“จุดประทีปฝ้ายตีนกา รำลึกหาแม่กาเผือก” พุทธนาฏกรรมและตั้งธัมม์หลวงในค่ำคืนยี่เป็งล้านนา

Date:

เรื่อง: นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง

เวลาเย็นย่ำค่ำคืนของวันที่ 15 พฤศจิกายน(2567) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เสียงประทัดกึกก้องดังมาประปราย และค่อนข้างมีท่าทีคลี่คลายน้อยลงไปกว่าเทศกาลเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนๆ เสียงเพลงบรรเลงจังหวะและท่วมทำนองแจ๊ะๆ ก็ยังเวียนแวะเวี่ยไว้ในโสตประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลง ‘ยายแล่ม’ ของวงคันไถที่ถูกนำมาขับร้องใหม่โดย ลำไย ไหทองคำ สลับสับเปลี่ยนกับเพลงสามพี่น้องไตและแม่รำวงที่ดังข้ามทุ่งมาจากโซนชุมชน คนไทใหญ่ที่ตั้งบ้านเรือนแทรกสลับกับเหล่าเจ้าถิ่นคนเมือง ตะวันลับฟ้าลงเหลี่ยมของสันเขาดอยนางนอนเป็นสัญญาณที่ส่งบอกให้คนในหมู่บ้านเริ่มต้นตั้งขบวนแห่ ‘ไม้แคร่หลวง’ ทยอยเข้าสู่เขตวัดประจำหมู่บ้าน

ผู้เขียนรู้สึกเฉยๆ กับประเพณีงานหรือเทศกาลในหมู่บ้านของตน ซึ่งดูมีบรรยากาศอันถดถอยกร่อยลงมาก ต่างออกไปจากความมีชีวิตชีวา และภาพจำที่มีต่อประเพณีหรือเทศกาลในค่ำคืนนี้เมื่อคราวสมัยช่วงวัยเด็ก เสียงประทัดที่เบาบางและโคมลอยที่จางหายไปจากท้องฟากฟ้าน่าจะเป็นสัญญาณดีที่บอกเราเป็นนัยยะว่า “บ้านเมืองเราคงวัฒนามาถึงอีกจุดหนึ่งแล้ว” นอกเสียจากจะลอยละล่องมาจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่ประปราย ผู้เขียนจึงจับมอเตอร์ไซต์ขี่ออกจากบ้าน ณ ห้วงโมงยามนั้น ใจหนึ่งก็จดจ่อถึงวัดวาอารามที่มีการจัดงาน ‘เทศน์มหาชาติ-เวสสันดร’ ตลอดจนประประดับประดาตกแต่งซุ้มประตูป่า และขัดซุ้มราชวัตรเป็นรูปเขาวงกต ที่ทำจากไม้ไผ่ของวัดในเขตพื้นที่ชุมชนแม่สายอันเป็นถิ่นฐานที่ผู้เขียนพำนักอาศัยในปัจจุบัน ทว่าสิ่งที่พบกลับไม่มีวัดใดมีงานหรือจัดงานตั้งธัมม์หลวงและการเทศมหาชาติเลยแม้แต่วัดเดียว! ทั้งที่ไม่กี่ปีก่อนหน้าประเพณีดังกล่าวยังพอที่จะหาได้ ด้านหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า แม่สายบ้านของผู้เขียนเองอาจเพิ่งพ้าผ่านการประสบอุทกภัยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นได้ แต่นั่นคงไม่อาจพอที่จะเป็นสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลของการอนุรักษ์และสืบทอด ‘จารีตฮีตฮอย’ ของถิ่นบ้านล้านนา เพราะ ‘งานลอยกระทง’ พวกท่านๆ ยังจัดกันได้เลย

ผู้เขียนเคยนำเสนอประเด็นสำคัญในข้อเขียนฉบับก่อนหน้าว่า ทุกความเชื่อ วัฒนธรรมหรือประเพณี มักมี ‘นาฎกรรม’ เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนชูโรง เพื่อสร้างความหนักแน่นเป็นแก่นสารและธำรงการรับใช้ผู้คนและสังคม ดังนั้น ฉากต่างๆ ของนาฏกรรมทางสังคมวัฒนธรรมในงานประเพณียี่เป็งของคนล้านนาในภาคเหนือนั้นจึงเน้นการเล่าเรื่องหรือเรื่องเล่าว่า ‘แม่นางกาเผือก’ ที่มีวัตถุทางวัฒนธรรมอย่าง ‘ฝ้ายตี๋นก๋า’ อันเกิดขึ้นภายใต้บริบททางสังคมวัฒนธรรมซึ่งเกี่ยวโยงกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่อ้างอิงกับ ‘นิทานพระเจ้า 5 พระองค์’ ที่มีการตั้งธัมม์หลวงหรือการเทศน์มหาชาติเป็นโครงสร้างหลักในการเล่าเรื่องราวที่อาศัย ‘วัตถุทางวัฒนธรรม’ ที่เป็นรูปธรรมเป็นสัญญะหรือภาพแทนในการทำหน้าที่สร้างความจำได้หมายรู้ และเน้นย้ำความรับรู้ให้เกิดขึ้นกับผู้คน ข้อเสนอนี้จึงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มของหนทางการสร้างความเข้าใจใหม่ เพื่อให้เกิดคำถามในทางวิชาการเล็กๆ น้อยๆ ภายใต้ประเด็นสำคัญในทางวิชาการใหญ่ๆ มากมายที่มีต่อประเด็นทางสังคมวัฒนธรรมร่วมสมัยในถิ่นบ้านล้านนา ที่สามารถมีที่ทางอย่างเท่าเทียมบนพื้นที่สาธารณะและนโยบายการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น

ข้อเขียนนี้จึงเป็นความตั้งใจการนำเสนอประเด็น ‘การตั้งธัมม์หลวงและการเทศน์มหาชาติ’  ในค่ำคืนยี่เป็ง ซึ่งประเพณีและเทศกาลดังกล่าวนี้มีความสัมพันธ์กับความเชื่อและศรัทธาของผู้คนในสังคมล้านนา ที่มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ รับรู้คุณค่าทางศาสนาที่ถูกเล่าผ่านพิธีกรรม วัตถุธรรมและวัฒนธรรมที่ผู้เขียนอยากยืมแนวคิด ‘รัฐนาฏกรรม’ (Theatrical state) ที่ นิธิ เอียวศรีวงค์ (2560) ได้อ้างอิงงานของ Clifford Geertz เพื่อมาอธิบายระบบสัญลักษณ์ในพิธีกรรมและการแสดงที่เกี่ยวข้องผ่านเรื่องเล่าทางพระพุทธศาสนาซึ่งทำให้เกิด ‘โลกภายนอก’ ที่เราสัมผัสได้ เพื่อมีผลกระทบต่อ ‘โลกภายใน’ ซึ่งเป็นโลกแห่งการรับรู้และรู้สึกของพุทธศาสนิกชนคนล้านนาที่ผู้เขียนอยากเรียกว่า ‘พุทธนาฏกรรม’ (Theatrical Buddha) ข้อเขียนนี้จึงมุ่งหวังให้การเล่าเรื่องหรือเรื่องเล่าในพุทธตำนานและนิทานทางศาสนาในล้านนา ทั้งเวสสันดรชาดกและแม่กาเผือกที่มีประเพณียี่เป็งล้านนาเป็นเสมือนโรงละคร ที่บริบทสังคมวัฒนธรรมพุทธแบบล้านนาสื่อสารบางอย่างให้แก่ ‘คณะศรัทธา-ศาสนิกชน’ นั้นอาจดูเหมือนว่า เป็นเพียงแค่เปลือกหรือกระพี้ หาใช่แกนแกนกลางของธรรมะในสายตาของพุทธเถรวาทแบบสยาม ทว่าในสายตาของผู้เขียนเองกลับมองว่า ทั้งเปลือกและกระพี้ที่มีการถ่ายทอดผ่านนิทานหรือพุทธตำนานท้องถิ่น ซึ่งอาศัยประเพณีหรือพิธีกรรมเป็นโรงละครนี่แหละ ที่เป็นธรรมในระดับโลกียะธรรม ที่สัมพันธ์กับปฏิบัติการในชีวิตประจำวันของผู้คน เพื่อช่วยเป็นการธำรงรักษาและตอกย้ำความหลากหลายของความเชื่อความศรัทธาที่ผู้คนในสังคมร่วมกัน ตลอดจนสร้างสังคมตามอุดมคติที่หล่อหลอมจินตนาการของผู้คนที่นำไปสู่สังคมที่สงบสุขได้   

พุทธนาฏกรรมและตั้งธัมม์หลวงเทศน์มหาชาติในค่ำคืนยี่เป็งล้านนา

การตั้งธัมม์หลวงเทศน์มหาชาติ เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวชาดกในทางพุทธศาสนาเรื่องสำคัญอันชื่อว่า ‘พระเวสสันดรชาดก’ โดยเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาดกดังกล่าวนี้มีความเกี่ยวกับพระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธ โดยกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อครั้งทรงเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ในฐานะพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะกลับชาติมาเกิดอีกเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ ชาวพุทธมีความเชื่อว่า พระชาติของพระเวสสันดรนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีธรรมสูงสุดยิ่งกว่าในพระชาติก่อนๆ กล่าวคือ ทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง 10 ประการ พระชาตินี้จึงได้รับยกย่องว่า ‘เป็นพระชาติที่ยิ่งใหญ่’ เรียกว่า ‘มหาชาติ’ และเมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘มหาชาติ’ ชาวไทยพุทธก็จะเข้าใจว่าหมายถึง ‘มหาเวสสันดรชาดก’

ที่มา: TSS Library

หนังสือชื่อ ‘ประวัติวรรณคดีไทย’ ของ เปลื้อง ณ นคร (2515 : 48) กล่าวถึงคำว่า ‘มหาชาติ’ นี้เป็นชาติใหญ่ ชาติสำคัญ ซึ่งเป็นได้ว่าความหมายของคำว่า ‘ชาติ’ ในอดีตดั้งเดิมนั้นเกี่ยวพันกับการกำเนิด (Born) มากกว่า Nation ด้วยเหตุนี้ มหาเวสสันดรจึงเป็นการกำเนิดอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ก่อนกลับมาเป็นพระพุทธเจ้าผู้ซึ่ง ‘รู้ ตื่น เบิกบาน’ ผ่านการตรัสรู้พระธรรมวิเศษและบรรลุพระปรินิพพานนั่นเอง ฉะนั้นเวสสันดรชาดกเป็นเรื่องราวการบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่ จึงเรียกว่า ‘มหาชาติ’ แปลว่า ‘ชาติใหญ่’ ทางล้านนาเรียกว่า ‘ตั้งธรรมหลวง’ ก็คือ ‘การฟังธรรมที่ยิ่งใหญ่’ และเนื้อเรื่องก็มีความน่าติดตามและมีอรรถรสอันไพเราะ มีคติสอนใจที่เกี่ยวโยงกับการให้ทาน ความสามัคคี การสงเคราะห์ผู้อื่น และการทำตนให้เป็นประโยชน์

การตั้งธรรมหลวงหรือการเทศน์มหาชาติทางล้านนาครั้งยิ่งใหญ่จึงมักจัดให้มีขึ้นในช่วงเทศกาลเดือนยี่เป็งล้านนากำหนดตามปฏิทินสุริยคติ คือประมาณเดือนพฤศจิกายน ในท่ามกลางค่ำคืนของเทศกาลดังกล่าว วัดวาอารามหลายแห่งจึงเป็นแหล่งมหกรรมการเทศน์ใส่ทำนอง คล้ายกับการเทศน์แหล่ของภาคกลาง ทว่าทางล้านนาเรียกกันว่าเป็นการเทศน์ใส่ ‘ระบำ’ เนื่องจากการตั้งธรรมหลวงจะต้องตระเตรียมพิธีหลายประการ เช่น แต่งสถานที่สำหรับเทศน์หรือสถานที่ฟังเทศน์ให้มีบรรยากาศคล้ายกับเรื่องราวในเรื่องเวสสันดรชาดก บางแห่งจัดทำยิ่งใหญ่ มีการสร้างเขาวงกตจำลองในเขตบริเวณพิธีกรรมเรียกว่า ‘ราชวัตร’ ซึ่งจะประดับประดาด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่างๆ มีการจัดแต่งบรรยากาศป่าหิมพานต์ตามจินตนาการ เพื่อสร้างความรู้สึกประหนึ่งว่าผู้เข้าร่วมพิธีเข้าไปสัมผัสบรรยากาศจริง ด้านในจะตั้งธรรมมาสน์สำหรับพระภิกษุผู้เทศน์ไว้ เพื่อให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้บูชาและเข้าฟังเทศน์ การเข้าเขาวงกตนั้นมีความเชื่อว่า ตนเองจะได้ร่วมเหตุการณ์เข้าไปในสถานที่ ซึ่งครั้งหนึ่งพระเวสสันดรโพธิสัตว์เคยประกอบคุณความดีครั้งยิ่งใหญ่ คือ การให้ทานปรมัตถบารมี แม้จะเป็นการสมมุติ ก็เป็นการระลึกในด้านคุณความดีที่จะเป็นแบบอย่างให้มีการทำความดีต่อไป อีกทั้งเป็นการน้อมศรัทธาปสาทของพุทธบริษัทให้เชื่อมั่นในคุณงามความดี โดยเฉพาะการให้ทานและสร้างทานบารมีครั้งยิ่งใหญ่ ที่พระเวสสันดรกระทำไว้ด้วยการบริจาคทานด้วยยศสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ข้าทาสบริวาร บุตรภริยา หรือแม้แต่เลือดเนื้อ ดวงตา และชีวิต เพื่อผลทานอันยิ่งใหญ่ คือการสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ และเผยแผ่ธรรมแห่งการหลุดพ้นนั้นแก่มวลมนุษย์

เนื้อหาของการเทศน์มหาชาติเวสสันดรมีความยาวกำหนดเป็นคาถา 1,000 คาถา จึงนิยมเรียกว่า ‘คาถาพัน’ แต่ในส่วนวรรณคดีเรื่องมหาชาตินี้ได้รับอิทธิพลจากอรรถกถาชาดก ซึ่งแต่งขึ้นภายหลังเพื่อขยายเนื้อความให้พิสดารมากขึ้น มี 13 กัณฑ์ คือ กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์วนประเวศน์ กัณฑ์ชูชก กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มหาพน กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักบรรพ กัณฑ์มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย์ กัณฑ์นครกัณฑ์ 

ทางล้านนาหรือภาคเหนือของไทยมีความเชื่อกันว่า การตั้งธรรมหรือฟังเทศน์มหาชาติเกิดจากคัมภีร์ทางศาสนาเรียกว่า ‘มาลัยสูตร’ ซึ่งมีเรื่องราวกล่าวถึงครั้งพระมาลัยเถรเจ้า พระภิกษุที่ชาวล้านนาเชื่อว่า เป็นผู้มีทรงคุณอันวิเศษสามารถท่องไปในแดนสวรรค์และนรกได้ มาลัยสูตรฉบับล้านนาแบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ‘ปฐมมาลัย’ และ ‘ทุติยมาลัย’ แต่ชาวล้านนานิยมเรียกว่า ‘มาลัยต้น’ และ ‘มาลัยปลาย’

ปฐมมาลัยและทุติยมาลัยนั้นมีเนื้อหาที่กล่าวถึงพระมาลัยเถรเจ้าไปไหว้พระเกตุแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และได้สนทนากับพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ตามคัมภีร์กล่าวถึงพระมาลัยเถรเจ้านั่งอยู่เหนือแท่นหินกำพลศิลาอาสน์ อันเป็นทิพย์อาสน์แห่งพระอินทร์ ใต้ต้นปริฉัตต์หรือไม้ทองหลางทิพย์ ล้านนาเรียกว่า ‘ดอกกาสะลอง’ มีสีขาวกลิ่นหอมเบ่งบานเต็มต้น ฉะนั้นเวลามีการเทศน์มหาชาติ ชาวล้านนาจึงนิยมนำดอกบัวและกาสะลองมาปักบูชาไว้รอบธรรมาสน์ หรือนำดอกกาสะลองมาตากแห้งแล้วใส่หีบไม้ไผ่สานขัดแตะเป็นรูปสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร แขวนบูชารอบธรรมาสน์ หลังจากพระมาลัยเถรเจ้ากลับมาจากสวรรค์ ก็ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าให้คนทั้งหลายฟัง คนทั้งหลายที่อยากเกิดร่วมศาสนาพระศรีอาริย์จึงได้พากันฟังเทศน์มหาชาติหรือตั้งธรรมหลวงสืบมา

ที่มา: TU Digital Collections

วรรณคดีเรื่องมหาชาติฉบับภาษาบาลีเข้ามาเผยแพร่ในล้านนาเป็นครั้งแรกเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏชัด เรื่องราวของพระเวสสันดรมีกล่าวถึงอย่างย่อๆ ในชินกาลมาลีปกรณ์แต่งโดยพระรัตนปัญญาเถระ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นประมาณ พ.ศ. 2060 และจากการสำรวจนิทานในปัญญาสชาดก พบว่า หลายตอนในวรรณคดีนิทานของล้านนาชิ้นนี้ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีมหาชาติ ในด้านแนวความคิดและโครงเรื่องเท่าที่มีการค้นพบในขณะนี้ วรรณคดีมหาชาติของล้านนามีกว่า 122 สำนวน แต่งขึ้นหลายยุคสมัย มีมากมายหลายสำนวน แต่เนื้อความและสำนวนโวหารจะไม่แตกต่างกันทั้งหมด โดย ประคอง นิมมานเหมินทร์ พบว่า กัณฑ์ที่มีผู้นิยมเพิ่มเติมและแก้ไขสำนวนโวหารมากที่สุด ได้แก่ กัณฑ์ชูชกกัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี กัณฑ์มหาราช และกัณฑ์นครกัณฑ์ ซึ่งกัณฑ์ชูชกและกัณฑ์มหาราชนั้นมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับชูชก เวลาเทศน์ต้องการความสนุกสนานตลกคะนอง จึงเพิ่มความและใช้ภาษาเพื่อให้ถึงอกถึงใจผู้ฟังยิ่งขึ้น ส่วนกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี จุดสำคัญอยู่ที่การเร้าอารมณ์ให้เศร้าสลดคล้อยตามตัวละคร และนครกัณฑ์ก็มีฉากที่บรรยายให้สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นตอนที่หกกษัตริย์เสด็จเข้าสู่นคร (ประคอง นิมมานเหมินทร์,2526 : 6-7) ขณะที่สำนวนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมใช้เทศน์ ได้แก่ สำนวน “ไม้ไผ่แจ้เรียวแดง” “อินทร์ลงเหลา” “พระยาพื้น” รวมทั้งยังมีสำนวนที่ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยภาคกลางแล้ว ได้แก่ สำนวน “สร้อยสังกร” (เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะสะดวกแก่พระสงฆ์ที่อ่านอักษรพื้นเมืองไม่ได้) นอกจากจะมีการแต่งเวสสันดรเป็นฉบับต่างๆ แล้ว การเทศน์มหาชาติยังมีการเทศน์ธรรมที่ไม่เหมือนการเทศน์แบบปกติทั่วไปที่เรียกว่า  ‘ทำนองธรรมวัตร’ ส่วนเทศน์มหาชาติจะมีอีกทำนองหนึ่ง ไม่เรียกว่าทำนอง แต่จะเรียกว่า ‘ระบำ’ ชื่อเรียกระบำนี้จะใช้ชื่อบ้านนามเมืองหรือลักษณะเรียกตามลักษณะของระบำ และเป็นที่นิยมเฉพาะในท้องถิ่นนั้นๆ เพราะแต่ละท้องถิ่นจะนิยมระบำไม่เหมือนกัน เช่น ‘ระบำเมืองเชียงแสน’ ทางเชียงรายนิยม ‘ระบำมะนาวล่องของ’ คือ มีลีลาคล้ายกับลูกมะนาวที่ไหวเอื่อยไปตามลำน้ำของ (แม่น้ำโขง) มีจังหวะช้า เสียงทุ้ม ต่ำๆ สูงๆ เหมือนมะนาวที่ลอยน้ำ บางครั้งโดนคลื่นผลักสูงหรือบางครั้งจมลงไปใต้น้ำ ระบำประจำเมืองลำพูน – เชียงใหม่ คือ ‘ระบำน้ำตกตาด’ และ ‘ระบำพร้าวไกว๋ใบ’ มีลักษณะเหมือนน้ำฝนตกจากชายคา หยดลงมาเป็นระยะ ถี่ห่างเสมอกัน หรือจะเทียบกับการเคาะไม้เป็นจังหวะก็ได้ ส่วนระบำพร้าวไกว๋ใบ มีอาการดุจใบมะพร้าวเวลาต้องลม แกว่งเอนไปมาช้าๆ ฉะนั้นนักเทศน์จึงนิยมเทศน์เมื่อบรรยายความและฉากตื่นเต้นเร้าใจด้วยระบำน้ำตกตาด และเทศน์ฉากโศก สลด รำพัน ด้วยระบำพร้าวไกว๋ใบ ระบำประจำเมืองลำปาง คือ ‘ระบำแมลงภู่จมดวง’ มีลีลาราวกับแมลงภู่ชมเกสรดอกไม้ คือการเทศน์พุ่งตรงไปหาอักษรตัวต่อไป เป็นจังหวะเหมือนแมลงภู่ที่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้นั้นไปดอกนั้นๆ เรื่อยไปพร้อมมีการเล่นลิ้นอย่างน่าฟังมาก ระบำประจำเมืองแพร่ คือ ‘ระบำนกเขาเหิน’ มีลีลาคล้ายกับนกเขาบินไปช้าๆ แล้วเหินตัวขึ้นบนอากาศ เวลาเทศน์ไปช้าๆ แล้วพุ่งเสียงขึ้นสูงเหมือนนกเขาเหินไม่มีผิด ระบำประจำเมืองน่าน ได้แก่ ‘ระบำช้างข้ามทุ่ง’ ลีลาช้าเนิบนาบชัดถ้อยชัดคำเหมือนจังหวะเดินของช้าง คือสม่ำเสมอ ลีลาเหล่านี้เป็นระบำประจำเมืองแต่ปัจจุบันจะมีการผสมกลมกลืนกันระหว่างระบำต่างๆ ที่ไพเราะ เช่น เทศน์ระบำมะนาวล่องของ อาจจะมีพร้าวไกว๋ใบ น้ำตกตาด หรือนกเขาเหินแทรกเป็นบางตอน

ประเพณีเดือนยี่ทางล้านนา ถือเป็นฤดูกาลแห่งงานรื่นเริงสนุกสนาน ดังนั้นในช่วงเวลาท้ายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาวชาวบ้านจะว่างเว้นจากทำงานในไร่นา เนื่องจากได้เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว และถือโอกาสนี้ถวายผลิตผลของตนแก่พระภิกษุสงฆ์และบำรุงพระพุทธศาสนา ประเพณีเดือนยี่จึงเป็นที่เชื่อมรวมของประเพณีสำคัญหลายอย่างในล้านนา เมื่อทางวัดกำหนดวันเวลาที่จะจัดเทศน์ตั้งธรรมมหาชาติขึ้น ก็จะประชุมศรัทธาชาวบ้าน เพื่อบอกให้ศรัทธาชาวบ้านทราบว่าผู้ใดจะรับเอากัณฑ์เทศน์ใด ซึ่งมี 13 กัณฑ์ เรียก ‘จบหนึ่ง’ หรือ ‘กัปหนึ่ง’ พร้อมธรรมพิเศษอีก 8 กัณฑ์คือ ‘คาถาพัน’ ‘ปฐมมาลัยเก๊า’ ‘ทุติยมาลัยปลาย’ ‘อานิสงส์เวสสันดร’ ‘อานิสงส์ผะตี๊ด’ ‘พุทธาภิเษก’ ‘ธรรมจักร’ และ ‘ปฐมสมโพธิ’ เรียกว่า ‘ตกธรรม’ พอตกธรรมทั้งศรัทธาและพระเทศน์เสร็จแล้วก็จะมีการจัดสถานที่ โดยจะมีการขัดราชวัตร ประดับฉัตรธง ช่อน้อย ตุงไชย และรูปสัตว์บูชา ‘ช้างร้อย’ ‘ม้าร้อย’ เพื่อเอาไว้ไถ่สองพระกุมาร ตอนเทศน์กัณฑ์มหาราช รอบๆ ธรรมาสน์บุษบกปราสาท ก็จัดให้คล้ายกับป่าเขาวงกต ฝังต้นกล้วย ต้นอ้อย กุ๊ก ข่า แขวนโคมไฟ รูปต่างๆ จัดที่ตั้งกัณฑ์เทศน์ และที่ตั้งเครื่องบูชาคาถา พระเวสสันดรประจำกัณฑ์ต่างๆ ซึ่งรวมกันมีถึงพันคาถา บางทีมีเครื่องสืบชะตาก็มีการตั้งบาตรน้ำมนต์วงด้ายสายสิญจน์เรียกว่า ‘ฝ้ายมงคล’ และมีเครื่องบูชาเฉพาะอีกคือ ข้าวตอกเต็มเกวียน เทียนเล่มหมื่น ผะตี๊ดพันผาง ดอกพันดวง ช่อพันผืน ข้าวพันก้อนครั้นตกแต่งเครื่องบูชา จัดสถานที่เสร็จ เมื่อถึงวันนัดหมาย รุ่งเช้าของวันที่จะเทศน์มหาชาติก็จะเริ่มเทศน์กัณฑ์อื่นๆ ก่อนเวลาประมาณ 5 โมงเย็น จะมีการตีกลองส่งสัญญาณเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นการเตือนศรัทธาโดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วมีการพิธี ‘ขึ้นท้าวทั้งสี่’ พอศรัทธาชาวบ้านมาพร้อมกันก็จะมีพิธีไหว้พระรับศีลเริ่มเทศน์กัณฑ์ ‘ทศพร’ เรียกตามสำเนียงท้องถิ่นว่า ‘ตัสสะปอน’ ‘หิมมะปานต์ตานะขัณฑ์’ เทศน์กัณฑ์นี้เป็นเวลารับประทานอาหารเช้า ทั้งศรัทธาเจ้าของกัณฑ์และพระภิกษุผู้เทศน์ก็ยังไม่ได้รับประทานและฉันอาหาร จึงเรียกกัณฑ์นี้ว่า ‘ตานะขัณฑ์กั้นข้าว’ แล้วต่อด้วยกัณฑ์ ‘วนะประเวศ’ ‘ชูชก’ ซึ่งเรียกอีกอย่างตามสำเนียงว่า ‘ตุ๊จก’ เป็นกัณฑ์ตลกขบขัน ตอนบ่ายก็เทศน์ ‘จุลลพน’ ‘มหาพน’ กัณฑ์นี้ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเรื่องพรรณนาธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ใบไม้ นกกา พระยาพรหมโวหาร กวีล้านนาได้แต่งกัณฑ์มหาพนฉบับใหม่เรียกว่า ‘มหาพนตำรายา’ กล่าวถึงสรรพคุณของสมุนไพรของต้นไม้นั้นๆ ว่า ราก ใบ หัว กิ่ง ลูก เปลือก ใช้ทำยารักษาโรคใด นับว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์เกิดภูมิปัญญาตอนยอดได้อย่างน่าสรรเสริญ ผู้ฟังก็เกิดความชอบใจและเกิดความรู้ไปด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นกัณฑ์ ‘กุมาร’ เรียกว่า ‘กุมารบรรพ์’ เป็นเวลาใกล้ค่ำ ผู้เทศน์เสียงดี ฉากนี้จะกล่าวถึงสองกุมารคือ กัณหาและชาลี อำลาป่าไม้แสดงการปริเวทนาคร่ำครวญถึงพระนางมัทรี พอจบก็พลบค่ำพอดี บ้านเรือน ครั้นช่วงเวลากลางคืนก็จะเทศน์ ‘มัทรีสักกบรรพ์’ ‘มหาราช’ ‘ฉกษัตริย์’ เรียกตามภาษาเหนือว่า ‘สักกติ’ แล้วต่อด้วยกัณฑ์ ‘นคร’ เป็นฉากที่แสดงความสงบสุขร่มเย็นเพราะเวสสันดรกลับมาเสวยเมืองดังเดิม 

ที่มา: สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ Institute Of Thai Studies, Chulalongkorn university

ในค่ำคืนเดือนยี่เป็นการเทศน์ ‘อานิสงส์ผะตี๊ด’ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญของพิธีกรรมในค่ำคืนดังกล่าวที่ต่างมีเรื่องราวสัมพันธ์กับพระเจ้า 5 พระองค์แบบแม่กาเผือกอันนำมาสู่ความเชื่อและวิถีปฏิบัติเกี่ยวกับการจุดผางปะตี๊ปตี๋นก๋า ปูจาแม่ก๋าเผือกซึ่งสืบทอดชื่อเทศกาลมาจากตำนานของพระพุทธศาสนาจากตำนานพระเจ้า 5 พระองค์ ที่แพร่หลายและเป็นที่รับรู้ในสังคมล้านนา ทั้งนี้ หนังสือธัมม์ใบลาน เรื่อง มูลผะติ้ดตีนกา (กาเผือก) ฉบับวัดดงนั่งคีรีชัย อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง กล่าวว่า กาเผือกเป็นธรรมชาดกล้านนา เป็นมูลกำเนิดของพระพุทธเจ้าในภัททกัป ซึ่งเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกมากที่สุด จำนวน 5 พระองค์ คือ กกุสันธพุทธเจ้า โกนาคมนพุทธเจ้า กัสสปพุทธเจ้า โคตมพุทธเจ้า และอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ซึ่งล้วนเคยมีอดีตชาติเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันเมื่อคราวที่เคยเสวยพระชาติเป็นลูกกำพร้าของแม่กาเผือก (อนุชา พิมศักดิ์, 2550) ดังความในนิทานดังนี้

ในอดีตกาลข้ามล่วงพ้นไปนานแล้ว ยังมีแม่กาเผือกทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้มะเดื่อริมฝั่ง แม่น้ำคงคา นางได้ให้กำเนิดลูก (ไข่) จำนวน 5 ฟอง เลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี ไม่ยอมออกจากรังไปหากิน วันหนึ่งความหิวได้ครอบงำ ทำให้นางกาเผือกต้องทิ้งลูกไว้ในรัง นางบินไปหาเหยื่อกินเป็นอาหารในที่ไกล วันที่นางบินออกไปหากินทิ้งลูกน้อยไว้ในรัง เกิดฝนตกหนักและลมพายุพัดรุนแรง ทำให้รังของนางถูกลมพัดตกลงไปในแม่น้ำพร้อมทั้งลูกทั้ง 5 เมื่อลมพายุและฝนสงบลงแล้ว นางบินกลับมาที่รัง ไม่พบลูกน้อย ได้บินเที่ยวหาลูกน้อยทั้ง 5 บินไปตามลำดับแม่น้ำคงคา ตามหุบเหว หุบเขา และในน้ำก็ไม่พบลูก นางเศร้าโศกเสียใจ หมดแรงที่จะบินเสาะหาลูกน้อย  จึงขาดใจตาย และได้ไปเกิดเป็นพรหม ชั้นสุทธาวาส ปรากฏชื่อว่า ‘ฆติกาพรหม’ ส่วนลูก (ไข่) ทั้ง 5 หลังจากที่ลมพัดรังตกลงไปในแม่น้ำคงคาแล้ว ไข่ฟองที่ 1 ถูกน้ำพัดลอยไปค้างที่ดอนทราย แม่ไก่เผือกนำไปเลี้ยงดู ไข่ฟองที่ 2 ถูกน้ำพัด ลอยไปค้างที่ดอนทราย แม่วัวนำไปเลี้ยงดู ไข่ฟองที่ 3 ถูกน้ำพัดไปลอยค้างที่ดอนทราย แม่เต่านำไปเลี้ยงดู ไข่ฟองที่ 4 ถูกน้ำพัดลอยไปค้างที่ดอนทราย หญิงซักผ้านำไปเลี้ยงดู ไข่ฟองที่ 5 ถูกน้ำพัดลอยไปค้างที่ดอนทราย แม่งูใหญ่ (นาค) นำไปเลี้ยงดู 

หลังจากไข่ทั้ง 5 มีผู้นำไปเลี้ยงดูไม่นาน ก็แตกออกเป็นทารกเพศชาย ครั้นเจริญเติบโตอายุได้ 16 ปี ได้ขออนุญาตแม่ออกบวชเป็นฤาษี เพื่อสร้างบารมีให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตจักได้นำสัตว์โลกข้ามห้วงโอฆะวัฏฏะสงสาร แม่เลี้ยงทั้ง 5 อนุญาตให้ออกบวช แต่ขอให้ลูกทุกคนถือคำสัตย์ปฏิญาณว่า หากลูกทั้ง 5 ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอให้ ‘ชื่อและนามโคตร’ แห่งแม่จงเป็นชื่อและโคตรของลูกทุกคนที่แม่ได้เลี้ยงดูมา ดังนั้นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ในภัทรกัปนี้ จึงมีชื่อของแม่เลี้ยงเป็นพระนามและโคตรของพระพุทธเจ้า คือ

1) กกุกสันธพุทธเจ้า นามแม่ไก่เผือก

2) โกนาคมนพุทธเจ้า นามงูใหญ่ (นาค)

3) กัสสปพุทธเจ้า นามแม่เต่า

4) โคตมพุทธเจ้า นามแม่วัว

5) อาริยเมตไตรยพุทธเจ้า นามหญิงซักผ้า

หลังจากฤาษีทั้ง 5 ออกบวชบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า วันหนึ่งฤาษีทั้ง 5 ได้พบกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง จึงสอบถามถึงชื่อและโคตร วัน เดือน ปี และสถานที่เกิด ฤาษีทั้ง 5 เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ตนเองได้รับฟังจากแม่เลี้ยง (แม่ผู้อุปการะเลี้ยงดู) ว่า ตนเองเกิดจากไข่แม่กาเผือก ฤาษีทั้ง 5 รู้ว่าทุกคนเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันของแม่กาเผือก จึงทำการคารวะเคารพซึ่งกันและกัน โดยคนที่เกิดทางเหนือน้ำเป็นพี่ชายคนโต และคนที่เกิดท้ายน้ำเป็นน้องชายคนเล็ก ทั้ง 5 ปรึกษากันว่า พวกเราเป็นลูกกำพร้า ไม่เคยเห็นหน้ามารดาแม่กาเผือก เลยพากันตั้งจิตอธิษฐานขอให้แม่กาเผือกมาปรากฏต่อหน้า ด้วยแรงจิตอธิษฐานและความผูกพันเป็นแม่ลูกในอดีตชาติ ฆติกาพรหมจึงเนรมิตกายเป็นกาเผือกตัวใหญ่มีขนสีขาวทั้งตัว บินมาจากสวรรค์ชั้นสุทธาวาส ปรากฏต่อหน้าฤาษีทั้ง 5 พี่น้อง และให้โอวาทคำสอนแก่ลูกทั้ง 5 นางจากนั้น ฤาษีทั้ง 5 พี่น้องก็ขอเอารอยเท้าของแม่กาเผือกไว้เป็นที่กราบไหว้บูชา ฆติกาพรหมจึงนำเส้นฝ้ายมาฟั่นเป็นเกลียว 3 ขา ให้เสมอกันเสมือนรอยตีนกา ให้ฤาษีทั้ง 5 นำไปใส่ไว้ในถ้วยน้ำมันทำเป็นไส้ประทีปจุดไฟ เพื่อบูชาแม่กาเผือกจวบจนกระทั่งลูกทั้ง 5 ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้ต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือกในวันเพ็ญ เดือนยี่ (เหนือ) หรือยี่เป็งมาจนถึงปัจจุบัน

จะเห็นได้ว่า ความเชื่อพระเจ้า 5 พระองค์ โดยผ่านวัฒนธรรมประเพณีนั้น เป็นการผูกเรื่องราวที่เชื่อมโยงจากวรรณกรรมแบบแม่กาเผือกไปสู่ประเพณีในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ การจุดประทีปตีนกาเพื่อบูชาแม่กาเผือกของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นประเพณีที่เชื่อมโยงคุณธรรมในเรื่องของความกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณอีกด้วย (อนุชา พิมศักดิ์, 2550)

คราวนี้ เราย้อนกลับมาต่อประเด็นที่เมื่อมาการจุดบูชาประทีปตีกา ภายหลังการเทศน์มหาชาติจบทั้ง 13 กัณฑ์แล้ว ชุมชนล้านนาในอดีตทั้งบ้านและวัดจะจุดเทียน จุดประทีปโคม ไฟสว่างไสวทุกตรอกซอกซอย ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเหตุการณ์บริเวณการจัดงานเทศน์ที่เมื่อถึงกัณฑ์นคร เมื่อถึงฉากฝนห่าแก้ว 7 ประการ ตกลง เพื่ออุดหนุนบารมีในการตั้งความปรารถนาโพธิสมภารของพระเวสสันดร พอพระเทศน์ถึงฉากนี้ ศรัทธาประชาชนจะโปรยข้าวตอกดอกไม้ และเหรียญเงินบาทหรือสลึงเต็มทั่ววิหารฝูงชน และเด็กจะพากันแย่งนำเงินนี้ไปเป็นขวัญถุง เรียกว่า ‘เงินฝนห่าแก้ว’ ทำให้เกิดความชุ่มเย็น พอเทศน์กัณฑ์นครนี้เสร็จจะเป็นเวลาใกล้รุ่งเช้า จึงเรียกกัณฑ์นี้อีกอย่างว่า ‘นครข้อนแจ้ง’ จะเห็นได้ว่า เป็นการแสดงละครโรงใหญ่ ด้วยการเทศน์มหาชาตินั้นจะมีทั้งการขับร้องที่ไพเราะ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการในการฟัง การสมมติเหตุการณ์ทั้งสถานที่และเรื่องราว และการเข้ามามีส่วนร่วมของศรัทธาประชาชนผู้รับฟัง นอกจากผู้ฟังจะได้รับความบันเทิงและดื่มด่ำซาบซึ้งกับเรื่องราวแล้ว ยังสืบโยงไปสู่บุญบารมีจากการรับฟังและการเข้าร่วมพิธีกรรมนั้นด้วย

ทิ้งท้ายแต่คงมิใช่ท้ายสุด

แม้จุดมุ่งหมายของการตั้งธรรมหลวง มีนัยสำคัญเกี่ยวข้องทั้งพระสงฆ์และชาวบ้านในชุมชน ในส่วนพระสงฆ์ คือการรวบรวมคัมภีร์ธรรมต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่ การเจียนคัมภีร์ธรรมที่เป็นวิทยาการเพิ่มเติมให้มากขึ้น การฝึกหัดพระภิกษุสามเณร ให้ความรู้ด้านการอ่านคัมภีร์ให้คล่องแคล่วขึ้น การบำรุงพระภิกษุสามเณรในด้านจตุปัจจัย ส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาหลายประการ เช่น การทำโคมไฟ และทำดวงประทีป การทำตุง และการตัดช่อ เป็นต้น เกิดการประสานสามัคคีกันระหว่างวัดกับชาวบ้านมากขึ้น ส่วนสำหรับชาวบ้านนั้นท้องถิ่น ทำให้เกิดความสามัคคีภายในชุมชน การเรียนรู้เกี่ยวกับจารีตประเพณี การเรียนรู้หลักธรรมทางศาสนาโดยสื่อผ่านเรื่องพระเวสสันดร และทำให้มีโอกาสได้ฟังคีตกวีสำเนียงเสียงขับร้องอันไพเราะ งานตั้งธรรมหลวงจึงเป็นงานที่ถือว่ามีความสำคัญต่อชุมชน เพราะประเพณีดังกล่าวสอดแทรกวัฒนธรรมพื้นบ้านและคติคำสอนไว้หลายสิ่งหลายประการ ซึ่งยากยิ่งที่จะหาประเพณีวัฒนธรรมใดที่สอดประสานวัฒนธรรมพื้นบ้านไว้ได้อย่างมากมาย เช่น การตั้งธรรมหลวง

ดังนั้น ถ้าพิจารณาบทบาทของการตั้งธรรมหลวง จะมีบทบาทสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ บทบาทในการแสดงธรรมสั่งสอนพุทธบริษัท หรือบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และบทบาทในการให้ความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะการเทศน์มหาชาติในงานศพหรืองานฉลองต่างๆ ปกติในงานเช่นนี้มักมีการเทศน์มหาชาติกัณฑ์ที่สนุกเพลิดเพลิน ได้แก่ กัณฑ์ชูชกกุมารและมัทรี การเทศน์กัณฑ์ชูชกมักมุ่งความตลกคะนอง การเทศน์กัณฑ์กุมารและมัทรี ก็เน้นความซาบซึ้งในรสวรรณคดีและน้ำเสียงโอดครวญเศร้าสร้อยของพระผู้เทศน์ พระที่เทศน์เก่งๆ จะมีน้ำเสียงแหลมเล็ก สามารถเอื้อนเสียงโอดครวญได้อย่างจับใจ คร่ำครวญให้คนฟังเกิดอารมณ์ร่วมไปกับกัณหาชาลี และพระนางมัทรีเป็นการเปลี่ยนความสนใจของผู้ฟังแทนที่จะอาลัยเศร้าโศกในผู้ตายมากเกินไป ให้หันมาเพลิดเพลินซาบซึ้งกับเรื่องราวและรสของวรรณคดีมหาชาติแทน (ประคอง นิมมานเหมินทร์, 2526 : 4-5)

นอกจากนี้ การฟังเทศน์มหาชาติตามวัดวาอารมในล้านนาในสมัยอดีตนั้นคงมีการเทศน์มหาชาติทุกวัด เพราะความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนา ประกอบกับเนื้อหาของเวสสันดรชาดกมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดอรรถรสกินใจและสะเทือนอารมณ์ เนื้อเรื่องมีครบทุกรส การจัดเทศน์มหาชาติแต่ละครั้ง ผู้จัดจะตกแต่งสถานที่งดงามซึ่งจะดึงดูดความสนใจใคร่มาเห็น พระนักเทศน์ก็คัดแต่พระเสียงดี แต่การเทศน์มหาชาติก็ตกอยู่สภาพความไม่แน่นอน ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง แต่พอถึงยุคหนึ่งกลับซบเซาเลือนหาย ถึงจะมีการจัดเทศน์มหาชาติก็ทำกันในวงแคบ ในชุมชนของตนเอง เป็นการจัดสร้างรักษาประเพณีเท่านั้น แน่นอนว่าอดีตที่ผ่านมา ดินแดนล้านนาเคยมีอิสระปกครองตนเอง แต่เมื่อล้านนาถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสยาม วัฒนธรรมล้านนาที่เคยรุ่งเรืองกลับอยู่ในสภาพตกต่ำ กิจกรรมทางศาสนาที่เคยปฏิบัติกันมากลับถูกลดบทบาท เช่น ภาษาล้านนาที่เคยใช้สื่อสารระหว่างกันและกัน กลับถูกห้ามเรียนห้ามสอน พระสงฆ์ที่เคยอ่านเขียนภาษาล้านนาก็ไม่สามารถอ่านได้ เมื่อพระสงฆ์อ่านภาษาล้านนาไม่ได้ก็กระทบถึงการเทศน์มหาชาติ ซึ่งต้องใช้ภาษาล้านนา

พอว่ามาถึงประเด็นนี้แล้วก็ได้แต่เก็บไว้ในในอกในใจแล้วคิดหาอะไรต่อมิอะไรทำต่อไปดีว่า..

อ้างอิง

  • นิธิ เอียวศรีวงศ์ . (2555). “รัฐนาฏกรรมอีกที,” มติชนสุดสัปดาห์ (10-16 สิงหาคม): 30.  
  • ประคอง นิมมานเหมินทร์. (2526). มหาชาติลานนา : การศึกษาในฐานะที่เป็นวรรณคดีท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
  • เปลื้อง ณ นคร. (2515). ประวัติวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
  • อนุชา พิมศักดิ์. (2550). ตำนานพระเจ้าห้าพระองค์ : โครงสร้างเนื้อหาและบทบาทในสังคมไทย.กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ภาพปก สวท.เชียงใหม่

ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...