อำลาด้วยอาลัย “เกริก อัครชิโนเรศ” : ชีวิตและการเดินทางจากร้านขายยาจีนย่านกาดหลวง สู่สำนักเรือนเดิมแห่ง มช.และห้องเรียนตั๋วเมือง ณ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่

Date:

เรื่อง: นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง

ผู้เขียนทราบข่าวคราวและติดตามอาการความเจ็บป่วยของ “เกริก อัครชิโนเรศ” มาระยะหนึ่งแล้วในฐานะคนที่พอรู้จักมักคุ้นท่านอยู่บ้างก็คงพอที่จะส่งมอบกำลังใจให้ด้วยความปรารถนาดีผ่านช่องทางกล่องข้อความ (Chat box) ของเฟซบุ๊คเพียงเท่านั้นและเมื่อไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนก็ได้ทราบข่าวการเดินทางไกลจากไปอย่างไม่มีวันกลับของอดีตชายร่างใหญ่ พูดจาขึงขัง เสียงดังฟังชัดและสอดแทรกมุกตลกแสบสันให้ผู้เขียนได้เคยทั้งหัวเราะและเก็บเอาสิ่งที่ชายผู้นี้พูดในวงวิชาการและการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการในหลายกรรมหลายวาระกลับไปครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

ชื่อของ “เกริก อัครชิโนเรศ” หรือนามลำลองที่แตกต่างกันไปสำหรับใครหลายต่อหลายคน ทั้งอาจารย์เกริก, พ่อครูเกริก, ครูเกริก!!!, ลุงเกริก , อ้ายเกริก , หรือที่แกชอบเรียกชื่อตัวเองแบบขำๆติดตลกในบางครั้งว่า “เก-ริก” แม้กระทั่งปู่เกริก ตลอดจนคำเรียกในทำนองทางลบอื่นใดที่มิใคร่สู้ดีมากนัก ซึ่งผู้เขียนเองก็คงไม่ปรารถนาใคร่อยากสรรหาเอาความมาว่าในข้อเขียนนี้ คำนำหน้านามหรือชื่อที่ถูกใช้เรียกขานจึงสะท้อนลักษณะสัมพันธ์ที่แต่ละปัจเจกบุคคลมีต่อชายผู้นี้ด้วยท่าทีที่แตกต่างกันไปซึ่งแน่นอนว่าคงมีทั้งรักและชังอันเป็นธรรมดาสามัญในโลกมนุษย์ แต่สำหรับผู้เขียนและข้อเขียนนี้ขอเลือกที่จะจัดวางตัวเองในฐานะ “มิตร” ที่อยากมุ่งพินิจพิเคราะห์ชีวิตและการเดินทางของ “สามัญชนคนธรรมดา” คนหนึ่งที่มีจุดเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นลูกหลานกิจการร้านขายยาจีนแผนโบราณชื่อดังย่านกาดหลวงแล้วร่ำเรียนหนังสือมาทางด้านสาขาวิชาภาษาอังกฤษแต่กลับ “ข้ามห้วย” หรือข้ามบริบทและพื้นที่ความรู้มาสู่แวดวงวิชาการด้านล้านนาคดีซึ่งจะว่าในตำแหน่งแห่งที่ “อาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยก็มิใช่หรือผู้ให้ความสนใจแบบทั่วไปธรรมดาก็ไม่เชิง” ตลอดจนบทบาทในตอนท้ายเบื้องปลายชีวิตที่ “เกริก” ได้ใช้ความรู้ด้าน “ล้านนาคดีแบบสาธารณะ” ในพื้นที่ความรู้และปฏิบัติการด้านการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) ในฐานะครูสอนอักษรธัมม์ล้านนา (ตั๋วเมือง) และการคำนวณปั๊กกะตืนหรือปฏิทินแบบล้านนา ตลอดทั้งยังมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งชมรมปั๊กกะตืนล้านนา จังหวัดเชียงใหม่

ข้อเขียนนี้จะสำเร็จในระยะเวลาอันเร่งรีบไปไม่ได้หากปราศจากบทสนทนาบางประเด็นจากอาจารย์แสวง มาละแซม ที่ผู้เขียนเคารพรัก และคุณเฉลิมวุฒิ ต๊ะคำมมิตรสหายร่วมรบทางวิชาการและมิตรสหายสุภาพสตรีอาวุโสอีกสองท่านผู้ไม่ประสงค์จะออกนามที่สร้างบทสนทนาอย่างออกรถออกธาตุเพื่อช่วยคลี่คลายให้ผู้เขียนรู้จักอาจารย์เกริกมากขึ้น

ชีวิตและเส้นทางของเส้นทางของ “เกริก อัครชิโนเรศ” จากร้านยาจีนกาดหลวงสู่สำนักเรือนเดิม มช.

ชีวิตและจุดเริ่มต้นของการเดินทางของ “เกริก อัครชิโนเรศ” เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี พ.ศ.2503 ที่ย่านกาดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนพอที่จะสืบสาวเรื่องราวของเขาพอได้ความมาว่าเป็นลูกหลานตระกูล “ลี้” หรือ “แซ่ลี้” โดยมีกิจการร้านยาจีนแผนโบราณที่ว่ากันว่าเป็นร้านชื่อดังของเมืองเชียงใหม่  ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างย่านกาดหลวงอันเป็นที่ผู้จักกันดีอย่าง “ร้านจิ๊บอังตึ้งโอสถ” “จิ๊บ” หมายถึง ส่วนรวม “อัง” หมายถึง ความสงบสุข และ “ตึ้ง” หมายถึง ศาลาที่พัก  โดยจุดเริ่มต้นของกิจการของครอบครัวของเกริก เริ่มตั้งต้นจากปู่ของเขาคือ นายมั่งฮุ้ง  แซ่ลี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น มั่น อัครชิโนเรศ อพยพมาจากประเทศจีนและมาอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาอพยพมาอยู่กับญาติที่เมืองเชียงใหม่ขณะอายุประมาณ 20 ปีเศษ เริ่มมาเช่าห้องแถวอยู่ถนนช้างม่อยใกล้ตลาดนวรัฐ ประกอบอาชีพขายผ้าต่อมาแต่งงานกับนางไซหง  แซ่ลั้ง       (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นจินดา) เดิมเช่าเปิดร้านอยู่บริเวณร้านสุจริตพานิช ถนนช้างม่อย ต่อมาย้ายมาเช่าฝั่งตรงกันข้ามซึ่งเป็นอาคารของขุนสมานเวชชกิจและเริ่มขายยาจีนซึ่งคาดว่าปู่ของเขาเองนี้มีความรู้ที่ติดตัวมาจากเมืองจีน

จุดเริ่มต้นของครอบครัว “เกริก อัครชิโรเรศ” จึงมีที่มาที่ไม่ได้ต่างจากครอบครัวคนจีนอื่น ๆ ในย่านกาดหลวงซึ่งมีประวัติการตั้งรกรากของครอบครัวและการเดินทางเข้ามาทำมาค้าขายในพื้นที่ภาคเหนือและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวเมืองสำคัญอย่างเชียงใหม่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (หลัง พ.ศ. 2484)  ทั้งนี้นายมั่งฮุ้งมาซื้อห้องแถวชั้นเดียวจำนวน 4 ห้องถัดจากที่เช่าเดิมไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเถ้าแก่โอ๊ว และสร้างตึกเป็นร้านค้าขึ้นมา โดยมีช่างก่อสร้างชื่อ ช่างตินเป็นชาวเวียดนามที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ ช่างก่อสร้างเป็นช่างเวียดนามทั้งสิ้น มีฝีมือดีที่สุดในขณะนั้นนอกจากนายมั่งฮุ้ง  แซ่ลี้ จะขายยาจีนแล้ว ยังประกอบกิจการอื่นอีกหลายอย่าง คือ หุ้นกับเพื่อนค้าลำไย , หุ้นทำร้านดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ชื่อร้านไทยสงวน ขายเครื่องกระป๋องเป็นหลัก , ประมูลทำกิจการโรงฝิ่นหลายแห่งในภาคเหนือ , ทำโรงเหล้าที่อำเภอฝาง อำเภอพร้าว ภายหลังหุ้นทำแร่วูลแฟลมที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เป็นต้น   กิจการค้าขายที่ดำเนินการโดยปู่ของ “เกริก” นั้นได้ขยายและวางรากฐานความมั่งคั่งให้กับตระกูลในช่วงระยะเวลาต่อมาเมื่อ “มั่น อัครชิโนเรศ” ผู้เป็นปู่ของ “เกริก” เสียชีวิตลงโดยธุรกิจร้ายยาของเขาถูกเปลี่ยนมือไปสู่ลูกชายคนโตของครอบครัวนั่นคือนายเกรียง  อัครชิโนเรศ (บิดาของเกริก) ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของร้านต่อมา ทั้งนี้นายเกรียงได้สมรสกับเพ็ญพรรณ อัครชิโนเรศ โดยมีเกริก อัครชิโนเรศเป็นบุตรคนแรก

เกริก อัครชิโนเรศ เริ่มต้นชีวิตทางการศึกษาในระบบเฉกเช่นเดียวกันลูกหลายคนจีนในย่านกาดหลวงหลายๆบ้านที่มักจะส่งบุตรหลานพวกเขาเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่ดำเนินการโดยคนจีนในเชียงใหม่ เขาจึงสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับประถมศึกษาปีที่ 4 สมัยนั้น จากโรงเรียนช่องฟ้าซินเซิงวาณิชบำรุง จังหวัดเชียงใหม่และเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่จนสำเร็จการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 (มศ.5) จากนั้นได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่จนสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรทางศึกษาชั้นสูง (ปก.ศ. สูง) และสำหรับการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2526  ขณะที่ชีวิตสมรมส่วนตัวของเกริกได้แต่งงานกับนางสายสมร อัครชิโนเรศ (นามสกุลเดิม บัวบาล) โดยมีบุตรสาว 1 คน คือ นางสาวกิรณา อัครชิโนเรศ ซึ่งร่ำเรียนจนสำเร็จการศึกษาทางด้านแพทย์แผนจีนมาจากทั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีนโดยตรงที่น่าจะมีส่วนในการสนับสนุนกิจการร้านยาจีนแผนโบราณของครอบครัวเธออยู่ไม่มากก็น้อย

แม้ความรับรู้ที่มีต่อข้อมูลเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ “เกริก อัครชิโนเรศ”โดยทั่วไปจะระบุว่าเขาจบการศึกษาจากสาขาวิชาภาษาอังกฤษ แต่ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนที่รู้จักชีวิตส่วนตัวของเขาว่า “เกริก”เป็นผู้ชื่นชอบที่จะลงเรียนในกระบวนวิชาที่เน้นทางด้านวรรณคดีอังกฤษมากเป็นพิเศษ ความรู้เกี่ยวกับภาษาและวรรณคดีอังกฤษจึงเป็นต้นทุนอย่างดีที่สามารถปูทางให้เขาขยับก้าว “ข้ามห้วย” เข้ามาสู่พื้นที่ความรู้ภาษาและวรรณกรรมล้านนาเป็นอย่างดี มากไปกว่านั้น จากการที่ผู้เขียนได้สนทนายังไม่เป็นทางการกับอาจารย์แสวง มาละแซมท่านได้เน้นย้ำให้กับผู้เขียน (ซึ่งผู้เขียนก็พอรู้เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า) อาจารย์เกริกเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวดีมาก ที่สำคัญทักษะทางด้านภาษาอังกฤษช่วยทำให้เขาสามารถเข้าถึงและทลายกำแพงภาษาผ่านการอ่านเอกสารต่างประเทศ โดยจะสังเกตเห็นได้จากวงเสวนาวิชาการหรือการพูดคุยในหลายกรรมหลายวาระเกริกนำเสนอประเด็นทางวิชาการหรือประเด็นสาธารณะ ก็มักจะสอดแทรกมุมมองความรู้จากต่างประเทศประกอบอยู่เสมอ ตลอดจนอาจมีทฤษฎีหรือวิธีคิดติดกลิ่นอายความคิดแบบตะวันตกประกบอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แม้ตัวเขาเองมักจะอธิบายอัตชีวประวัติแบบติดตลกอยู่เสมอว่าตัวเขานั้นละทิ้งวรรณคดีของเช็คสเปียร์หรือเชอร์ล็อกโฮมไปนานแล้วก็ตาม

ขณะที่การเรียนรู้และการสะสมองค์ความรู้ในด้านภาษาและวรรณกรรมล้านนาของเขาผ่านการเรียนรู้ตามอัธยาศัยและการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นส่วนมาก โดยเกริก อัครชิโนเรศ เริ่มต้นเรียนอักษรธัมม์ล้านนากับอาจารย์บัญชา วงศ์ดาราวรรณ และอาจารย์จีรพันธ์ ปัญญานนท์ ที่วัดสวนดอก (พระอารามหลวง) หรือวัดบุปผารามอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และเรียนอักษรธัมม์ล้านนากับผู้ช่วยศาสตราจารย์ลมูล จันทน์หอม ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ในปีถัดมา (2542) ทั้งยังได้เรียนอักษรธัมม์ล้านนาและพิธีกรรมล้านนากับอาจารย์ดุสิต ชวชาติ ที่วัดลอยเคราะห์อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2543  แล้วจึงให้ความสนใจไปค่ำเรียนปักขทืนล้านนาหรือการคำนวณปฏิทินแบบล้านนากับพระอธิการประเสริฐ ปวโร ที่วัดหนองปลามัน อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงพ.ศ. 2544 – 2549 นอกจากการเรียนรู้กับครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนได้กล่าวไปในข้างต้น อาจารย์เกริกก็ยังพยายามที่จะศึกษาหาความรู้เรื่อง วันตามความเชื่อและปักขทืนล้านนา จากเอกสารของบูรพาจารย์ต่าง ๆ อาทิ ครูบาสิทธิ วัดหมื่นเงินกอง จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหนานวัณณา (ฤทธิ์) จิตต์ศรัทธา จากจังหวัดพะเยา ท้าวพินิจสุขาการ พิทธาจารย์แห่งเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พ่อหนานบุญทา สุโรจน์ จังหวัดลำพูน และพ่อหนานขัตติยศ จังหวัดน่าน มานับตั้งแต่ปีพ.ศ 2547 ถึง 2554  พร้อมๆกับการทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยและเรียนรูกับศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ณ อาคารเรือนเดิม คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฐานะลูกศิษย์ก้นกุฏิ

ผลงานวิจัยของเกริก อัครชิโนเรศ ภายใต้สำนักเรือนเดิม มช จึงเกิดขึ้นอย่างมากมายภายใต้การกำกับของศาสตราจารย์ ดร. อุดม รุ่งเรืองศรีที่คอยฝึกหัดขัดเกลาให้อาจารย์เกริกผลิตงานวิชาการขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทั้งในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยและนักวิจัยในหลากหลายโครงการอาทิโครงการวิจัย “การชําระปฏิทินและหนังสือปีใหมเมืองล้านนา” (ประกาศสงกรานต์) เมื่อ พ.ศ.  2546  โดยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสํานักงานสนับสนุนการวิจัยแหงชาติ (สกว.) และในปีพ.ศ 2547  ได้มีการดำเนิน โครงการวิจัย “การจัดตังศูนย์ข้อมูลธัมม์ใบลาน โดยชุมชนมีสวนรวม : กรณีศึกษา วัดสะลวงใน (สิทธิทรงธรรม) โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหงชาติ ตลอดจนโครงการวิจัย “การศึกษาตัวตนและบทบาทของเจ้าหลวงสุวรรณคําแดง” เมื่อ พ.ศ. 2548  โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสํานักงานสนับสนุนการวิจัยแหงชาติ (สกว.)  และในปี 2550 งานการวิจัย เรื่อง การคํานวณและการทํานายวันฝนตกแบบล้านนา เทียบกบ ปริมาณน้ำฝน โดยได้รับทุนจากสํานักสงเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

นอกจากนี้เกริก อัครชิโนเรศยังร่วมกับศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ในฐานะผู้จุดประกายและผลักดันงานเฉลิมฉลองวาระครบ 600 ปี ของพระญาติโลกราช ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี ราชพ.ศ 2552 โดย เกริก อัครชิโนเรศ ได้เริ่มเขียนบทความออกเผยแพร่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเตือนสังคมและส่วนราชการเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ทั้งยังเป็นผู้จัดหาเอกสารต้นฉบับเบื้องต้นทุกรายการให้กับศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี เพื่อเป็นวัตถุดิบในการจัดทำ E–Book อักษรธัมม์ล้านนา ได้แก่  e – 60 วรรณพิมพ์ล้านนา และโครงการ e – 120 วรรณลิขิตล้านนา ในปี พ.ศ.  2552  โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากสํานักงานส่งเสริม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.) ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มและเสนอแนะให้ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี รวบรวมสำนวนล้านนาให้เป็นหมวดหมู ่ โดยอาจารย์เกริก อัครชิโนเรศเป็นผู้จัดทำบัตรคำสำนวนล้านนาให้กับศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรีได้นำไปเรียบเรียงซึ่งเป็นการจัดพิมพ์สำนวนล้านนาเป็นครั้งแรกในวงวิชาการล้านนาคดี รวมทั้งได้มีการ พิมพ์หนังสือ “สรรพ์นิพนธ์ล้านนาคดี”ออกเผยแพร่ใน ปี พ.ศ. 2545 และพิมพ์หนังสือ “Lan Na Reader” มอกม่วน ออกเผยแพร่ใน ปี 2552 อีกด้วย

เกริก  อัครชิโนเรศ ได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานจากสำนักเรือนเดิม มช. ทั้งในฐานะคนเขียนบทความ บรรณาธิการหนังสือ ผู้ช่วยวิจัย นักวิจัย และหัวหน้าโครงการวิจัย สิ่งเหล่านี้ได้สร้างการเรียนรู้นอกระบบและการเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self directed Learning)  ที่สร้างการหล่อหลอมกล่อมเกลาในความเป็นนักวิชาการให้กับเขาภายใต้การกำกับของอุดม รุ่งเรืองศรีกับผู้เป็นเจ้าสำนักด้านภาษาและวรรณกรรมล้านนา โดยต่อมาเบิกได้เลือกที่จะศึกษาในระดับปริญญาโท ที่คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่กลับไม่ได้เลือกที่จะศึกษาต่อในสาขาภาษาและวรรณกรรมล้านนาซึ่งเปิดสอนอยู่ในคณะดังกล่าวแต่อย่างใด ทว่าเลือกที่จะศึกษาในสาขาวิชาพุทธศาสนศึกษาและเลือกทำวิทยานิพนธ์ด้วยหัวข้อการศึกษาวิเคราะห์ติรัจฉานวิชาในพระพุทธศาสนาตามที่ปรากฏในเอกสารล้านนา ความสนใจของอาจารย์เกริกที่มีต่อประเด็นดังกล่าวเป็นไปเพื่อการสำรวจเนื้อหาเกี่ยวกับติรัจฉานวิชาที่ปรากฏในเอกสารโบราณของล้านนาและวิเคราะห์สาเหตุของการศึกษาและปฏิบัติตนที่เกี่ยวข้องกับติรัจฉานวิชาของพระภิกษุล้านนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งเลือกศึกษาจากเอกสารโบราณล้านนา อันได้แก่ พรหมชาลสูตร และสามัญญผลสูตร สำนวนล้านนาทุกฉบับซึ่งแน่นอนว่าวิทยานิพนธ์เล่มดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งใช้พื้นฐานประสบการณ์การอ่านและการตีความเอกสารล้านนาของเขาเองให้เป็นส่วนช่วยในการทำให้วิทยานิพนธ์เล่มนี้ประสบความสำเร็จภายใต้การดูแลจากเราบรรดาคณาจารย์ประจำหลักสูตรซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลิตองค์ความรู้และงานวิชาการด้านพระพุทธศาสนาในสังคมล้านนาอย่างผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิโรจน์ อินทนนท์ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปรุตม์ บุญศรีตัน และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. เทพประวิณ จันทร์แรง 

ซึ่งในหน้ากิตติกรรมประกาศของวิทยานิพนธ์เล่มนี้อาจารย์เกริกได้ยกย่องและระบุให้ “ศาสตราจารย์ ดร. อุดม รุ่งเรืองศรี” มีฐานะเป็น “พ่อครู” ผู้ทำหน้าที่ทั้ง “พ่อ” และ“ครู” ผู้ให้คำแนะนำอย่างขันแข็งให้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางเพื่อสร้างองค์ความรู้และงานวิชาการร่วมทางของเขาเองเกิดขึ้นภายใต้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับพระสงฆ์และหน้อยหนานหลากหลายท่าน อาทิ พระครูอนุสรณ์สีลขันธ์ พระครูศีลพิลาส ผู้ให้ความรู้และข้อมูลสำคัญ รวมไปถึงพระจตุพล จิตฺตสังวโร และพระศุภชัย ชยสุโภ ปิยมิตรผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุข มากไปกว่านี้กิตติกรรมประกาศในงานวิทยานิพนธ์ของเขายังชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่มีกับกลุ่มคนหรือเครือข่ายการทำงานเพื่อการสร้างสรรค์ความรู้ทางด้านนั้นในคดีรวมถึงการสอนภาษาล้านนาของเขาเองในช่วงหลังทั้งคนอย่างพ่อครูดุสิต ชวชาติ ดร.ดิเรก อินจันทร์ รวมไปถึงอาจารย์สุเมธ สุกิน อาจารย์สนั่น ธรรมธิและอาจารย์ยุทธพร นาคสุขที่เป็นผู้ช่วยนักวิจัยให้กับโครงการวิจัยเกี่ยวกับการชำระปฏิทินของเขาอีกด้วย

หลังจากการเสียชีวิตของศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ในปี 2554 อาจารย์เกริก อัครชิโนเรศ ได้มีบทบาทหน้าที่ในการสานต่องานของท่าน นั่นคือ การจัดทำต้นฉบับสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ ฉบับเพิ่มเติม เล่ม 1 – 3 ของมูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด ตลอดจนได้มีการวางแผนจัดเตรียมและปรับปรุงพจนานุกรมล้านนา – ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง ตามคำสั่งเสียของศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี  อีกด้วย  นอกจากนี้เขายังได้มีการผลิตและเผยแพร่ปักขทืนล้านนา ปฏิทินตามความเชื่อ ร่วมกับ อาจารย์ดุสิต ชวชาติ อาจารย์สุเมธ สุกิน ดร.ยุทธพร นาคสุข พระจตุพล จิตฺตสํวโร และพระศุภชัย ชยสุโภนั่นเป็นการสืบทอดผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการวิจัยของเขาในประเด็นเรื่องการชำระปฏิทินล้านนาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 เป็นต้นมาซึ่ง ที่ผ่านมาในแต่ละปีนั้น จะมียอดการจัดพิมพ์และเผยแพร่อย่างน้อยสองแสนฉบับต่อปี กระจายไปทั่วเขต 8 จังหวัดในภาคเหนือ นอกจากนี้อาจารย์เกริกยังได้มีการร่วมกับนายพิชัย แสงบุญ ผลิต Font อักขรธัมม์ล้านนาชื่อ Font LNTilok ออกเผยแพร่ในปี พ.ศ.  2549  โดยได้มีการใช้ในการพิมพ์อักขรธัมม์ล้านนาอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

นอกจากการทำงานวิชาการผ่านการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ในรั้วกับมหาวิทยาลัยภายใต้การกำกับของศาสตราจารย์ดรอุดม รุ่งเรืองศรีแล้ว เกริก อัครชิโนเรศยังใช้เวลาไปกับการสอนอักขรธัมม์ล้านนามาเป็นเวลานานมากกว่าสองทศวรรษมาจนเกือบใกล้วันละสุดท้ายของชีวิต การถ่ายทอดองค์ความรู้ของเขาเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ไล่เรียงกันไปทั้งจากที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา โรงเรียนบาลีสาธิต วัดสวนดอก วัดลอยเคราะห์และพุทธสถาน เป็นต้น

เมื่อสถานะบทบาทและตำแหน่งแห่งที่ของสำนักเรือนเดิม มช. เริ่มคลี่คลายลงในการผลิตสร้างองค์ความรู้ด้านภาษาและวรรณกรรมล้านนา เกริก อัครชิโนเรศเองก็ได้เลือกที่จะจัดวางบทบาทและตำแหน่งแห่งที่ผ่านการเป็นครูสอนอักขรล้านนาและการคำนวณปฏิทินล้านนาที่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีลูกศิษย์ที่ผ่านการร่ำเรียนกว่าเขามากเป็นจำนวนหลายร้อยคน ทั้งนี้มีลูกศิษย์ที่รับราชการครูได้นำเอาความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนจึงทำให้อักษรธัมม์ล้านนา เผยแพร่ในวงกว้าง ซึ่งต่อมา ในปีพ.ศ 2547 เกริก ได้มีการเปิดสอน “การคำนวณปักขทืนล้านนา” ณ โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนาและสอนที่วัดสะลวงใน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และในปีพ.ศ 2548 สอนที่วัดอรัญญาวาส อำเภอเมือง จังหวัดน่าน การสอนการคำนวณปฏิทินล้านนาที่ว่านี้ยังเกิดขึ้นที่วัดลอยเคราะห์ พุทธสถานเชียงใหม่ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อีกด้วย

นอกจากนี้ เกริก อัครชิโนเรศยังได้เผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับภาษา ด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษให้กับสาขาวิชาการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนคณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2,549-2559 ในกระบวนวิชาภูมิปัญญาไทย ในหัวข้อวิชา “ถอดรหัสภูมิปัญญาล้านนา” ให้กับนักศึกษาปริญญาโทมาเอาอย่างต่อเนื่องในจำนวนกว่า 12 รุ่น จากความเชี่ยวชาญด้านอักษรธัมม์ล้านนาจึงทำให้ นายเกริก อัครชิโนเรศ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น คณะกรรมการดำเนินงานจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นเหนือจากราชบัณฑิตยสภา ท่านยังได้รับรางวัลและเกียรติคุณที่ได้รับพ.ศ.  2,558 ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นจากกระทรวงวัฒนธรรม  และได้รับรางวัลครูภูมิปัญญาเชียงใหม่เนื่องในวาระเฉลิมฉลอง 720 ปี เมืองเชียงใหม่จากภาคีเครือข่ายปฏิรูปการศึกษา

โดยในช่วงบั้นปลายท้ายชีวิตเกริก อัครชิโนเรศยังคงทำหน้าที่เป็นอาจารย์และพ่อครูสำหรับใครต่อใครหลาย ๆ คนในการสร้างความรู้ด้านล้านนาคดีศึกษาให้เกิดการปฏิบัติการในพื้นที่สาธารณะในสังคมเมืองอย่างเชียงใหม่จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการคำนวณการคำนวณปักกะตืนล้านนามาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็มีผู้มาร่ำเรียนอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นวิชาที่ผู้เรียนเรียนจบไปแล้วแต่ก็ยังคงกลับมาเรียนอีกครั้ง เพราะต้องการนำเอาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ไปเผยแพร่จึงทำให้ปักขทืนล้านนาที่พิมพ์ออกเผยแพร่มีการปรับปรุงข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ รวมถึงร่วมกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ กับชุมชนด้านวิชาการล้านนาที่มีขึ้นทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงในหลายรูปแบบจวบจนมีปัญหาสุขภาพและได้เดินทางจากไปอย่างไม่มีวันกลับดังปรากฏข่าวเป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน

เรียนรู้และย้อนคิดชีวิต “เกริก อัครชิโนเรศ” เพื่ออ่านอนาคต “ล้านนาคดีศึกษา”

การที่คนธรรมดาสามัญซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวภูมิหลังของเขานั้น คงไม่ใช่ความสามัญธรรมดาในฐานะประชาชนคนชั้นกลางระดับล่างอย่างแน่นอนในสายตาของผู้เขียน ทว่าคือชนชั้นกลางระดับบน (อาจจะบนๆเลยก็ว่าได้) แต่เลือกที่จะทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณก่อร่างสร้างความรู้ในพื้นที่วิชาการด้านล้านนาคดีได้ดีในระดับหนึ่งหรือระดับแนวหน้านั้น คงมีเหตุและผลที่มากไปกว่า “ความใจ๋ฮักใจ๋หุม” หรือความชื่นชอบส่วนตัวที่ผู้เขียนก็อยากชี้ชวนหรือเชิญชวนให้คนที่รู้จักกับ “เกริก” ร่วมคิดร่วมวิเคราะห์วิจารณ์ให้เห็นถึงแรงบันดาลใจหรือแรงขับในการทุ่มเทการทำงานเพื่อสร้างสรรค์ความรู้ด้านล้านนาคดี

แม้ความเข้าใจของผู้คนทั่วไปที่มีต่อประวัติศาสตร์สังคมล้านนาในมิติความรู้และภูมิปัญญาร่วมสมัยนั้น มักมีมุมมองและให้น้ำหนักที่มาของความรู้ด้านล้านนาคดีอย่างน้อยจาก 2 แหล่งพื้นที่ความรู้และตัวบุคคล ได้แก่ 1) ความรู้จากรั้วมหาวิทยาลัยที่อาศัยอาจารย์มหาวิทยาลัยในการทำหน้าที่ผลิตสร้างความรู้และสืบทอดความรู้เพื่อสร้างงานวิชาการผ่านการวิจัย การเขียนหนังสือหรือบทความ เป็นต้น 2) ความรู้จากวัดวาอารามที่อาศัยพระสงฆ์หรือหน้อยหนานในการทำหน้าที่ผลิตสร้างและสืบทอดความรู้เพื่อยกระดับหรือผ่านการจัดการให้เป็นงานวิชาการอีกชั้นหนึ่ง ทว่า ผู้เขียนมีความเห็นว่า ที่ผ่านมาในแวดวงวิชาการล้านนาคดีจะมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่ง “ข้ามห้วย” หรือข้ามบริบทและพื้นที่ความรู้มาสู่แวดวงความรู้ที่ว่านี้นับตั้งแต่อดีต เช่น คุณไกรศรี นิมมานเหมินทร์ (ซึ่งเป็นนักธุรกิจ) , คุณสงวน โชติสุขรัตน์ (เป็นนักเขียน) ,  คุณบุญคิด วัชรศาสตร์ (เจ้าของโรงพิมพ์) รวมทั้งคุณเกริก อัครชิโนเรศ (ลูกหลานกิจการร้านบาจีนแผนโบราณ) ซึ่งน่าจะเป็นคนท้ายๆที่อยู่ในสายธารการทำงานทางวิชาการด้านล้านนาคดีในระดับทุ่มเทแรงกายแรงใจได้ในระดับเดียวกันนี้

ที่ผู้เขียนกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความคนรุ่นหลังทำได้ไม่เทียบเท่าคนรุ่นเก่าก่อน ทว่าบริบททางเศรษฐกิจสังคมในช่วงหลังๆมานี้ มีผลต่อการบีบบังคับทางเลือกให้เรามีได้ไม่มากนัก กล่าวคือ หากคุณคิดจะทำงานวิชาการและต้องทำงานดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนคุณก็ต้องมุ่งไปในทิศทางการเป็นอาจารย์หรือนักวิจัยที่มีสังกัดในมหาวิทยาลัยเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าว่าทางเลือกดังกล่าวนี้ก็ต้องตามมาด้วยการถูกควบคุมด้วยเงื่อนไขการตีพิมพ์ผลงาน การผลิตงานวิจัยทเพื่อสร้างสรรค์ความรู้ที่ต้องสัมพันธ์เชิงอำนาจกับทิศทางด้านนโยบายของแหล่งทุนวิจัย แน่นอนว่างานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และล้านนาคดีในแบบที่คนรุ่นอาจารย์เกริกหรือสำนักเรือนเดิมเคยปฏิบัติมาก็ย่อมหาที่ทางและตำแหน่งแห่งที่ในการสร้างสรรค์ความรู้ภายใต้บริบทดังกล่าวได้อย่างจำกัดจำเขี่ย ในขณะอีกด้านหนึ่งหากคุณคิดจะทำธุรกิจหรือมีงานประจำอื่นๆทำอยู่แล้ว การจะปลีกเวลามาทำงานวิชาการด้านที่เรารักและชอบก็น่าจะสร้างเงื่อนไขให้รัดแขนขาตัวเองอย่างยิ่งในท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันและความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจสังคมอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

การอ่านชีวิตและการเดินทางของปัญญาชนล้านนาธรรมดาสามัญอย่าง “เกริก อัครชิโนเรศ” ที่เชื่อมโยงกับบริบททางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมวัฒนธรรม จึงอาจนำไปสู่การทำความเข้าใจในอีกหลายๆปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนของสังคมร่วมสมัย นี่จึงเป็นความมุ่งหวังลึกๆของข้อเขียนนี้ที่ผู้เขียนพยายามอยากจะให้เป็น

ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
นวลคำ ขะยอมแดง สุภาพชนคนเมือง
ชนชั้นกลางระดับล่างที่ค่อนมาทางปีกซีกซ้ายในทางเศรษฐกิจการเมือง ร่ำเรียนมาทางด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ชื่นชอบประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย เป็นคนให้ความสนใจประเด็นล้านนาคดีทั้งในมิติประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมและวรรณกรรมล้านนา (อยู่บ้างเล็กน้อย) แม้ตัวเองไม่ใช่คนดีย์แต่ยังคงมีการครุ่นคิดและสงสัยว่า ตัวเองนั้นเป็นนักกิจกรรม (Activist) และเป็นผู้นิยมมาร์กซ (Marxist) อยู่หรือเปล่า

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...