ชาวท่าตอนค้านฝายดักตะกอน ‘กัณวีร์’ จี้รัฐบาลอนุทินทบทวนนโยบายชายแดน

14 กันยายน 2568 ที่ห้องประชุมชั้น 8 วัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีการจัดเวทีชุมชนกรณีมลพิษข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองแร่บริเวณแม่น้ำกก สาย รวก และโขง พร้อมถกประเด็นโครงการฝาย–ม่านดักตะกอน โดยมีพระมหานิคม มหาภินิกขมฺโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยเครือข่ายภาคประชาชน มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และชาวบ้านกว่า 60 คนจากพื้นที่ลุ่มน้ำกกตอนบน

พระมหานิคม มหาภินิกขมฺโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน ระบุว่า ครบรอบหนึ่งปีเหตุการณ์น้ำท่วมแม่น้ำกก แต่ปัญหาที่ซ้อนเข้ามาในปัจจุบันคือสารพิษจากการทำเหมืองฝั่งเมียนมา และโครงการก่อสร้างฝายดักตะกอน 4 จุดในตำบลท่าตอน ที่ชาวบ้านยังไม่มั่นใจและต้องการข้อมูลชัดเจน

ด้าน มนตรี จันทวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อมจากกลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง อธิบายว่า โครงการนี้เดิมมีแผนสร้างฝาย 10 แห่ง พร้อมประตูระบายน้ำเพื่อดันน้ำเข้าสู่หนองน้ำธรรมชาติท่าตอนราว 6–7 หนอง ใช้เป็นพื้นที่บำบัดสารพิษก่อนสูบตะกอนไปกำจัด งบประมาณรวมกว่า 7,000 ล้านบาท แต่ต่อมาได้ปรับเป็น ‘ม่านดักตะกอน’ เร่งด่วน 4 แห่ง ใช้งบ 173 ล้านบาท โดยฝายแต่ละแห่งมีขนาดยาว 200 เมตร กว้าง 80 เมตร ซึ่งอาจกระทบที่ดินของชาวบ้าน ตะกอนที่เก็บได้จะถูกนำไปตากแห้งและบรรจุกระสอบเพื่อนำไปฝังกลบที่จังหวัดสระบุรี

หาญณรงค์ เยาวเลิศ รองประธานมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ ระบุว่า โครงการฝายดักตะกอนมีการหารือเพียงครั้งเดียวผ่านระบบออนไลน์ โดยตนเคยเสนอให้กรมทรัพยากรน้ำรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านตั้งแต่ต้น แต่ถูกปฏิเสธเพราะ “ไม่ทันเวลา” ซึ่งหากขาดการมีส่วนร่วมตั้งแต่แรกย่อมสร้างปัญหาตามมา อีกทั้งการเปลี่ยนแผนจาก “ฝายดักตะกอน” มูลค่า 7 พันล้านบาท มาเป็น “ม่านดักตะกอน” ก็ไม่เคยมีตัวอย่างที่ไหนทำมาก่อน และยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถดักสารพิษอย่างสารหนู ปรอท หรือแคดเมียมได้จริงหรือไม่ เพราะสารพิษหลายชนิดไม่ได้อยู่เฉพาะในตะกอนเท่านั้น

“ในมุมมองกฎหมาย ถ้าพื้นที่โครงการอยู่ในเขตป่า ต้องขออนุญาตอุทยาน ต้องทำประชาคมชาวบ้าน และจะต้องมาอธิบายกับชาวบ้านว่าจะทำช่วงไหนจะจัดการตามฤดูกลายอย่างไร ถ้าชาวบ้านไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไร” หาญณรงค์กล่าว

ด้านชาวบ้านก็สะท้อนความกังวลเช่นกัน นายหล้า บุญเรือง จากบ้านแก่งทรายมูล ตั้งคำถามว่าการสร้างฝายจะช่วยแก้ปัญหาน้ำกกซึ่งขุ่นข้นและปนเปื้อนสารพิษได้อย่างไร เพราะต้นเหตุที่แท้จริงมาจากการทำเหมืองในฝั่งเมียนมา 

“ผมอยู่ในพื้นที่ เจอผลกระทบเต็มๆ ผมทำเกษตร ปลูกข้าวโพด ผักกาดยังไม่ขึ้นเลยเพราะดินเป็นพิษ นี่จะมาทำฝายกรองตะกอน ปล่อยให้ฝั่งโน้นเขาทำเหมือง เอาทองเอาของมีค่าไปไป แล้วเอาขี้ทิ้งมาให้เรา” นายหล้ากล่าว 

ขณะที่ สามารถ ภูเกติ เจ้าของร้านอาหารบ้านร่มไทย เล่าว่า บ้านพักและที่ดินติดริมน้ำกกของตนถูกน้ำพัดหายไปเมื่อปีก่อน แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเป็นธรรมจากภาครัฐ ได้เพียงเงินล้างบ้าน 10,000 บาทมาใช้จ่ายประทังชีวิต ทั้งที่ความเสียหายรุนแรงกว่านั้นมาก

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงการจัดตั้งเครือข่ายเตือนภัยอุทกภัย โดยเสนอให้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำในฝั่งพม่า เช่น เมืองสาด และเมืองเปียงคำ เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อเกิดน้ำหลาก อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลด้านความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) ซึ่งอาจไม่ยอมให้ติดตั้งอุปกรณ์ที่ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูล

ช่วงท้ายของการประชุม สมดุลย์ อุตเจริญ ส.ส.พรรคประชาชน และ กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.พรรคเป็นธรรม เข้าร่วมรับฟัง โดยสมดุลย์เสนอว่า การใช้งบประมาณสร้างฝายในประเทศไทยไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาปลายทาง สิ่งสำคัญคือต้องแก้ที่ต้นเหตุด้วยการปิดเหมืองในรัฐฉาน หากไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ต้องบังคับให้เหมืองรับผิดชอบบำบัดสารพิษก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำ

“ฝายดักตะกอน ม่านดักตะกอน มาแก้ที่บ้านเราไม่ถูกต้อง ผมไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ควรไปถึงประชาคมโลก” สมดุลย์ กล่าว

ขณะที่ กัณวีร์ เรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ปรับนโยบายการทูตต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างเชิงรุกและยั่งยืน โดยระบุว่า ไทยจำเป็นต้อง “แทรกแซงอย่างสร้างสรรค์” เพื่อสร้างสันติภาพในพม่า และต้องตรวจสอบให้ชัดว่าใครคือผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังเหมืองเหล่านี้ มิใช่ปล่อยให้ชาวบ้านไทยเป็นฝ่ายรับผลกระทบเพียงลำพัง

“ผมจะผลักดันต่อรัฐบาลชุดนี้ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่ามีทางออกทางเดียวคือ คุณต้องเข้าใจ ประเทศไทยต้องใช้การทูตแทรกแซงอย่างสร้างสรรค์ ต้องทราบให้ได้ว่าใครคือผู้ทำเหมือง ใช่จีนหรือไม่ ต้องผลักดันให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนี้” กัณวีร์กล่าว 

ภายหลังการประชุม เครือข่ายภาคประชาชนและทีม ส.ส. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดก่อสร้างฝายดักตะกอน โดย ทัศพล ก่ำบุตร รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตอน ระบุว่า จุดที่ 2 ซึ่งเตรียมสร้างฝายมีสภาพเป็นดินปนทราย จึงยากต่อการก่อสร้าง อีกทั้งยังไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว และอาจก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมา รัฐบาลควรมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนกว่าในการแก้ไขปัญหา

ด้านหาญณรงค์ เสริมว่า ผู้มีอำนาจที่ผลักดันโครงการฝายอาจไม่ได้ลงมาสำรวจพื้นที่จริง แต่พิจารณาจากรายงานเอกสารเท่านั้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีสภาพตลิ่งถูกกัดเซาะต่อเนื่อง ไม่เหมาะสมต่อการสร้างฝายหรือกักเก็บตะกอนดินแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ กรมทรัพยากรน้ำได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง สิทธิมนุษยชน และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ว่าโครงการ “ม่านดักตะกอน” (silt screen) ถือเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหาระยะสั้น เพราะสามารถทำให้สารหนูตกตะกอนได้มากที่สุด แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปลายเหตุ โดยแผนงานกำหนดสร้างฝายดักตะกอน 4 จุดในแม่น้ำกก ได้แก่ ท่าตอน (อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่) และอีก 3 จุดใน จ.เชียงราย รวมใช้งบประมาณ 173 ล้านบาท ตะกอนที่ดักจับได้จะถูกดูดบรรจุในถุง PE อายุการใช้งานกว่า 50 ปี เพื่อนำไปฝังกลบในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานกำหนด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารพิษ

อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนระยะยาว กรมทรัพยากรน้ำเสนอแนวทางปรับปรุงแม่น้ำกกให้เป็น “อ่างเก็บน้ำเสมือนจริง” ด้วยการสร้างฝายขั้นบันไดเพื่อชะลอการไหลของน้ำ

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง