‘เรารู้สึกไม่ปลอดภัย’  Friend Without Border เปิดรายงาน พบผู้ลี้ภัยในไทยอยู่ภายใต้การคุกคามจากรัฐบาลเผด็จการเมียนมา

Date:

สงคราม ความขัดแย้งทางศาสนาและชาติพันธุ์ การปราบปรามประชาชน เป็นสิ่งที่ส่งผลให้เกิดการย้ายถิ่นฐานของคนเป็นจำนวนมากที่ต้องหนีจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของตนไปอาศัยในดินแดนที่ตนเองไม่รู้จักไม่คุ้นเคยเพื่อความปลอดภัย เราอาจรู้จักคนกลุ่มนี้ในนาม ‘ผู้ลี้ภัย’ ซึ่งการลี้ภัยเกิดขึ้นมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ประเทศไทยเองก็ได้เผชิญกับการลี้ภัยของผู้คนจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงสงครามเย็นทั้งสงครามเวียดนาม การรุกรานสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา(เขมรแดง) ของเวียดนาม รวมถึงความขัดแย้งในเมียนมาที่กินระยะเวลายาวนานล้วนทำให้เกิดการลี้ภัยของประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทย

ปัญหาผู้ลี้ภัยเป็นปัญหาระดับโลกที่สหประชาชาติตระหนักถึงเช่นเดียวกันจึงเกิดอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ปี 1951 ซึ่งกำหนดความหมายของคำว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ สิทธิของผู้ลี้ภัย ตลอดจนพันธกรณีของรัฐภาคีในการคุ้มครองผู้ลี้ภัย โดยอยู่บนหลักการของ ‘ไม่ผลักดันกลับ’ อันเป็นหลักการพื้นฐานที่ยืนยันสิทธิของผู้ลี้ภัยที่จะไม่ถูกผลักดันกลับไปยังประเทศที่พวกเขาต้องเผชิญภัยร้ายแรงต่อชีวิตหรืออิสรภาพ กระนั้นประเทศไทยแม้จะเป็นผู้เข้าร่วมปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นรากฐานของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญานี้จึงทำให้ในทางกฎหมายแล้วประเทศไทยไม่มีสถานะ ‘ผู้ลี้ภัย’ และมีไม่กลไกคุ้มครองผู้ลี้ภัยแต่อย่างใด

ในวันที่ 20 มิถุนายน ปี 2001 สหประชาชาติประกาศให้วันที่ 20 มิถุนายนของทุกปีเป็นวันผู้ลี้ภัยโลกเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีที่อนุสัญญานี่เกิดขึ้นมา หากนับจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 73 ปีแล้วที่ประเทศไทยไม่ได้ลงนามเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยสากล ซึ่งสถานการณ์สงครามกลางเมืองในเมียนมาที่มีการใช้ความรุนแรงและคุกคามประชาชน รวมถึงการบังคับเกณฑ์ทหาร ทำให้เกิดการลี้ภัยของประชาชนเมียนมาเข้ามาอีกระลอกด้วยการที่ไม่มีการรับรองสถานะและสิทธิผู้ลี้ภัยทำให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เปราะบางอย่างมาก

การกดปราบข้ามชายแดน: ภัยคุกคามที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญ

เนื่องในวันผู้ลี้ภัยโลกปี 2024 ทีม Border Voice ภายใต้มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน Friends Without Border ได้เปิดตัวรายงาน “พวกเรารู้สึกไม่ปลอดภัย:การวิจัยแบบมีส่วนร่วมว่าด้วยการกดปราบข้ามชายแดนต่อชุมชนเมียนมาพลัดถิ่นในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก” (We don’t feel safe: Participatory research on transnational repression against Myanmar diaspora in Mae Sot, Tak province) รายงานชิ้นนี้ได้ศึกษาประเด็นการกดปราบข้ามชาติ (Transnational repression) ต่อชุมชนพลัดถิ่นในอำเภอแม่สอด โดยให้ความหมายว่าการกดปราบข้ามชายแดนคือความพยายามใดก็ตามข้ามชายแดนที่ทำให้ชุมชนพลัดถิ่นไม่กล้าแสดงออกทางความคิดเห็น เช่น การลอบสังหาร การผลักดันกลับแบบผิดกฎหมาย การลักพาตัว การข่มขู่ออนไลน์ การคุกคามด้วยตำรวจสากล และการคุกคามครอบครัว

รูปแบบของงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมซึ่งเป็นงานวิจัยที่ให้คุณค่ากับความรู้และประสบการณ์กับผู้เข้าร่วมวิจัย โดยผู้วิจัยทำหน้าที่เป็นเพียงกระบวนกรและถือว่าผู้เข้าร่วมวิจัยมีส่วนร่วมในการวิจัยมากกว่าแค่ถูกศึกษาเท่านั้น และมีเป้าหมายเพื่อ”แสดงมุมมองและความคิดผ่านการอธิบายและวิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาของตนเอง” ในงานวิจัยนี้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมวิจัยที่เป็นชุมชนเมียนมาพลัดถิ่นจำนวน 42 คน ประกอบด้วยชาย 22 คน หญิง 19 คน และผู้มีความหลากหลายทางเพศ 1 คน และเจ้าหน้าที่องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรนานาชาติและเจ้าหน้าที่ไทยอีก 8 คน

ถูกสอดส่องและต้องระแวดระวังตลอดเวลา

แม้ว่าการกดปราบข้ามชายแดนจะเป็นคำที่ใหม่สำหรับผู้เข้าร่วมวิจัยแต่พวกเขาสามารถเข้าใจได้โดยไม่ยากเย็นนักเนื่องจากมีประสบการณ์กับภัยคุกคามข้ามชายแดน เช่น สายลับที่ส่งมาโดยรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อรายงานความเคลื่อนไหว ที่อยู่ของผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาบทหารเมียนมาหรือเจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การคุกคามที่รุนแรงขึ้นเช่น การข่มขู่ทางออนไลน์ การจับกุม การผลักดันกลับ และอาจนำไปสู่การบังคับสูญหาย และการลอบสังหาร ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่าพวกเขาไม่รู้สึกปลอดภัยในประเทศไทย แม้ว่าจะปลอดภัยกว่าในประเทศเมียนมาก็ตาม พวกเขายังคงต้องใช้ชีวิตในความหวาดกลัวจากการจับกุมและผลักดันกลับให้เผด็จการทหารเมียนมาหรือกองกำลังป้องกันชายแดน (BGF) โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง

ผู้เข้าร่วมวิจัยคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เท่าที่ฉันเข้าใจนั้นกลยุทธการกดปราบข้ามชายแดนของทหารเมียนมาใช้การส่งหน่วยข่าวกรองผ่านหนังสือเดินทางแบบแรงงานและวีซ่าเพื่ออาศัยในชุมชนพลัดถิ่น โดยทำงานเป็น คนส่งอาหาร คนขับรถ คนขายของ คนทำงานร้านชา และเจ้าของกิจการเป็นต้น คนเหล่านี้ส่งข้อมูลให้ตำรวจไทยเพื่อเข้าจับกุมเป้าหมาย ขู่กรรโชกและผลักดันกลับ ฉันไม่รู้สึกปลอดภัยในแม่สอดเพราะฉันคิดว่าเจ้าหน้าที่เมียนมาสามารถบอกให้เจ้าหน้าที่ไทยจับคนที่เขาต้องการได้”

ผู้กระทำและกลุ่มเป้าหมายของการกดปราบข้ามชายแดน

เมื่อพูดถึงผู้กระทำการกดปราบข้ามชายแดนคนกลุ่มนี้มีทั้งประชาชนไทยและเมียนมา ในกลุ่มของประชาชนไทยได้แก่ทหาร ตำรวจ ตำรวตรวจคนเข้าเมือง ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน กลุ่มของประชาชนเมียนมาได้แก่หน่วยข่าวกรองที่แฝงตัวอยู่ในชุมชนพลัดถิ่นซึ่งอาจมาจากรัฐบาลทหารเมียนมาโดยตรงหรือกองกำลังป้องกันชายแดน (BGF) ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมวิจัยเชื่อว่าหากไม่มีการอนุญาตจากรัฐบาลกลางและท้องถิ่นของไทยบุคลากรความมั่นคงจากเมียนมาจะไม่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่ได้

กลุ่มที่ตกเป็นเป้าหมายมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่ที่แปรพักตร์และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะผู้เข้าร่วมการต่อสู้ทั้งด้วยอาวุธและสันติในเมียนมา การที่ไม่มีกรณีการกดปราบข้ามชายแดนชัดเจนอาจไม่ได้แสดงว่าไม่มีการกดปราบ แต่แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้ต้องควบคุมการใช้ชีวิตของตนให้เป็นความลับและไม่เคลื่อนไหวเพื่อหลบเลี่ยงการกดปราบ

เป้าหมายของการกดปราบนั้นทีม Border Voice สรุปว่าการกดปราบข้ามชายแดนนั้นไม่ได้มีเป้าหมายจะทำอันตรายหรือกำจัดศัตรูของรัฐบาลเมียนมา แต่เป็นสงครามจิตวิทยาเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเงียบและไม่เคลื่อนไหว สามารถสรุปได้ดังนี้


1. เพื่อทำให้เสียงของผู้ต่อต้านเผด็จการทหารเงียบลง

2. เพื่อสร้างความกลัวนำไปสู่การลดการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการทหาร

3. เพื่อโน้มน้าว บังคับ ให้เป้าหมายกลับประเทศเนื่องจากพวกเขาเป็นหลักฐานของความโหดเหี้ยมของเผด็จการทหาร หรืออาจเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านหรือเป้าหมายระดับสูง หรือเพื่อลงโทษและสร้างความกลัวให้ชุมชนพลัดถิ่น

4. เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับข่าวกรองสำหรับสามข้อข้างต้นเมื่อได้รับคำสั่ง

รูปแบบการกดปราบข้ามชายแดน

การกดปราบข้ามชายแดนนั้นมีหลายรูปแบบได้แก่ การกดปราบทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางข้อมูลที่ใช้ทรัพยากรคนน้อยและประหยัดทรัพยากร ส่วนมากมักเป็นการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเฟสบุ๊คและเทเลแกรม ซึ่งการกดปราบเช่นนี้มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การข่มขู่ออนไลน์ การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์ การหลอกลวงและหลอกล่อให้กลับประเทศ การคุกคามออนไลน์ด้วยข่าวปลอม

การคุกคามรูปแบบต่อมาคือการคุกคามโดยใช้ตัวแทน แม้ผู้ลี้ภัยหลายคนสามารถหลบนี้มาได้อย่างปลอดภัยในประเทศไทยแต่ก็ต้องทิ้งครอบครัวของตนไว้ข้างหลัง ซึ่งครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการต่อสู้ กลยุทธนี้ถูกกล่าวถึงเป็นจำนวนมากในกลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัย การคุกคามจะถูกส่งโดยครอบครัว คนใกล้ตัวหรือคนในชุมชน เช่น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ว่าครอบครัวของพวกเขาถูกข่มขู่ คุกคาม สอบปากคำ จับกุม กักขัง ทรมาณ และติดคุกเป็นประจำ โดยมีเป้าหมายเพื่อนเตือนเหยื่อให้ระลึกเสมอว่าหากเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจทำให้เกิดผลร้ายกับครอบครัวของพวกเขา

การสอดส่องก็เป็นอีกเครื่องมือการกดปราบข้ามชายแดนซึ่งมีทั้งการสอดส่องทั้งเชิงกายภาพและออนไลน์ซึ่งอาจนำไปสู่การจับกุม การอุ้มหาย หรือการทำร้ายร่างกาย กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยเชื่อว่าภายหลังโรคระบาด Covid-19 รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาและพันธมิตรได้เพิ่มสายลับเข้ามาสอดส่องชุมชนผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นเนื่องจากช่องทางการข้ามแดนนั้นเปิดกว้างขึ้น

กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมดเชื่อว่ามีการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมาในการสอดแนม จับกุม กักขัง และการผลักดันกลับอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งความเชื่อนี้มาจากความจริงที่กลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมดรับรู้ว่ารัฐบาลไทยและเมียนมามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด อีกทั้งยังมาจากประสบการณ์ความไม่ชอบมาพากลที่ชุมชนพลัดถิ่นได้พบเจอ

จากการกดปราบข้ามชายแดนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชุมชนพลัดถิ่นเมียนมาในพื้นที่แม่สอดอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาต้องอาศัยอยู่ในความกลัวและวิตกกังวลตลอดเวลา บางส่วนต้องอาศัยอย่างหลบซ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการกดปราบ ทำให้หลายคนมีสภาวะซึมเศร้าและมีสภาวะเครียด รู้สึกว่าอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่ต้อนรับ เมื่อต้องอยู่อาศัยอย่างหลบซ่อนแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับสิทธิหรือบริการใด อีกทั้งการเข้าสังคมเช่นการไปงานเกี่ยวกับศาสนา กระบวนการเช่นนี้ยังลดทอนการการต่อสู้ทางประชาธิปไตยของชาวเมียนมาด้วยการทำให้พวกเขาเงียบเสียงลงอีกด้วย

ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย

รายงานนี้มีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลไทยดังนี้
1. รับรู้และยอมรับการมีอยู่ของผู้ลี้ภัยและสิทธิในการลี้ภัย โดยมีนโยบายรับรองที่โปร่งใสตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม
2. ออกแบบและใช้กลไกการคัดกรองที่มีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาสังคมจากประเทศไทย และออกเอกสารระบุตัวตนชั่วคราวที่ยืนยันสิทธิของการอยู่อาศัย การทำงาน การเข้าถึงระบบสาธารณสุข และการศึกษาในประเทศไทย โดยระบบนี้ควรออกแบบให้ผู้ลี้ภัยสมัครได้โดยไม่ต้องมีบุคคลที่สามเช่น นายจ้าง เนื่องจากอาจเปิดช่องให้นายหน้าขูดรีดได้ การย้ายไปประเทศที่สามควรได้รับการจัดการอย่างรวดเร็วสำหรับผู้ต้องการย้ายเพื่อให้ประเทศไทยไม่ต้องรับรองคนจำนวนมากที่มีสถานะผู้ลี้ภัย

3. ประกาศและยืนยันในหลักการการไม่ผลักดันกลับ เพื่อให้ผู้ถูกจับกุมได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายต่อการผลักดันกลับภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

4. เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยและผู้ต่อต้านควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และพรบ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อสร้างความเข้าใจว่าผู้ลี้ภัยไม่ใช่ผู้กระทำผิดและไม่ควรถูกส่งผู้ร้ายข้ามแดน

5. เข้าถึงและสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่สนับสนุนบริการ ให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายต่อผู้ลี้ภัย โดยทำงานร่วมกันองค์กรภาคประชาสังคมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนเพื่อต่อสู้กับการกดปราบข้ามชายแดน

6. สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในเมียนมาและหยุดยั้งการสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนของเผด็จการทหารเมียนมาทั้งทางตรงและทางอ้อม

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มในภาษาเมียนมาและอังกฤษได้ที่:https://friends-without-borders.org/we-dont-feel-safe-ready-for-download/

Burma Concern

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...