จะดีหรือไม่หากมีวันภาษาเมือง ?

Date:

เรื่อง : ปณิธ ปวรางกูร

ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี

29 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.2542 เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของภาษาไทยและการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง วันภาษาไทยเกิดขึ้นจากการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2505 จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ในวันภาษาไทยของทุกปีโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศไทยจึงจัดกิจกรรมการประกวดแข่งขันเกี่ยวกับภาษาไทยขึ้นไม่ว่าจะเป็น ประกวดอ่านสุนทรพจน์ การแต่งกาพย์กลอน การอ่านทำนองเสนาะ จะเห็นได้ว่าการสนับสนุนการใช้ภาษาไทยในวันภาษาไทยนั้นมีเป้าหมายต่อเด็กและเยาวชนโดยตรงเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในภาษาและทำให้ภาษาไทยนั้นดำรงความสำคัญอยู่ แต่สงสัยหรือไม่ว่าทำไมประเทศไทยที่มีภาษาและความหลากหลายอย่างมากถึงไม่มีวันภาษาท้องถิ่นเช่นกัน

จากการพูดคุยกับ สมศักดิ์ จันทร์น้อย อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้ผันตัวเป็นครูสอนภาษาเมืองที่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าการแข่งขันภาษาเมือง ไม่ว่าจะเป็น การคัดลายมือ การแต่งคร่าว การพูดภาษาเมืองนั้น ก็ยังมีอยู่บ้างในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักจัดในวันสำคัญเช่น 12 เมษายน อันเป็นวันที่พระยาพรหมโวหาร กวีเอกแห่งล้านนาถึงแก่กรรม วันสงกรานต์ หรือวันคล้ายวันเกิดของครูบาศรีวิชัย แต่ไม่พบการแข่งขันภาษาเมืองในโรงเรียน ทั้งนี้ความเห็นอ.แสวง มาลาแซม ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่กล่าวว่าไม่พบการแข่งขันภาษาเมืองในโรงเรียนเช่นเดียวกัน แต่อาจมีการเรียนการสอนภาษาเมืองซึ่งไม่ใช่ภาคบังคับเช่น โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สมศักดิ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการฟื้นฟูภาษาเมืองโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มขึ้นประมาณปี 2557 และได้รับความร่วมมือกับสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่อีกด้วย ซึ่งความพยายามในการฟื้นฟูนั้นมีมาก่อนปี 57 แต่ยังไม่เป็นรูปธรรมมากนัก


สมศักดิ์ จันทร์น้อย อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย/ ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายมากทั้งชาติพันธุ์และภาษา จากฐานข้อมูลเว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทรพบว่าประเทศไทยมีกว่า 60 ชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในประเทศไทย มีกว่า 50 ภาษาที่พูดกันในประเทศไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญเองก็สนับสนุนการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นโดยให้สิทธิกับชุมชนในการ “อนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี อันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ” และในรัฐธรรมนูญมาตรา 57 เองระบุว่ารัฐมีหน้าที่ ”อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ และจัดให้มีพื้นที่สาธารณะสําหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วม ในการดําเนินการด้วย” แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้กล่าวถึงภาษาโดยตรงแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาษานั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอย่างแยกไม่ออก ซึ่งเห็นได้ว่ารัฐไม่ได้ส่งเสริมภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยนัก

ภาษาเมืองเป็นภาษาที่ใช้พูดกันในภาคเหนือตอนบนและบางจังหวัดใกล้เคียง มีหลายสำเนียงแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ และมีตัวอักษรของตนเองที่ไม่เหมือนภาษาไทยแม้จะเป็นภาษาตระกูลเดียวกันก็ตามเนื่องจากมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่าง จากการพูดคุยกับแสวง มาลาแซม ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นมาของภาษาเมือง ต้นกำเนิดสามารถย้อนกลับไปได้มากกว่า 700 ปี หรือย้อนกลับไปในสมัยอาณาจักรล้านนาเลยทีเดียว กล่าวได้ว่าภาษาเมืองนั้นมีความเก่าแก่กว่าอยุธยาซึ่งเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมของรัตนโกสินทร์หรือประเทศไทยในปัจจุบันเสียอีก ในอดีตก่อนการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 และนโยบายสร้างอัตลักษณ์ของชาติในช่วงรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา ภาษาเมืองนั้นเป็นภาษาทางการที่ใช้สื่อสารเป็นหลักทั้งทางราชการชาวบ้านร้านตลาดและสังฆะ(ชุมชน) มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการเรียนการสอนภาษาเมืองในวัด และโรงเรียน มีการตีพิมพ์คัมภีร์ใบเบิ้ลโดยใช้ตัวอักษรเมือง การเทศน์ของสงฆ์ด้วยภาษาเมือง การเซ็นเอกสารจากกรุงเทพฯ ของเจ้าอินทรวโรรสและครูบาศรีวิชัยก็ยังใช้ตัวอักษรเมืองไม่ใช่ตัวอักษรไทย

….ภายหลังสยามยึดอำนาจจากเจ้าล้านนาเดิมได้แล้วในปี 2442 จากการตั้งมณฑลเทศาภิบาล ก็เริ่มการกลืนกลายคนล้านนาให้กลายเป็นสยามด้วยการศึกษาและภาษาด้วยการตั้งโรงเรียนขึ้น 3 ประเภท คือ 1.โรงเรียนหลวงเป็นโรงเรียนที่รัฐตั้งขึ้นและได้งบประมาณจากรัฐโดยตรง 2.โรงเรียนประชาบาลอันเป็นความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่การปกครองส่วนท้องถิ่นกับราษฎร 3.โรงเรียนราษฎร์โดยเอกชน ซึ่งโรงเรียน 2 ประเภทแรกถูกควบคุมโดยพ.ร.บ.ประถมศึกษา พ.ศ.2464 ที่กำหนดให้เด็กอายุ 7-14 ปี ได้เรียนในโรงเรียนรัฐหรือประชาบาล เป็นความพยายามที่นำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเพื่อปลูกฝังค่านิยมตามที่รัฐต้องการ อีกทั้งเป็นการบังคับให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยใช้ภาษาไทยในการเรียนการสอน สำหรับโรงเรียนราษฎรก็มีพ.ร.บ.โรงเรียนราษฎร พ.ศ.2461 ควบคุมโดยกำหนดให้ผู้สอนต้องมีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะสอนและอบรมนักเรียน ซึ่งต้องการให้นักเรียนอ่าน เขียนและเข้าใจภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว 

ความพยายามนี้เริ่มสัมฤทธิ์ผลในช่วงทศวรรษที่ 2470 มีรายงานจากเจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมาว่าคนพื้นเมืองที่ผ่านระบบการศึกษาสามารถพูดภาษาไทยได้และดูจะนิยมมากกว่าภาษาถิ่นของตน รายงานจากเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจในปี 2472 กล่าวว่าป้ายบอกถนนและสถานที่ราชการไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาไทยและเมืองควบคู่กันก็สามารถทำได้ เห็นได้ว่าการบังคับใช้พ.ร.บ.ประถมศึกษาประสบความสำเร็จอย่างมากในการสอนภาษาไทยให้กับคนเมือง ทำให้ภาษาไทยเป็นที่นิยมและทำให้คนเมืองถูกหล่อหลอมเป็นส่วนหนึ่งของสยาม อีกทั้งทำให้ภาษาเมืองต้องออกจากพื้นที่สาธารณะอย่างค่อยเป็นค่อยไป


แสวง มาลาแซม ฝ่ายวิชาการ มูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย

เมื่อการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางสยามจึงสนับสนุนให้การใช้ภาษาไทยและยกให้เป็นภาษาราชการเพื่อกลืนกลายคนที่มีภาษาและวัฒนธรรมต่างกับตนให้มีความรู้สึกเป็นชาติร่วมกัน ทั้งนี้สยามไม่เพียงจัดการเรียนการสอนภาษาไทย แต่ยังจำกัดและห้ามการเรียนภาษาเมืองอีกด้วย มีคำบอกเล่ามากมายเกี่ยวกับความพยายามที่จะทำลายหรือด้อยค่าภาษาเมืองจากสยาม เช่น กล่าวกันว่ามีคำสั่งให้รวบรวมตำราคัมภีร์ใบลานจากล้านนาเพื่อนำกลับไปที่กรุงเทพฯ การห้ามพูดภาษาเมืองในสถานที่ราชการ การห้ามสอนภาษาเมืองในโรงเรียนของรัฐ หรือแม้แต่ครูที่ทำโทษนักเรียนเมื่อพูดภาษาเมืองในโรงเรียน ด้วยกระบวนการเหล่านี้ทำให้ภาษาเมืองต้องออกจากโลกสาธารณะไปโดยปริยาย กล่าวคือ เมื่อภาษาไทยกลายเป็นภาษาราชการและใช้กันทั่วไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนภาษาเมืองเพราะ การทำงาน เอกสารราชการ กฎหมายนั้นใช้ภาษาไทยในการสื่อสารทั้งหมด ภาษาเมืองจึงหลงเหลืออยู่แค่โลกทางวัฒนธรรมเท่านั้น

ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะหันกลับมามองถึงที่ภาษาอันเป็นรากของวัฒนธรรม การสนับสนุนอุ้มชูอัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้เป็นหน้าที่ของรัฐ หรือใครคนใดคนหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องรอคอยภาครัฐเพื่อเข้ามา “อนุรักษ์” แต่เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะร่วมกัน “ฟื้นฟู” ภาษา อัตลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลับมา การจัดวันภาษาเมืองเพื่อให้ความสำคัญกับภาษาเมือง อาจเป็นก้าวแรกในการฟื้นฟูความสำคัญของภาษาและอัตลักษณ์คนเมืองให้กลับมาดังเดิม


อ้างอิง

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...