ความกลัว” อยู่ลึก ๆ  มองว่าตนเอง (คนพื้นถิ่น) อยู่ในภาวะที่ถดถอยในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการหมดยุคเฟื่องฟูของลำไยที่เคยเป็นพืชเศรษฐกิจหลักในพื้นที่ ความล้มเหลวในการประกอบอาชีพ การขาดไอเดียใหม่ ๆ ในการประกอบอาชีพ การสูญเสียที่ดิน ไม่มีลูกหลานสืบสกุลต่อเนื่องจากค่านิยมไม่มีลูกของคนรุ่นใหม่ เป็นต้น แต่ในขณะที่ชาวไทใหญ่น่าจะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ จากคุณลักษณะพิเศษที่คนเมืองมองว่าชาวไทใหญ่มีเหนือกว่าพวกเขาคือ “สู้งาน อดทน และเก็บออม” นั่นเอง

ท้ายสุดคนเมืองคนพื้นถิ่นเชียงใหม่ อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังนับถอยหลังรอวันที่ชาวไทใหญ่หรือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่เราเคยมองว่าพวกเขาด้อยกว่าขยับแซงหน้าพวกเราขึ้นไป ซึ่งปรากฎการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับลูกหลานคนจีนโพ้นทะเล ที่ได้แซงหน้าคนไทยแท้ ๆ ไปอย่างกู่ไม่กลับแล้วเช่นในปัจจุบัน


เกี่ยวกับผู้เขียน  
Dada Journalism เป็นนามปากกาของชาวเชียงใหม่ผู้ซึ่งทำงานในแวดวงสื่อออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2006 เขานิยามระดับความสามารถในวิชาชีพของตนเองว่าเป็น ‘นักก้อปปี้วางชำนาญการพิเศษอาวุโส’ มีเครื่องมือหลักในการประกอบอาชีพ ได้แก่ กูเกิล โปรแกรมโน้ตแพด โปรแกรมเพนท์ และโปรแกรมเครื่องคิดเลข ที่แถมมากับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ – รับปากจะเขียนบทความให้กับ Lanner ในประเด็นพื้นที่ภาคเหนืออย่างสม่ำเสมอ เนื่องด้วยเพราะศรัทธาและชื่นชอบในตัวของผู้ประสานงานโครงการของ  Lanner เป็นเหตุผลหลัก.

More like this
Related

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...