มะเร็งปากมดลูกกับราคาที่ผู้หญิงไทยต้องจ่าย

Date:

12 ธันวาคม 2565



อย่างที่ทราบกัน 6 ธันวาคม 2565 พรรคเพื่อไทย ประกาศ 10 นโยบายของพรรค หนึ่งในนั้นคือนโยบายเศรษฐกิจภายใต้แคมเปญ ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ ที่บอกว่า ‘ในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวันเงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป สร้างความฮือฮา และข้อถกเถียงกันทั่วทั้งโซเชียลมีเดีย บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้

แต่เราอยากชวนทุกคนมามอง 1 นโยบายที่อยู่ใน 10 นโยบาย ที่ไม่ได้ฮือฮาเท่ากับนโยบายเด่น ๆ ที่พูดถึงข้างตน คือ นโยบายด้านสาธารณะสุข นั่นคือ สาธารณสุขเชิงรุกที่กล่าวว่า ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) พออ่านข้อความนี้แล้วก็คงไม่ได้ตกใจหรือหวือหวา แต่ถ้าหากสามารถทำได้จริงชีวิตผู้หญิงไทยหลายล้านคนก็ไม่อาจจะถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายทางสุขภาพอีก หากลองค้นข้อมูลในเว็บไซต์โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงของประเทศ จะพบว่าราคาเฉลี่ยของวัคซีนอยู่ที่เข็มละประมาณ 8,000 บาท ซึ่งต้องฉีดให้ครบ 2-3 เข็มต่อคน นี่ถือว่าเป็นราคาจำนวนไม่น้อยที่ผู้หญิงไทยจะต้องจ่ายเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก ซึ่งในโซเชียลมีเดียมีความเห็นในโทนเดียวกันว่า วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมีราคาที่สูง และควรจะเป็นสวัสดิการพื้นฐานอยู่แล้ว



*เชื้อ HPV เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิว และก่อที่ก่อโรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ด้วยการสัมผัสเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ผู้ที่มีเชื้อ HPV อยู่ในร่างกาย มักไม่มีอาการแสดงใด ๆ จึงอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพบเชื้อชนิดนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล



โดยสาขาวิชามะเร็งวิทยานรีเวช ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานว่า จากสถิติปี 2563 พบมะเร็งปากมดลูกในสตรีไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม โดยพบผู้ป่วยรายใหม่จากมะเร็งปากมดลูกปีละกว่า 9,000 คน และเสียชีวิตปีละ 4,700 ราย สรุปได้ว่า 1 วันที่พวกเราใช้ชีวิตกันอยู่มีผู้ที่สังเวยชีวิตให้กับมะเร็งปากมดลูกถึง 13 คนต่อวัน ตัวเลขพวกนี้มิใช่แค่เลขรายงานผลจำนวนคนที่เสียชีวิตเท่านั้น แต่มันคือ ค่าใช้จ่าย ความสูญเสีย ความโศกเศร้า และบาดแผลที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตต้องรับผิดชอบ นี่ยังไม่รวมผู้ที่ไม่ได้รับการบันทึกและสังเวยให้กับมะเร็งชนิดนี้อีกมากมาย



ฟ้าฝน (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี เธอเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ บอกกับเราว่า เพื่อนของเธอหลายคนก็ไปฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เธอเลยคิดว่าตัวเองควรฉีดไหม เพราะมะเร็งปากมดลูกมันอันตราย แล้วก็เป็นกับแค่เพศหญิง

“ขึ้นชื่อว่ามะเร็งยังไงก็อันตราย อย่างที่รู้กันว่าเป็นมะเร็งยังไงก็ไม่หายขาด ถ้าหากเป็นไปแล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาก็สูง”

แต่เท่าที่ฟ้าฝนบอกกับเรานั้น เธอทราบว่าวัคซีนมีราคาที่สูงมาก ราคาอยู่ที่หลักหมื่นได้ ที่สำคัญคือต้องฉีดหลายครั้ง

“ไม่ได้จ่ายแค่ค่าตัววัคซีนอย่างเดียวมันต้องจ่ายค่าหัตถการ ค่าบริการด้วย หรือถ้าไปโรงพยาบาลรัฐก็อาจจะต้องรอคิวนาน ในเวลาที่เราต้องลางานเพื่อไปฉีดวัคซีนตัวนี้มันคือราคาที่ต้องจ่ายเหมือนกัน”

ถามถึงความจำเป็นนั้น ฟ้าฝนอธิบายว่าเธอที่อายุ 20 กลาง ๆ คิดว่ามันก็จำเป็น แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึง 

“อยากให้มันฟรีแบบรัฐสวัสดิการไปเลย อีกอย่างคือภาครัฐหรือว่ากระทรวงสาธารณสุขควรจะรณรงค์ให้ผู้หญิงมาฉีดวัคซีนตัวนี้ เพราะมันมีความเสี่ยงอะไรบ้างถ้าไม่ฉีด และต้องให้ชุดข้อมูลความรู้ต่อประชาชน หรือการที่ผู้ชายก็ควรสนับสนุนให้ผู้หญิงออกมาฉีดด้วย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกมันก็สูง และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้ถ้าหากไม่ใช่คนรุ่นใหม่ ที่สามารถเสพข่าวจากสื่อออนไลน์ได้”



ด้านปลายฟ้า (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ ได้พูดถึงความจำเป็นในการเข้าถึงวัคซีนว่า

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนอายุไม่ถึง 30  ก็คงคิดถ้าไม่จำเป็น แต่พออายุ 30 อัพแล้วคิดว่าจำเป็นเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ด้วย เราก็ผ่านการมีแฟนผ่านการมีเพศสัมพันธ์มา มันก็จะมีความเสี่ยงของเรื่องมะเร็งปากมดลูกมากยิ่งขึ้น ซึ่งมะเร็งปากมดลูกมันคือมะเร็งอันดับ 2 ที่ผู้หญิงเป็นรองมาจากมะเร็งเต้านม”

ทั้งนี้ปลายฟ้าเคยศึกษาว่า การฉีดวัคซีนตัวนี้มันไม่ฟรี ต้องฉีดประมาณ 2-3 เข็มและต้องซื้อเป็นแพ็คเกจตามโรงพยาบาลราคาเป็นหมื่น ซึ่งถือว่าแพงมาก สวนทางกับรายได้ของตน และยังย้ำว่ารัฐควรจะให้ฉีดฟรี มันไม่ควรจะต้องเสียเงิน 2-3 หมื่นบาทโดยไม่จำเป็น

“อยากให้เป็นสวัสดิการที่ผู้หญิงไทยควรจะได้รับทุกคน ตอนนี้มันก็มีแต่ว่าได้แค่เด็กหญิงอายุ 9-11 ปี ที่ฟรี แต่หลังจากนั้นหละ อย่างเราอายุ 30 มันก็ไม่ฟรีแล้ว ซึ่งวัยมหาลัยหรือวัยที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้ว มันมีความเสี่ยงมากขึ้นก็ควรจะได้รับฟรี ควรจะเป็นรัฐสวัสดิการที่รัฐจัดสรรให้ฟรีเหมือนวัคซีนอื่น ๆ “

เมื่อรัฐไม่ได้ให้ความรู้และความเข้าใจกับประชาชน

สิ่งที่เป็นอุปสรรคของปัญหานี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่รัฐไม่ได้มีความพยายามในการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของรัฐ ขณะเดียวยอดผู้เสียจากมะเร็งปากมดลูกก็มีจำนวนมากในแต่ละปี

“เรารู้ว่ามันมีวัคซีนตัวนี้อยู่แต่ไม่รู้ว่าวัคซีนตัวนี้ทำอะไรกับร่างกาย อย่างที่รู้มาว่าสาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูกมันเกิดจากเชื้อไวรัส แต่เราไม่รู้ว่ามันขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนหรือเปล่า คืออย่างเรามีลูกใช่ไหม รัฐก็ต้องตรวจหามะเร็งปากมดลูกทุกปีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจำเป็นมากน้อยแค่ไหน

เรารู้จักมะเร็งปากมดลูกจากการที่ต้องไปตรวจทุกปี เขาก็จะอธิบายว่ายิ่งเราสูบบุหรี่กินเหล้ามันจะยิ่งทวีเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเราไม่แน่ใจในเรื่องที่ว่าอายุมาก ความเสี่ยงก็จะมากตาม”



ดาวใจ (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูก 2 ที่มองไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ได้สร้างความตระหนักรู้ในการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

“เราไม่รู้ว่าวัคซีนมันทำอะไรกับร่างกายเรา เช่น มันไปฆ่าไวรัสเชื้อมะเร็งหรอ หรือมันเอาไวรัสเข้ามาสู่ร่างกาย คือยังไง ทำยังไงกับเรา รายละเอียดพวกนี้เราไม่ทราบเลย”

โดยข้อเสนอของดาวใจกับประเด็นนี้ เธอมีข้อกังวลว่าถ้าคนที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยหรือเข้าไม่ถึงสิทธิในการรักษาพยาบาลจะทำยังไง การตรวจของสาธารณะสุขมันครอบคลุมผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในไทยจริง ๆ ไหม ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป

บทสรุป

เราจะเห็นปัญหาใหญ่ ๆ  2 เรื่องด้วยกันคือ 1.วัคซีนตัวนี้ควรจะเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ทุก ๆ คนควรจะเข้าถึง 2.ควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจในวัคซีนตัวนี้ที่มากขึ้นต่อประชาชน ก่อนจะออกนโยบาย

โดยข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบันมีนโยบาย ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกให้ฟรีเฉพาะกลุ่มเด็กผู้หญิงอายุ 9-11 ปี อยู่แล้ว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับรู้ต่อเรื่องนี้เลย ซึ่งในรายละเอียดนโยบายสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทยกับกระทรวงสาธารณะสุขมีความเหลื่อมกันเพียงเล็กน้อย ซึ่งของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นต่อที่ว่า “ฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV)” หากมองจากทั้งสองนโยบายอาจจะมองว่าเป็นสวัสดิการที่ดีแล้ว แต่ในประเทศไทยนั้นไม่ได้มีแค่ผู้หญิงที่เป็น เด็กผู้หญิงไทยอายุ 9-11 ปี หรือ ผู้หญิงไทยที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพี เพียงอย่างเดียวยังมีกลุ่มคนที่รัฐพยายามไม่มองและมองอยู่อีกมาก เช่น แรงงานข้ามชาติ ชาติพันธุ์ คนไร้บ้าน ผู้ลี้ภัย หรือกลุ่มคนที่ไม่ได้มีบัตรประชาชนไทยอยู่ จากปัญหามากมายอย่าง การแจ้งเกิด การตกสำรวจ และการมองเป็นอื่น กลุ่มคนเหล่านี้คือกำลังหลักในภาคแรงงาน บริการ ฯลฯ ซึ่งไม่ได้รับการมองเห็น เหลียวแล และไม่ได้รับสวัสดิการนโยบายสาธารณะสุขนี้อยู่เป็นจำนวนมาก

นี่อาจจะเป็นเรื่องที่เป็นมากกว่าแค่นโยบายหาเสียง แต่เป็นเรื่องที่ย้อนกลับไปตอกย้ำว่าที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขทำอะไรเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพกับผู้หญิงไทยไปบ้าง?


อ้างอิง

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...

คนฮอดเดือดร้อน น้ำหนุนจากเขื่อนภูมิพลท่วมซ้ำทุกสิบปี พืชผลทางการเกษตรเสียหายยกสวน

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 สถานการณ์น้ำหนุนในพื้นที่ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณสะพานจามเทวี...