แถลงการณ์พรรคสามัญชน ไล่ประยุทธ์ หยุดเอเปค หยุดไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนเอาไปปลูกป่าขายคาร์บอนเครดิต

Date:

เมื่อวันที่ 15 พศฤจิกายน 2565 พรรคสามัญชน – Commoners Party ได้เผยแพร่แถลงการณ์ “ไล่ประยุทธ์ หยุดเอเปค หยุดไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนเอาไปปลูกป่าขายคาร์บอนเครดิต” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านการไล่ล่า ยึด แย่งที่ดินทำกินของประชาชน เอื้อประโยชน์นายทุนผ่านคาร์บอนเครดิต และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์

ไล่ประยุทธ์ หยุดเอเปค หยุดไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนเอาไปปลูกป่าขายคาร์บอนเครดิต

เนื่องจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจจากเผด็จการทหาร คสช. จะฉวยโอกาสใช้เอเปคเป็นตราประทับรับรองหรือสร้างภาพนโยบายที่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อสังคมไทยให้ดูดีขึ้น

นั่นก็คือ  นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG ที่ถูกผลักดันมาจากยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ  ที่ชื่อดูดี  แต่ซ่อนเร้นการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ที่แนบแน่นกับรัฐบาลมาตั้งแต่รัฐประหาร 2557  จากการเข้าไปมีตำแหน่งแห่งที่ในกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศทุก ๆ ด้าน  ซึ่งเปรียบเสมือนโครงสร้างอำนาจใหม่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ  เป็นการผสมผสานระบบเทคโนแครตเดิมที่ส่วนใหญ่หมายถึงกลุ่มขุนนางข้าราชการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ  ไปเป็นระบบเทคโนแครตใหม่ที่มีพ่อค้านักธุรกิจเป็นส่วนผสมมากขึ้น  จนทำให้ความเกี่ยวข้องต่อการกำหนดนโยบายโดยรัฐสภาที่ยึดโยงกับประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งถูกลดทอนลง  ผลที่เกิดขึ้นได้ทำให้กรรมการคณะต่าง ๆ ของยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มีลักษณะเป็น ‘สภาขุนนางพ่อค้า’ ซ้อนทับสภาที่มาจากการเลือกตั้งอีกชั้นหนึ่ง

ซึ่งเป็นสภาเถื่อนที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนที่เป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง

ดังนั้น  BCG ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลสืบทอดอำนาจจากเผด็จการทหาร คสช. จะเอาไปยัดไส้ใส่ในการประชุมเอเปคระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายนนี้  เพื่อให้เอเปครับรองนั้น  นอกจากกรรมการขับเคลื่อน BCG ที่ล้วนเต็มไปด้วยชื่อของเจ้าของกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่ในสภาขุนนางพ่อค้าแล้ว  ยังมีเนื้อหาที่ล่องลอยไปจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน  มีแต่เนื้อหาสาระที่เอื้อต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสภาขุนนางพ่อค้าเท่านั้น  โดยมุ่งแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ  เช่น  เปิดการปลูกพืชจีเอ็มโอ  แก้นิยามพันธุ์พืชพื้นเมือง  อนุญาตให้เอากากอุตสาหกรรมมาใช้ใหม่  สร้างมูลค่าเพิ่มแอลกอฮอล์แปลงสภาพ  เร่งรัดการขึ้นทะเบียนชีวภัณฑ์ทางการเกษตร  ปลดล็อคข้อจำกัดการรับซื้อขายไฟฟ้า  ให้เอกชนสัมปทานปลูกป่าในที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ที่ไล่ล่าแย่งยึดเอามาจากประชาชน  ฯลฯ 

ในส่วนของการให้เอกชนสัมปทานปลูกป่าในที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ที่ไล่ล่าแย่งยึดเอามาจากประชาชนนั้น  ถือเป็นการฟอกเขียวให้แก่บริษัทเอกชนที่สร้างมลภาวะคาร์บอน  เพราะไม่ได้เป็นมาตรการลดคาร์บอนจากแหล่งกำเนิด  เปิดทางให้บริษัทเอกชนทั้งในและนอกประเทศเข้ามาสัมปทานปลูกป่าในที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ที่ไล่ล่าแย่งยึดเอามาจากประชาชนเพื่อให้ได้คาร์บอนเครดิตโดยที่ไม่ต้องลดการปล่อยคาร์บอนจากแหล่งกำเนิดคาร์บอน ณ โรงงาน  หรือแหล่งผลิตสินค้าของบริษัทเอกชนเหล่านั้นแต่อย่างใด  มิหนำซ้ำหากได้คาร์บอนเครดิตจากป่าสัมปทานจำนวนมากกว่าคาร์บอนที่ปล่อยออกมาก็สามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อปล่อยคาร์บอนให้มากขึ้น  และนำคาร์บอนเครดิตจากป่าสัมปทานไปขายให้บริษัทเอกชนรายอื่นเพื่อค้ากำไรได้อีกด้วย

ซึ่งการปลูกป่าสัมปทานเพื่อลดคาร์บอนเช่นนี้  ทำให้บริษัทเอกชนมีลักษณะเป็นเจ้าอาณานิคมรูปแบบใหม่ที่ใช้อำนาจนำและเหนือกว่าทางเศรษฐกิจเข้ามาสัมปทานปลูกป่าในประเทศที่ไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนของตน  โดยเฉพาะที่ดินทำกินที่ถูกกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ทับ  เอามาประเคนให้บริษัทเอกชนเพื่อหวังรายได้จากสัมปทาน 

ดังนั้น BCG ที่รัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร คสช. ไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนที่ถูกกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ทับจึงเป็นนโยบายที่เอาใจเจ้าอาณานิคมโลกร้อน  เพื่อฟอกเขียวให้กับบริษัทเอกชนเหล่านั้นได้ดำเนินธุรกิจที่สร้างมลภาวะคาร์บอนต่อโลกอย่างต่อเนื่องและไม่ลดละต่อไป

พรรคสามัญชนเห็นว่าการลดโลกร้อนที่ตรงเป้าหมายที่สุด  คือ  ต้องลดมลภาวะคาร์บอน ณ แหล่งกำเนิดเท่านั้น  ไม่ใช่ลดโลกร้อนแบบล่าอาณานิคมบนแผ่นดินอื่นเยี่ยงรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร คสช. ที่วางเป้าหมายหาที่ดินรัฐมาให้บริษัทเอกชนสัมปทานปลูกป่าอย่างน้อย 3.2 ล้านไร่ ภายในปี 2570  ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการไล่ล่าแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชนที่ถูกกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ทับลงไป  ซึ่งผลของมันได้ทำให้ประชาชนถูกดำเนินคดีเกือบ 50,000 คดี  ถูกต้องขังไปแล้วกว่า 12,000 ราย  ถูกไล่ออกจากที่ดินทำกินแล้วประมาณ 1 ล้านไร่  และตัวเลขยังคงสูงกว่านี้เนื่องจากมีพื้นที่อีกอย่างน้อย 9 ล้านไร่ รอประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ 21 แห่ง  และอีก 20 ล้านไร่ เพื่อทำให้ได้พื้นที่ป่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ  ซึ่งทั้งหมดล้วนมีประชาชนครอบครองทำกินอยู่ในพื้นที่ทั้งสิ้นและไม่มีป่าไม้ใด ๆ เหลืออยู่มานานแล้ว

นี่คือผลงานของประยุทธ์และพวกตลอดแปดปีที่ผ่านมา  กดขี่  ขูดรีดชีวิตที่ควรจะดีกว่านี้ของเรา  ไล่ล่า  แย่งยึดที่ดินทำกินของเรา 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา  จึงไม่มีโอกาสใดดีไปกว่านี้อีกแล้วที่พี่น้องประชาชนจะร่วมกันขับไล่ประยุทธ์และพวกออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งในรัฐบาลในวาระการประชุมเอเปค

พรรคสามัญชนขอเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ราษฎร หยุด APEC 2022’ ในการขับไล่ประยุทธ์และพวก  จงมาร่วมกันขับไล่ประยุทธ์และพวกพร้อมกันกับพวกเรา  โปรดติดตามการนัดหมายทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเวลา 16 – 19 พฤศจิกายนนี้จากราษฎร หยุด APEC 2022 

สุดท้ายนี้  ขอเป็นกำลังใจแด่ผู้คนที่ยังคงไฟฝันอันงดงามเพื่อก่อร่างสร้างสังคมใหม่ให้มีเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ อันสมบูรณ์สืบไป

ด้วยความเคารพ

พรรคสามัญชน

15 พฤศจิกายน 2565

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

ริมกกซวยซ้ำ! น้ำประปา ผัก ปลา ปนเปื้อนโลหะหนัก ชาวบ้าน 7 รายมีสารในปัสสาวะสูง จี้รัฐเร่งแก้ไข

ผ่านมากว่าครึ่งปีกับวิกฤตสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบนิเวศของสายน้ำ แต่กระทบไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การประกอบอาชีพอย่างการประมงและการเกษตร กลายเป็นปัญหาใหญ่ข้ามพรมแดนที่ไม่อาจแก้ได้ฝ่ายเดียว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสายน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วนกำลังเผชิญกับหายนะอย่างหนัก แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยในตำบลท่าตอน...

วิกฤตชาวประมงปากน้ำกก ยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ รัฐเยียวยา-เร่งเจรจาหยุดสารพิษ

​14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจากสามชุมชนปากแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านเชียงแสนน้อย บ้านสบคำ ตำบลเวียง และบ้านสบกก...

เปิดโผผู้ว่าหน้าใหม่ เชียงใหม่-เชียงราย-แม่ฮ่องสอน-ลำปาง ย้ายแทนหน้าเก่าหลังแต่งตั้งได้ไม่ถึง 2 เดือน

มติคณะรัฐมนตรีล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 มีคำสั่งให้โยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย จำนวน 45 ตำแหน่ง ในพื้นที่...

ชาวกะเบอะดินจัดงาน ‘ครบรอบ 6 ปี คัดค้านเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย’ ยืนยันจะปกป้องผืนดินด้วยชีวิต

ภาพ: วชิรญาณ์ วิรัชบุญญากร เสียงตะโกน “เหมืองแร่ออกไป! เหมืองแร่ออกไป!” ดังก้องไปทั่วผืนนา บ้านกะเบอะดิน อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่  11...