วันที่หายไปในปฏิทิน 19 พฤศจิกายน 2517 ครบรอบ 50 ปี สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย

Date:

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

19 พฤศจิกายน 2517 ครบรอบ 50 ปีที่กลุ่มชาวนาได้ก่อตั้ง “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.)” ขึ้น พร้อมคำขวัญ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ” เพื่อต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวนาไทย รวมถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ร่วมกับนิสิตนักศึกษา ปัญญาชน และกรรมกร หรือที่เรียกกันว่า “ขบวนการสามประสาน”

ย้อนกลับไปในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การต่อสู้ของกลุ่มนักศึกษาที่ดุเดือดและชัยชนะของประชาชนในครั้งนั้น ส่งผลกระทบให้กับชนชั้นชาวนา ที่ ณ ตอนนั้นถือเป็นจำนวนร่วม 80% ของประชากร กำลังได้รับความยากลำบากจากการ “ไม่มีที่นาทำกิน” เพราะถูกเจ้าที่ดินและนายทุนเงินกู้ขูดรีดและฉ้อโกงเอาไป ได้มีความหวังแก่ชัยชนะของพวกเขาขึ้นมาบ้าง จนเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เรียกร้องของกลุ่มคนที่เป็น “สันหลังของชาติ” ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงในแง่นี้เอง ศาสตราจารย์ ดร.ไทเรลล์ ฮาเบอร์คอร์น (Tyrell Haberkorn) อาจารย์ภาควิชาภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวนาชาวไร่ในประเทศไทย ระบุว่า ความสำคัญอย่างหนึ่งของขบวนการชาวนาชาวไร่นี้คือ “วัฒนธรรมการเมือง” เนื่องจากทำให้ชาวนาชาวไร่มีสิทธิมีเสียงขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านั้นถูกทำให้ไม่มีเสียง เพื่อได้ความเป็นธรรมในชีวิตของตนเอง การได้ใช้กฎหมายนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงสำหรับชาวนาชาวไร่มหาศาลและทำให้ผู้มีอำนาจรู้สึกกลัวขึ้นมา

การชุมนุมในกรุงเทพฯ ของกลุ่มชาวนาเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงเดือนมีนาคม 2517 เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีในตอนนั้นอย่าง สัญญา ธรรมศักดิ์ จัดการให้ชาวนาขายข้าวได้ในตลาดโลก ให้ประกันราคาข้าวแก่ชาวนา ควบคุมการส่งออก ลดค่าพรีเมียมข้าว ควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและปุ๋ยให้ถูกลง และอัตราค่าเช่านาที่ว่ากันว่ามีนัยสำคัญมากที่สุดที่ส่งผลให้ชาวนารวมตัวกันเพื่อให้เกิดการแก้ไข

ภาพจากบันทึก 6 ตุลาฯ การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของกรรมกร ชาวนา และประชาชนกลุ่มต่างๆ https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2/2-2

แต่ท้ายที่สุด ข้อเรียกร้องต่างๆ ของชาวนาก็ไม่ถูกทำให้เกิดขึ้น และแม้รัฐบาลจะประกาศใช้มาตรา 17 ช่วยเหลือชาวนา และตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามคำร้องขอต่อความเป็นธรรมในเรื่องหนี้สิน (ก.ส.ส.) แต่ที่สุดก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้ การรวมตัวชุมนุมในกรุงเทพฯ ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเดือนพฤษภาคม เดือนมิถุนายน และเดือนสิงหาคมที่มีความดุเดือดมากที่สุด

9 สิงหาคม 2517 กลุ่มชาวนาจากหลายจังหวัดเข้ามารวมตัวจัดการชุมนุมอีกครั้งในกรุงเทพฯ พร้อมประกาศว่านี่จะ “เป็นครั้งสุดท้าย” ของการชุมนุมของพวกเขา มิเช่นนั้น พวกเขาจะทำการคืนบัตรประชาชน ลาออกจากการเป็นคนไทย และประกาศตั้งเขตปลดปล่อยตนเองโดยไม่ให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และแม้ว่าการกระทำตามที่ประกาศจะทำให้มีความผิดฐานกบฏ ถึงอย่างนั้นตัวแทนชาวนาจาก 8 จังหวัดก็รวบรวมบัตรประชาชนได้กว่า 2,000 ใบในช่วงเดือนกันยายน

และเพื่อให้การรวมตัวดูทรงพลัง 19 พฤศจิกายน 2517 กลุ่มชาวนาได้ก่อตั้ง “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.)” ขึ้น พร้อมคำขวัญ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ” โดยมี “ใช่ วังตะกู” ชาวนาจากจังหวัดพิษณุโลกเป็นประธานคนแรก นำไปสู่การต่อสู้ร่วมกันกับนิสิตนักศึกษา ปัญญาชน และกรรมกร ในนาม “ขบวนการสามประสาน” 

ในวันเดียวกัน ที่จังหวัดเชียงใหม่ก็มีการชุมนุมประท้วงซึ่งมีชาวนามาร่วมกันประมาณ 2000 คนที่ศาลากลางจังหวัดหวัด อีกสามวันต่อมาคือวันที่ 22 พฤศจิกายน 2517 ชาวนาหลายพันคนจากหลายอำเภอพากันเข้ามาที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยรถบรรทุกและรสบัส ชาวนากว่า 3000 คนชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดและประกาศปักหลักจนกว่ารัฐบาลจะตอบกลับข้อเรียกร้อง (ไทเรล, 2546, หน้า 123)

ภาพคณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติประชาธิปไตย (กป.ชป.) ซึ่งเกิดขึ้นในฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยมีพ่อหลวงสีธน ยอดกันทา ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ เป็นหนึ่งในกรรมการ (อ้างใน the 101. World) ภาพต้นฉบับจาก Abb.: Führende Mitglieder des Committee for Coordinating Patriotic and Democratic Forces (CCPDF) [Bildquelle: The Road to victory : documents from the Communist Party of Thailand, 1978]

ขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวนาชาวไร่และกลุ่มกรรมกรมาประท้วงกลางเมืองหลวงที่ถือว่าใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2517 ชาวนาและอาชีพคนจาก 23 จังหวัด มีจำนวนถึง 80000 คนมารวมตัวกันที่สนามหลวงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลการสนับบสนุนข้อเรียกของชาวนาและประเด็นย่อยอื่นๆ (ไทเรล, 2546, หน้า 111-112.)

นอกจากนี้ การลุกขึ้นสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่มีความเชื่อมโยงกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย สหพันธ์นักศึกษาเสรี พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้สร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวต่ออำนาจรัฐและทุน เนื่องจากสหพันธ์ชาวนาได้ก่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่กดขี่ขูดรีดชาวนาชาวไร่ และการรวมศูนย์อำนาจในที่ดิน จากการผลักดันพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ 2517 และพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 อันเป็นชนวนแห่งการเผชิญหน้ากับกลุ่มเจ้าที่ดินรายใหญ่ กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและนายทุนท้องถิ่น

“หากพูดถึงขบวนการชาวนาชาวไร่มักเป็นเรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงกลับไม่ค่อยมีบทบาทในเรื่องเล่าของขบวนการเคลื่อนไหวเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้หญิงก็มีบทบาทมาก  พลังของผู้หญิงเองก็เป็นพลังในการเคลื่อนไหว หากไม่มีพลังเหล่านี้ขบวนการเคลื่อนไหวคงไม่มีทางเป็นไปได้”

ประโยคเกริ่นนำของ รศ.ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง ที่ร้อยเรียงมาจากการวงพูดคุยของ ‘กลุ่มผู้หญิง’ ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ตรงภายใต้การเคลื่อนไหวของขบวนการชาวนาชาวไร่เมื่อปี 2517-2519 ในวาระของการรำลึก 50 ปี สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของสามัญชน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ที่คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในงานประกอบไปด้วยการพูดคุยถึงขบวนการชาวนาชาวไร่ในหลายแง่มุม ซึ่งวงคุยสุดท้ายนั้นถือเป็นบทสนทนาที่กลั่นจากความทรงจำผ่านผู้หญิงถึงผู้หญิง ก่อนที่เรื่องเล่าของขบวนชาวนาในวันนั้นจะหายสาบสูญในสักวัน 

แม่แจ่มจันทร์ เดชคุณมาก จากบ้านแม่จ้อง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ย้อนความเมื่อคราวยังเป็นเด็กสาวตัวน้อย “ตอนนั้นอายุ 13-14 ปีเป็นครั้งแรกที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ช่วงปี 2517-2518 พี่ ๆ โครงงานชาวนาที่เป็นนักศึกษา  หลังจากพ่อหลวงอินถากับ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน (เลขาธิการพรรคสังคมนิยม) ถูกลอบสังหาร เมื่อปี 2518 นักศึกษาจึงเข้ามาช่วยเหลือในหมู่บ้านนี้การเข้ามาของนักศึกษาทำให้พวกเราได้รับความรู้จากพี่ ๆ ในโครงงานชาวนาเป็นจำนวนมาก จนการเคลื่อนไหวของนักศึกษาไม่สามารถทำงานต่อได้เนื่องจากถูกคุกคามอย่างหนัก ตนและพวกจึงตั้งกลุ่มมังกรน้อยซี่งได้ทำงานแทนพี่ ๆ ในการสื่อสาร แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงปลายปี 2518 ตนเองอยากเข้าไปในป่าซึ่งอยากไปเรียนรู้ในป่า แต่หลัง 6 ตุลา ก็เข้าป่ายาวเลย

แม่วิไล รัตนเวียงผา บ้านป่าเมี่ยง เวียงผาพัฒนา อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สนับสนุนหนุนช่วยการต่อสู้ในขบวนการชาวนาชาวไร่ เธอเล่าประสบการณ์ของเธอว่า“พ่อเป็นหนึ่งในการเข้าร่วมสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ และเข้าป่า ตนมีหน้าที่ดูแลสหายหญิง หลังจากนั้นในปี 2520 แต่ละคนก็พูดกันว่าจะเอายังไงต่อ ป้าหมดกำลังใจ ขึ้นป่าไปช่วยกิจกรรมบนดอยเพราะเอ็นดูนักศึกษาเนื่องจากช่วยเหลือหมู่บ้าน และมีความเป็นธรรมและความยุติธรรมในใจ

จากหนังสือ รำลึก 47 นิสิต จิรโสภณ เล่าถึงกรณีการต่อสู้ของชาวบ้านในหลายกรณี ระหว่างปี 2517 ต่อเนื่องถึงปี 2518 ซึ่งดำเนินไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวกฏหมายค่าเช่านาในเขตที่ราบทั้งในกรณีห้างฉัตร และกรณีแม่เลียง การเคลื่อนไหวดำเนินไปจนกลายเป็นการเดินขบวนไปเรียกร้องที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง จนทางการรับคำเรียงร้องจึงยุติลง

กรณีที่จะกล่าวถึงคือการเคลื่อนไหวเรื่องเหมืองแร่บ้านแม่เลียง ในจังหวัดลำปาง ในมุมของนักศึกษาช่วงเวลานั้นที่เข้าไปช่วยเหลือเล่าว่า “ปี 2518 โครงงานชาวนาขยายตัวสูงมาก ชาวนาชาวไร่ต้องการที่ปรึกษา ป้าวิได้เข้ามาเข้าร่วมการต่อสู้เหมืองแร่ในครั้งนี้ ป้าจึงตัดสินใจดรอปเรียนในช่วงปี 2518 เนื่องจากการเคลื่อนไหวในพื้นที่ตรงนี้ไม่มีใครไปทำอย่างจริงจัง ตนจึงได้ไปสำรวจปัญหา ชาวบ้านก็สุกงอมทางความคิดจึงเดินขบวนประท้วง ในที่สุดที่เกิดผลสำเร็จเพราะรัฐสั่งยุติโครงการ การประท้วงใหญ่เพื่อเรียกร้องจากการยุติการสร้างเหมืองช่วงปี 2518 การเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงเป็นผลงานชิ้นเอกของนักศึกษา”

‘ป้าวิ’ ชญาณิฐ สุนทรพิธ อดีตนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี 2517-2519 กล่าวถึงบทบาทที่นักศึกษาได้เข้าไปทำงานสนับสนุนชาวนาในพื้นที่แม่เรียง เนื่องจากมีปัญหาจากการสร้างเหมืองแร่ หากดำเนินการเหมืองสำเร็จจะส่งผลกระทบต่อการทำนาของชาวบ้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบชลประทาน

ส่วนการต่อสู้ของผู้หญิงเกี่ยวกับสิทธิของตนเองในขบวนการเคลื่อนไหว “หากยุคก่อนของการเป็นชาวบ้าน เราได้เรียกร้องตลอดสมัยที่อยู่ในป่าก็มีการรณรงค์เรื่องสิทธิ์ความเสมอภาคของผู้หญิง ในบริบทของชาวบ้านเอง มีสามีเป็นนักประชาธิปไตยมีอะไรเราก็คุยกันตลอด เราต้องช่วยกันต่อสู้” ความคิดเห็นของแม่แจ่มจันทร์ ป้าวิในฐานะผู้หญิงที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในป่า เล่าต่อว่า “เธอไม่คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ใครให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งโดยภารกิจไม่คิดว่าหญิงหรือชาย ขบวนการภาคประชาชนสอนให้เราทำได้หมด จะต่างกันแค่ภาระกำลังเท่านั้นเอง”

การต่อสู้ก็มิได้หยุดอยู่เพียงแค่ช่วงทศวรรษที่ 2510 – 2520 แต่เพียงเท่านั้น การต่อสู้ของชาวนาชาวไร่ก็ยังคงสืบเนื่องและมีอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ประภาส ปิ่นตบแต่ง เขียนบทความเรื่อง ขบวนการชาวนาชาวไร่ในสังคมไทย : จากอดีตสู่ปัจจุบััน ได้ชี้ให้เห็นว่า ในทศวรรษที่ 2520 เกิดสมัชชาเกษตรกรรายย่อยต่างๆ และก็ยังมีการรวมตัวกันสืบเนื่อง อย่างกรณีสมัชชาคนจนที่มีลักษณะของชุมชนท้องถิ่น ที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายย่อยๆ เช่น เครือข่ายป่าไม้-ที่ดิน เครือข่ายเขื่อน เครือข่ายเขื่อน เครือข่ายเกษตรกรทางเลือก เครือข่ายสลัม ซึ่งรวมตัวกันในภายหลังเป็นสมัชชาคนจน

เรื่องเล่าเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหว ทั้งการต่อสู้ในเรื่องสิทธิของตนเองจึงมีความสำคัญมากเนื่องจากจะช่วยเป็นบทเรียนในการต่อสู้ได้แล้ว บทบาทของการเคลื่อนไหวจึงควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ประชาชน เพื่อขยายพื้นที่ในประวัติศาสตร์ให้กว้างขวางขึ้น เนื่องจากประวัติศาสตร์กระแสหลักแทบไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาเลย

ในท้ายที่สุดนี้ ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน และน้ำเสียงจากผู้คนที่ผ่านการต่อสู้อันเป็นหลักฐานจากคำบอกเล่าจากประสบการตรง ในวันที่ 23-24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 นี้ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อสดุดีความกล้าหาญในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม รายละเอียดตามโปสเตอร์ด้านล่าง

รายการอ้างอิง

  • ประภาส ปิ่นตบแต่ง. ขบวนการชาวนาชาวไร่ในสังคมไทย : จากอดีตสู่ปัจจุบัน. วารสารวิจัยสังคม ปีที่ 41 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 61) หน้า 1-50.
  • ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น. การปฏิวัติที่ถูกตัดตอน : ชาวนา นักศึกษา กฎหมาย และความรุนแรงในภาคเหนือของไทย. นนทบรี : ฟ้าเดียวกัน. 2560.
  • ณัฏฐวรรธน์ คล้ายสมมุติ. เรียบเรียง. “แม่ไม่เคยเสียใจที่เข้าป่า” เรื่องไม่ปิดลับของผู้หญิงในขบวนการชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ.lanner. https://www.lannernews.com/28082567-01/. (เข้าถึงเมื่อ 11/19/2567).
  • ณัฏฐวรรธน์ คล้ายสมมุติ. เรียบเรียง. “เรื่องอะไรอีกที่ประวัติศาสตร์เดือนตุลาในภาคเหนือยังไม่ถูกเขียน?” ประวัติศาสตร์ขบวนการชาวนาชาวไร่ภาคเหนือของไทยและช่องว่างของประวัติศาสตร์นิพนธ์คนสามัญ. lanner. https://www.lannernews.com/07082567-01/. (เข้าถึงเมื่อ 11/19/2567).

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

ความทรงจำดีๆ จากเชียงใหม่ ถึง ‘บินหลา สันกาลาคีรี’ ผู้บินไกล

หลายคนรู้จักมักคุ้นชื่อ ‘บินหลา สันกาลาคีรี’ นักเขียนอารมณ์ดี เจ้าของผลงาน หลังอาน, ดื่มทะเลสาบ อาบทะเลทราย, บินทีละหลา,...

Lanner Joy: Midnight Rice Fest 2025 สร้างคนและพื้นที่ให้เชื่อมถึงกัน

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย, ภาพ: คน.ข้าวยาคู้.ช้างม่อย คืนก่อนวันเพ็ญเดือนสิบสอง แสงทองจากผางประทีปส่องระยิบระยับตามแนวกำแพงในวัดชมพู ย่านช้างม่อย กลิ่นถั่ว งา...

สารหนูปนเปื้อนสาละวิน คพ.ยันปลอดภัย นักวิจัยเตือนอย่าด่วนสรุปก่อนผลแล็บจริง

ภาพ: กรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ผศ.ดร.ว่าน วิริยา ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่...

เครือข่ายชุมชนแม่ยาวเชียงราย ค้าน ‘ฝายดักตะกอน’  ชี้ไม่แก้ปัญหาน้ำกก ร้องรัฐบาลจริงใจแก้ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน

6 พฤศจิกายน 2568 ที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตร่วมกับเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย เป็นตัวแทนชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำข้อเสนอเตรียมเข้าสู่เวทีรับฟังความคิดเห็นของกรมทรัพยากรน้ำ...