‘ระบบตรวจสอบย้อนกลับ’ แนวข้อบังคับภาคธุรกิจกับปัญหาฝุ่นข้ามแดน

Date:

ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยมีสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยข้ามพรมแดน กรกนก วัฒนภูมิ ตัวแทนเครือข่ายติดตามการลงทุนไทยและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ETOs Watch ได้กล่าวถึงการรับมือกับปัญหานี้ ทั้งในมุมมองของภาครัฐและภาคธุรกิจ รวมถึงข้อท้าทายและแนวทางการแก้ไขที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจัง

กรกนกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินงานของภาครัฐ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากเว็บไซต์ ครม. พบว่า หากค้นหาคำว่า ‘มลพิษทางอากาศ’ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2566 จนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีมติ ครม. ออกมาแล้ว 16 ครั้ง ในจำนวนนี้มีเพียง 10 ครั้ง เท่านั้นที่กล่าวถึงปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของมติดังกล่าวยังไม่เข้มข้นเพียงพอ และมาตรการส่วนใหญ่เป็นเพียงแนวทางแก้ไขปัญหาเฉพาะฤดูกาลเท่านั้น

นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้จัดทำมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการตรวจสอบย้อนหลัง, การเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านโดยกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์, การนำมาตรฐานตรวจสอบมลพิษมาใช้ตั้งแต่ต้นทางของภาคเกษตร เช่น การรับซื้ออ้อยเผา หรือข้าวโพด ที่เป็นสาเหตุของการเผาในประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่งผลกระทบมาถึงไทย และยังจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจอีกหลายชุด เช่น คณะกรรมการอำนวยการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ตั้งขึ้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2567 โดยรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรฯ และปลัดกระทรวง อธิบดีจากหน่วยงานต่างๆ เป็นกรรมการ และยังมีการตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ดูแลแผนฝุ่นละออง แต่แผนฉบับที่ 2 ยังไม่ออก ทำให้มาตรการภาครัฐล่าช้า

นอกจากมาตรการที่ได้กล่าวมาข้างต้น ประเทศไทยยังมีความร่วมมือในระดับอาเซียนและอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงหลายกลไก ประกอบด้วย

ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution – AATHP) มีวัตถุประสงค์ให้แต่ละประเทศดำเนินมาตรการภายในประเทศและร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์แหล่งกำเนิดไฟป่า สาเหตุ ความรุนแรง และผลกระทบจากหมอกควัน 

Roadmap อาเซียนปลอดหมอกควัน (ASEAN Haze-Free Roadmap) มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อควบคุมมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน พัฒนา ตัวชี้วัด สำหรับติดตามปัญหา

ความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศ (ไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม) เพื่อแก้ปัญหาหมอกควัน มีแผนปฏิบัติการเชียงราย ปี 2560 เพื่อป้องกันมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน

ยุทธศาสตร์ “ฟ้าใส” หรือ Clear Sky Strategy (CSS)  แผนงานความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมาที่มีเป้าหมายเพื่อลดจุดความร้อน การจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟไหม้ป่า การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพต่อประชาชน การส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการจัดตั้งสายด่วน (hotline) เพื่อประสานงานระหว่างทั้งสามประเทศ

กรกนกเสริมว่าจากข้อมูลที่ได้ยกมานี้อาจทำให้เห็นว่ามาตรการ หรือการจัดการปัญหาฝุ่นของภาครัฐนั้นอาจมีหลายระดับ แต่ถึงอย่างนั้น จากผลลัพธ์ที่ปรากฎให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา ก็ชวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า มาตรการเหล่านี้ช่วยแก้ไขปัญหาได้จริงหรือไม่

“มาตรการของภาครัฐมีหลายระดับ ตั้งแต่ ระดับชาติ ระดับอาเซียน และระดับอนุภูมิภาค โดยมีการตั้งคณะกรรมการ ออกแผน และพัฒนาตัวชี้วัด แต่คำถามสำคัญคือ มาตรการเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่? และเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมแค่ไหน?”

การทำงานของภาคธุรกิจ

กรกนกได้เล่าบทบาทการทำงานของภาคธุรกิจในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมว่าภาคธุรกิจมี ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) เป็นระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานของวัตถุดิบ ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การแปรรูป ขนส่ง กระจายสินค้า ไปจนถึงมือผู้บริโภค โดยระบบนี้ต้องสามารถย้อนกลับไปตรวจสอบทุกขั้นตอนได้ นอกจากนั้น สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ยังได้ขอความร่วมมือจากสมาชิกให้ดำเนินการตามนโยบายการจัดซื้ออย่างยั่งยืน โดยไม่สนับสนุนการรับวัตถุดิบที่มาจากพื้นที่บุกรุกป่าและเลือกซื้อจากแหล่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย 

ภาพจาก ETOs Watch Coalition 

แม้ในปัจจุบันกฎหมายไทยจะยังไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจน แต่กฎหมายระดับนานาชาติมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยตรง เช่น EU Deforestation Regulation (EUDR) ที่กำหนดให้สินค้ากลุ่มสำคัญ 7 รายการ ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน วัว ไม้ กาแฟ โกโก้ และถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ ต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ 

“เรื่องนี้ส่วนใหญ่มาจากข้อบังคับของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ที่มีกฎหมายเข้มงวดเกี่ยวกับระบบตรวจสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มมีข้อกำหนดเช่นกัน แต่ของ EU ถือว่าเข้มงวดที่สุด และเป็นตลาดส่งออกหลักของเรา นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตาม”

กรกนกกล่าถึงข้อถกเถียงที่บางฝ่ายมองว่า หากไทยตั้งกำแพงภาษีหรือไม่รับซื้อสินค้า อาจขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) แต่อย่างไรก็ตาม กฎของ WTO ก็ยังมีข้อยกเว้น เช่น ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เธอยังอธิบายอีกว่า ความท้าทายของระบบตรวจสอบย้อนกลับในไทย คือการที่ ปัจจุบันยังไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายและยังขาดมาตรฐานกลางที่บังคับใช้กับทุกภาคส่วน นอกจากนั้น ธุรกิจไทยในต่างประเทศยังไม่ได้รับการกำกับดูแลที่เข้มงวด เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินใกล้ชายแดนไทย ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

“ความท้าทายของระบบตรวจสอบย้อนกลับในไทย คือยังเป็นระบบสมัครใจ เพราะไม่มีข้อบังคับทางกฎหมาย ทำให้แต่ละภาคเอกชนมีมาตรฐานแตกต่างกัน กฎหมายสิ่งแวดล้อมยังไม่เข้มแข็งพอ และไม่ได้ครอบคลุมเรื่องการตรวจสอบย้อนกลับ รัฐควรออกกฎหมายและมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นเพื่อสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม”

ทั้งนี้ กรกนกยังมีข้อเสนอแนะว่าปัญหามลพิษทางอากาศต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจังทั้งจากภาครัฐและภาคธุรกิจ โดยภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการที่มีอยู่ให้มีผลบังคับใช้จริง การออกกฎหมายและมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ธุรกิจมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็ต้องรับผิดชอบต่อแหล่งที่มาของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน

“ในส่วนของ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ควรผลักภาระการพิสูจน์ไปยังภาคธุรกิจ แทนที่จะให้ประชาชนเป็นฝ่ายหาหลักฐาน นอกจากนั้น ควรมีกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) ควบคู่กับ พ.ร.บ. อากาศสะอาด เพื่อให้การควบคุมมลพิษมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอเพื่อให้ระบบตรวจสอบย้อนกลับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานได้จริง และทำให้ภาคธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น”

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เรียบเรียงจาก วงเสวนา PM2.5 จากท้องถิ่นถึงประเทศไทย โดย ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ, วิชชากร นวลฝั้น, ชนกนันทน์ นันตะวัน, ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์, กรกนก วัฒนภูมิ, วัชลาวลี คำบุญเรือง และรศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ความทรงจำดีๆ จากเชียงใหม่ ถึง ‘บินหลา สันกาลาคีรี’ ผู้บินไกล

หลายคนรู้จักมักคุ้นชื่อ ‘บินหลา สันกาลาคีรี’ นักเขียนอารมณ์ดี เจ้าของผลงาน หลังอาน, ดื่มทะเลสาบ อาบทะเลทราย, บินทีละหลา,...

Lanner Joy: Midnight Rice Fest 2025 สร้างคนและพื้นที่ให้เชื่อมถึงกัน

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: คน.ข้าวยาคู้.ช้างม่อย คืนก่อนวันเพ็ญเดือนสิบสอง แสงทองจากผางประทีปส่องระยิบระยับตามแนวกำแพงในวัดชมพู ย่านช้างม่อย กลิ่นถั่ว งา...

สารหนูปนเปื้อนสาละวิน คพ.ยันปลอดภัย นักวิจัยเตือนอย่าด่วนสรุปก่อนผลแล็บจริง

ภาพ: กรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่...

เครือข่ายชุมชนแม่ยาวเชียงราย ค้าน ‘ฝายดักตะกอน’  ชี้ไม่แก้ปัญหาน้ำกก ร้องรัฐบาลจริงใจแก้ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน

6 พฤศจิกายน 2568 ที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตร่วมกับเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย เป็นตัวแทนชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำข้อเสนอเตรียมเข้าสู่เวทีรับฟังความคิดเห็นของกรมทรัพยากรน้ำ...