เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
ภาพ: วิชชากร นวลฝั้น
ซีรีส์ ‘แม่ข่าในมือใคร?’ รายงานพิเศษ 2 ตอนที่จะพาไปสำรวจภาพรวมและเบื้องลึกของแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า ฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ มุมมองของคนทำงานที่อยู่เบื้องหลังโครงการ และชวนคิดต่อถึงแนวทางพัฒนาพื้นที่ริมคลองแม่ข่า ที่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้การพัฒนาครั้งนี้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
แม่ข่าในมือใคร? [1] : เมื่อแผนพัฒนายังไม่พาชุมชนเดินไปสู่ความมั่นคง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คลองแม่ข่ากลายเป็นทั้ง “สัญลักษณ์ของปัญหา” และ “สนามทดลอง” ของการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ จากลำน้ำที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของภูมิปัญญาการออกแบบเมืองล้านนา กลับถูกลดทอนคุณค่า จนกลายเป็นพื้นที่ชุมชนแออัดและทางน้ำที่ถูกละเลย
แม้ภาครัฐจะเริ่มขยับด้วยการผลักดัน แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566–2570 ที่มีเป้าหมายแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยอย่างเป็นระบบ ฟื้นฟูภูมิทัศน์คลอง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน แต่คำถามสำคัญจากชาวบ้านในชุมชนยังคงอยู่ นั่นคือ การพัฒนานั้นเกิดขึ้นเพื่อใครกันแน่? เสียงสะท้อนจริงจากชุมชนริมคลองแม่ข่ายังสะท้อนถึงความกังวล ความหวัง และข้อเสนออย่างตรงไปตรงมา ว่าพวกเขาต้องการอนาคตแบบไหน และการพัฒนาที่พวกเขาอยากเห็น ไม่จำเป็นต้องแลกมากับการถูกผลักให้พ้นจากบ้านเกิด
เสียงสะท้อนจากชุมชน พัฒนาแบบไหนที่เราต้องการ
“เราเกิดที่นี่ อยากอยู่ที่นี่ และก็อยากตายที่นี่ด้วย”
เสียงของผู้สูงวัยในชุมชนกำแพงงามอย่าง แม่น้อย ใจโฉม วัย 87 ปี สะท้อนความผูกพันกับพื้นที่อย่างลึกซึ้ง แม่น้อยเล่าว่าตนอยู่ในชุมชนนี้มาตั้งแต่ปี 2513 ถือเป็นระยะเวลาที่นานกว่า 60 ปี แม้จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่ก็ผูกพันกับบ้านหลังนี้มาทั้งชีวิต
“ช่วงที่ผ่านมา (ปี 2567) ก็มีเรื่องให้กังวล โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่น้ำเข้าท่วมบ้าน ข้าวของเสียหายหมด ต้องหนีออกไปนอนที่อื่น ไปอยู่บ้านคนรู้จักก็น้ำท่วมอีก ไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้จะพึ่งใคร บ้านที่เคยอยู่ได้ก็กลายเป็นอยู่ไม่ได้ ต้องย้ายไปนอนชั่วคราว อยู่ไม่เป็นสุข เพราะอายุก็มากแล้ว สุขภาพก็ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน”
แม่น้อยเล่าว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมาทำให้เธอต้องอพยพหลายครั้ง ไม่มีที่พักที่ปลอดภัย ความกังวลใจอีกเรื่องคือด้วยอายุที่ค่อนข้างมาก หากต้องย้ายที่อยู่ใหม่ก็กลัวว่าจะไม่ไหว สิ่งที่เธอต้องการจากโครงการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงมีเพียงอย่างเดียวคือ ขอให้ได้อยู่ที่เดิมต่อไป
“อยากฝากถึงหน่วยงานภาครัฐหรือผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ขอให้เห็นใจพวกเราที่อยู่ในชุมชนดั้งเดิมแห่งนี้ ขอให้เราได้อยู่ในที่เดิม ไม่ต้องย้ายไปไหน เพราะที่นี่คือบ้านของเรา คือชีวิตของเรา ขอให้เราได้ใช้ชีวิตในบ้านเดิมที่เรารักและผูกพัน”
ด้าน กาญจนา กองเกิด คณะกรรมการชุมชนกำแพงงาม ก็สะท้อนแนวคิดของการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม โดยมองว่าเยาวชนคือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของชุมชน โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่มีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นทั้งในเรื่องวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ และการพัฒนาเมือง
เธอยังสะท้อนถึงปัญหาหลักที่กำลังเผชิญอยู่ คือความไม่มั่นคงด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นี้มาตลอด ทั้งยังวิตกกับอนาคตที่ไม่แน่นอน หลายคนกลัวว่าจะต้องย้ายออกจากชุมชนที่พวกเขาสร้างและรักษามาด้วยตนเอง
“เวลาลงพื้นที่ เรามักได้ยินเสียงจากชาวบ้านบอกว่า ‘ยายไม่อยากไปไหน ยายอยากอยู่ที่เดิม’ นั่นแปลว่าชาวบ้านเองก็อยากพัฒนา อยากดูแลที่ดินเดิมของตัวเอง แต่ต้องการโอกาสและการสนับสนุนจากภาครัฐ”
สำหรับกาญจนา การพัฒนาไม่จำเป็นต้องแลกมากับการสูญเสีย หากรัฐเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลและพัฒนาพื้นที่ควบคู่กับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมือง เธอเชื่อว่าชาวบ้าน เยาวชน และผู้สูงวัย พร้อมจะมีบทบาทในฐานะผู้รักษาและผู้สร้างเมืองร่วมกัน
“ข้อเสนอของเราคือ ขอให้เราได้อยู่ร่วมกับกำแพงเมือง โดยที่ชาวบ้าน เยาวชน และผู้สูงอายุ มีส่วนร่วมในการดูแลและพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทของเมืองเก่า ถ้าเราได้อยู่ในที่ดินเดิม เราก็พร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนา ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และภูมิทัศน์เมือง”
ท้ายที่สุดแล้ว เสียงจากชุมชนริมคลองแม่ข่าไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาแต่อย่างใด พวกเขาเพียงเรียกร้องการพัฒนาที่ไม่ละเลยสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ผลักใครให้ออกไปอยู่ชายขอบ และเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะหากแผนแม่บทได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง และชุมชนได้รับการสนับสนุนให้เป็น ‘ผู้ร่วมสร้างเมือง’ คลองแม่ข่าก็จะกลายเป็นมากกว่าสายน้ำที่รอการฟื้นฟู แต่จะเป็นหัวใจของการสร้างเมืองที่เป็นธรรม มีชีวิต และอยู่ร่วมกันได้ของทุกคนในสังคม
แผนดีติดกับดักโครงสร้าง-ขาดเจ้าภาพขับเคลื่อน
แม้ผังแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566 – 2570 ที่ชัดเจนและรอบด้าน แต่เมื่อมองไปยังความคืบหน้าของการดำเนินการจริง กลับพบว่าแผนนี้ยังไม่สามารถขับเคลื่อนไปอย่างเป็นระบบได้
ทนวินท วิจิตรพร เจ้าหน้าที่จากสมาคมเพื่อการออกแบบและส่งเสริมการมีพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียว อธิบายว่า แผนพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ริมคลองแม่ข่าในขณะนี้มีอยู่หลายชุดด้วยกัน แต่กลับไม่มีแผนใดที่สามารถทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพได้จริง
“เรามีแผนจากภาคประชาชนและภาควิชาการที่จัดทำอย่างมีระบบ จังหวัดเองก็รับไว้แล้วส่วนหนึ่ง แต่ไม่มีความคืบหน้าชัดเจน ส่วนแผนระดับจังหวัดที่สำนักงานจังหวัดทำขึ้น กลับเป็นแค่การรวบรวมแผนย่อยจากหลายหน่วยงานไว้ในเล่มเดียว โดยไม่มีกรอบวางแผนระยะยาวหรือกลไกการวัดผลที่ชัดเจน”
ทนวินท ชี้ว่า ปัญหาใหญ่ที่ทำให้แผนยังคงหยุดอยู่กับที่ คือการไม่มีเจ้าภาพหลักในการผลักดันอย่างจริงจัง แม้แผนจากคณะทำงานด้านที่อยู่อาศัยจะมีรายละเอียดครบถ้วน ระบุหน้าที่ว่าใครทำอะไรไว้อย่างชัดเจน แต่การขับเคลื่อนต้องอาศัยบทบาทจากหน่วยงานรัฐเป็นหลัก
“คนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนคือผู้ว่าราชการจังหวัด ปัญหาหนึ่งคือเขาอาจไม่เข้าใจว่าการทำงานแบบบูรณาการต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และอีกสมมติฐานคือ เขาไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องที่อาจก่อให้เกิดข้อขัดแย้ง เช่น เรื่องสิทธิทับซ้อนของคนในพื้นที่ ที่หากเข้าไปจัดการอาจโดนต่อต้านหรือร้องเรียนได้ จึงเลือกที่จะไม่แตะ ไม่ขยับ ปลอดภัยกว่า”
เพื่อให้แผนสามารถเดินหน้าได้จริง เขาเสนอว่าทางที่ดีที่สุดคือต้องยกระดับแผนสู่ นโยบายของคณะรัฐมนตรี โดยตรง เพื่อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง สามารถขับเคลื่อนแผนในภาพรวมได้อย่างเป็นระบบ
“ถ้าจะให้ดีที่สุด ต้องเสนอแผนพัฒนาเข้าสู่คณะรัฐมนตรี ให้เป็นนโยบายของรัฐบาลกลาง ตั้งเป้าให้ชัดจากบนลงล่าง ให้กระทรวงต่างๆ ขับเคลื่อนโดยตรง เพราะมีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น งบประมาณ 4,000 ล้านบาทในการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยทั้งระบบ หรือการปลดล็อกข้อกฎหมายบางอย่าง เช่น กฎหมายผังเมือง หรือกฎที่เกี่ยวกับเขตเมืองเก่า ที่ห้ามสร้างบ้านแถวในบางพื้นที่ หรือข้อจำกัดการก่อสร้างใกล้ลำคลอง”
ทนวินทยังเสริมอีกว่า หากปัญหาข้อกฎหมายและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างต่างๆ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แผนพัฒนาก็ไม่อาจเดินหน้าไปได้เช่นกัน แม้จะพยายามผลักดันจากระดับล่าง เช่น การให้หน่วยงานเฉพาะทางอย่างกรมศิลปากรไปดำเนินการขออนุมัติงบประมาณด้วยตนเอง แต่สุดท้ายกระบวนการก็มักสะดุดอยู่ที่ระดับผู้บริหาร ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยหรือส่งแผนกลับมาให้แก้ไขใหม่ วนเวียนอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีความชัดเจน
เขามองว่าสิ่งที่จะทำให้แผนขยับได้จริง คือการยกระดับเข้าสู่นโยบายของคณะรัฐมนตรี เพราะเมื่อมีนโยบายจากรัฐบาลกลางรองรับ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะสามารถดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นระบบ และมีโอกาสขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริง
“ถ้าไม่แก้พวกนี้ เราก็ทำตามแผนไม่ได้จริง ถ้าจะผลักจากล่างขึ้นบน เช่น ให้กรมศิลป์ไปขออนุมัติงบเองก็ยากมาก เพราะสุดท้ายผู้บริหารระดับสูงอาจไม่เห็นด้วยหรือส่งกลับให้ไปจัดการใหม่ ทำให้วนเวียนอยู่อย่างนั้น แต่ถ้ามันมาจากนโยบายระดับ ครม. ทุกอย่างจะ “ไฟเขียว” หมด และขับเคลื่อนได้จริง”
ในมุมมองของทนวินท หากแผนพัฒนานี้ได้รับการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง เชียงใหม่จะเปลี่ยนโครงสร้างเมืองไปอย่างมาก ทั้งด้านที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ เช่น
1.จังหวัดเชียงใหม่ก็จะมีโครงการที่อยู่อาศัยแบบหมุนเวียน (Affordable housing) สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่ประมาณ 2,000 หลัง ช่วยชะลอการลดลงของประชากรในเขตเทศบาลที่หายไปกว่า 30% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
2.พื้นที่ริมคลองแม่ข่าจะถูก ฟื้นฟูเป็นพื้นที่สาธารณะ เชื่อมโยงกับโบราณสถานและกลายเป็น “Green Corridor” ใจกลางเมือง ระบบสัญจรทางเลือกจะเกิดขึ้นจริง คลองแม่ข่าจะมีทางเดินเลียบคลอง ทางจักรยาน และทางน้ำ ครอบคลุมพื้นที่ราวหนึ่งในสามของเทศบาลนครเชียงใหม่
3.เศรษฐกิจชุมชนจะได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่เชื่อมโยงอย่างไทบาร์ซ่า ซึ่งอาจก่อให้เกิดรายได้ใหม่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี
“ถ้าแผนนี้เกิดขึ้นได้จริง แม่ข่ามันจะไม่ใช่คลองที่ถูกซ่อนอยู่หลังบ้านใครอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสมบัติสาธารณะที่คนเมืองเข้าถึงได้จริง”
สิทธิในบ้าน จุดเริ่มต้นของชีวิตที่มั่นคง
ในประเด็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย อัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่คนปัจจุบัน เคยแสดงวิสัยทัศน์ไว้ บนเวทีนโยบายท้องถิ่นกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยว่า ปัญหาที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องการมีบ้าน แต่คือจุดเริ่มต้นของ “ชีวิตที่มั่นคง” โดยยอมรับว่าหลายครอบครัวในเมืองยังต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ผิดกฎหมายหรือไม่มีหลักประกันใดๆ
อัศนีเสนอว่าพื้นที่ของรัฐหลายแห่งในเขตเมืองสามารถนำมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยได้ เช่น ริมคลองแม่ข่า บริเวณฟ้าใหม่ หรือลานลอกกระแจ พื้นที่เหล่านี้บางส่วนกำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุง และอาจใช้เป็นพื้นที่นำร่องสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่
“เราจำเป็นต้องให้ประชาชนมีสิทธิในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิซื้อหรือสิทธิเช่า เพราะสิทธิเหล่านี้คือรากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดี ถ้าเราสร้างระบบให้ดีตั้งแต่ต้น ทุกคนจะมีที่ยึดเหนี่ยว มีโอกาสพัฒนาชีวิต”
เขาทิ้งท้ายว่า ในปัจจุบัน เทศบาลมีแผนจะสร้างบ้านนำร่องประมาณ 30–40 หลังในพื้นที่ริมคลอง โดยมีแบบแปลนที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศแล้ว ความสำเร็จของโครงการนี้อาจเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“ถ้าทำได้ พื้นที่ริมคลองแม่ข่าในอนาคตจะเปลี่ยนจากพื้นที่น้ำเน่าเสีย เป็นพื้นที่ที่ประชาชนมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ทุกอย่างต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผมเชื่อว่า ถ้าเราวางแผนดี และทำอย่างต่อเนื่อง เมืองเชียงใหม่จะเป็นเมืองที่ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี”
ท้ายที่สุด เสียงของชาวบ้านริมคลองแม่ข่าไม่ใช่การปฏิเสธการพัฒนา แต่เป็นเสียงเรียกร้องให้การพัฒนานั้นไม่ละเลยสิทธิของผู้คน
คำตอบของคำถามว่า เชียงใหม่จะเดินไปทางไหน? อยู่ที่ว่ารัฐจะเลือกฟังเสียงของคนที่อยู่ตรงนี้ หรือจะปล่อยให้แผนดีๆ ติดหล่มโครงสร้าง จมอยู่กับความลังเล และผลักชุมชนดั้งเดิมออกไปเรื่อยๆ หากการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นจริง แม่ข่าจะไม่ใช่เพียงคลอง แต่จะเป็น “หัวใจของเมืองที่มีชีวิต” ที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นธรรม
รายการอ้างอิง
- Laner News. (2020, April 25). ส่องข้อเสนอ “แผนแม่บทที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า”… เส้นทางสู่การคืนพื้นที่ริมคลองให้ประชาชน. Retrieved from https://www.lannernews.com/20042567-02/
- เทศบาลนครเชียงใหม่. (2018). รายงานการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาคลองแม่ข่า [PDF]. Retrieved from https://www.chiangmai.go.th/managing/public/D2/2D10Sep2018163933.pdf
- ผังแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566–2570

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร