เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล
ในภาษาพูดของคนล้านนา มีคำศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ในแบบที่สมัยปัจจุบันเรียกว่า ‘กะเทย’ หรือ ‘เกย์’ นั่นคือคำว่า ‘ปู๊เมีย’ หรือ ‘ปู๊แม่’ ซึ่ง ปู๊เมีย หรือปู๊แม่ เป็นคำที่มาจากการรวมกันของคำว่า ‘ปู๊’ ซึ่งหมายถึงผู้ชายหรือเพศผู้ และคำว่า เมีย หรือ แม่ ซึ่งหมายถึงผู้หญิงหรือเพศหญิง
ทั้งนี้ ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าคนล้านนาเริ่มใช้คำว่าปู๊เมียตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่มีข้อมูลว่าปู๊เมียหรือกะเทยมีตัวตนและดำรงอยู่ในสังคมล้านนามาอย่างยาวนาน โดยเห็นได้จากการมีเรื่องราวของปู๊เมียปรากฏอยู่ทั้งในตำนานทางพุทธศาสนาของล้านนา คือ คัมภีร์ปฐมมูลมูลี และในบันทึกของบรรดาชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังดินแดนล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 24
นปุงสกะ ความหลากหลายทางเพศในตำนานศาสนาที่ว่าด้วยการสร้างโลกของล้านนา
เนื่องจากล้านนาเป็นดินแดนที่มีความเข้มแข็งในด้านการเขียนและการประพันธ์ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาทำให้ปัจจุบันยังคงหลงเหลือเรื่องราวและตำนานต่างๆ ให้ได้ศึกษาไว้มากมาย ไม่ว่าจะในรูปแบบของคัมภีร์ ลานธัมม์ ตำรา พับสา และจารึก
ดังนั้นจึงจะขอชี้แจงไว้ก่อนว่า คัมภีร์ปฐมมูลมูลีที่กล่าวถึงในที่นี้ คือฉบับที่มาจากฉบับใบลานจากวัดปงไชย ต.เหมืองจื่อ อ.เมือง จ.ลำพูน จารโดยพระอธิการสม สมโณ และปริวรรตโดยอนาโตล โรเจอร์ เป็ลติเยร์ นักวิจัยของสำนักฝรั่งเศส แห่งปลายบูรพาทิศ (École française d’Extrême-Orient, EFEO) เป็นฉบับที่สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในสัมยพระเจ้าเมืองแก้ว คือราวๆ ปี พ.ศ. 2038 – 2068

คัมภีร์ปฐมมูลมูลี เป็นตำนานทางศาสนาที่ว่าด้วยการสร้างโลก โดยมีเนื้อเรื่องอยู่ 3 ช่วง และได้กล่าวถึงปู๊เมียเอาไว้ 2 ช่วง โดยในช่วงแรกกล่าวไว้ทำนองว่า เมื่อโลกเริ่มก่อกำเนิดขึ้น มีอิตถี (ผู้หญิง) ผู้หนึ่งเกิดจากธาตุดินชื่อ นางอิตถังไคยะสังกะสี ขณะนั้นโลกเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า นางไม่มีความสุข จึงได้ปั้นดินเป็นสัตว์ต่างๆ ขึ้น แต่ต่อมาสัตว์เหล่านั้นก็ได้เที่ยวกินพืชพันธุ์ต้นไม้จนหมดสิ้น และในขณะที่นางกำลังคิดหาทางแก้ปัญหา ก็ได้เจอกับ ปู่สังไคยะสังกะสี ชายผู้ถือกำเนิดจากธาตุไฟ ทั้งสองได้สมสู่คู่กันและได้ช่วยกันสร้างมนุษย์ขึ้น
ในครั้งแรก ปู่สังไคยะสังกะสีและนางอิตถังไคยะสังกะสีสร้างมนุษย์ขึ้น 3 คน ได้แก่ ผู้ชาย ผู้หญิง และนปุงสกะผู้ชาย ทั้งสามได้อยู่กินด้วยกันจนเกิดลูกๆ แต่แล้วก็มีเหตุเรื่องความอิจฉาริษยา นปุงสกะผู้ชายได้ฆ่ามนุษย์ผู้ชายเสีย ขณะที่มนุษย์ผู้หญิงก็อาลัยอาวรอย่างมาก และได้นำของมาเซ่นไหว้ที่ศพของมนุษย์ผู้ชายจนร่างกายสูยสลายไป แต่เมื่อนปุงสกะผู้ชายตาย นางกลับไม่เหลียวแล ซึ่งเมื่อลูกๆ มาสอบถาม นางก็ตอบว่าเป็นเพราะรักพ่อที่ตายคนแรกมากกว่าพ่อที่เพิ่งตาย ต่อมาเมื่อนางตายลง บรรดาลูกๆ ก็ได้สืบทอดเผ่ามนุษย์กันต่อมา จนกระทั่งเริ่มปฏิบัติไม่ดีต่อกัน ปู่สังไคยะสังกะสีและนางอิตถังไคยะสังกะสีจึงได้คิดโลกและมนุษย์ขึ้นใหม่อีกครั้ง
ในครั้งที่สอง ปู่สังไคยะสังกะสีและนางอิตถังไคยะสังกะสีได้สร้างมนุษย์ขึ้น 3 คน ได้แก่ ผู้หญิง ผู้ชาย นปุงสกะผู้หญิง ทั้งสามได้อยู่กินกันจนเกิดลูกๆ จนบรรดาแม่ๆ ของลูกตายลง โดยแม่ที่เป็นมนุษย์ผู้หญิงตายก่อน และนปุงสกะผู้หญิงตายทีหลัง มนุษย์ผู้ชายก็ดูแลเซ่นไหว้ศพของมนุษย์ผู้หญิงเป็นอย่างดี แต่ไม่ยอมเหลียวแลศพของนปุงสกะผู้หญิง เมื่อลูกๆ ถาม มนุษย์ผู้ชายก็ให้เหตุผลว่ารักแม่คนที่ตายก่อนมากกว่าแม่ที่ตายทีหลัง และเมื่อมนุษย์ผู้ชายที่เป็นพ่อสิ้นชีวิตลง ลูกๆ ก็สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์สืบต่อมา
ทั้งนี้ มีผู้อธิบายว่าถ้าพิจารณาจากเนื้อหาในตำนานการสร้างของคัมภีร์ปฐมมูลมูลี นปุงสกะผู้ชายที่อยู่ในส่วนแรก อาจหมายถึง ‘ทอม’ หรือบุคคลที่มีร่างกายเป็นหญิงแต่จิตใจเป็นชาย เช่นเดียวกับความหมายในบริบทปัจจุบัน โดยดูจากการที่นปุงสกะผู้นี้มีบทบาทเป็น ‘สามี’ ของมนุษย์ผู้หญิง และเป็น ‘พ่อ’ ของลูกๆ ขณะที่นปุงสกะผู้หญิงที่อยู่ในส่วนที่สอง หมายถึง ‘กะเทย’ หรือบุคคลที่มีร่างกายเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิง โดยดูจากบทบาทของการเป็น ‘เมีย’ ของมนุษย์ผู้ชาย และเป็น ‘แม่’ ของลูกๆ
แม้ตำนานข้างต้นดูจะเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายและแอบที่จะมีกลิ่นอายของการเลือกปฏิบัติต่อ ‘นปุงสกะ’ ทั้งในสองส่วน แต่นี่ก็ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นการรับรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศของคนล้านนา และอาจเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันได้อีกทางหนึ่งว่าในอดีตของสังคมล้านนาเองก็มีความหลากหลายไม่ต่างจากในสมัยปัจจุบัน
ปู๊เมียล้านนา ในสายตาและบันทึกของนักเดินทางชาวต่างชาติ
ในบทความเรื่อง Pu Mia in Old Northern Thailand ของแอนดรูว์ แมตซเนอร์ (Andrew Matzner) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากจากมหาวิทยาลัยฮอลลินส์ (Hollins University) ที่เชี่ยวชาญด้านเพศศึกษา ได้รวบรวมบันทึกนักเดินทางชาวต่างชาติ จำนวน 3 คนที่เดินทางมายังล้านนาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติชุดแรกๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวและได้พบกับปู๊เมียแห่งล้านนา
คนแรก คาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวนอร์เวย์ ที่ได้เดินทางผ่านพื้นที่ของดินแดนล้านนา และตีพิมพ์เรื่องราวการเดินทางนี้ออกมาเป็นหนังสือเรื่อง Temples and Elephants: The Narrative of a Journey of Exploration Through Upper Siam and Lao หรือชื่อภาษาไทยคือ วัดวาอารามและช้าง: เรื่องเล่าการเดินทางสำรวจผ่านสยามตอนบนและลาว
อันที่จริง คาร์ล บ็อค ไม่ได้พบเห็นปู๊เมียด้วยตนเอง เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น ซึ่งในหนังสือของเขาก็ได้เขียนไว้ทำนองว่า “ผมได้ยินเรื่องกะเทยอีกหลายคนด้วย”
ทั้งนี้ ในงานต้นฉบับ คาร์ล บ็อคใช้คำภาษาอังกฤษว่า ‘hermaphodites’ ในประโยคดังกล่าว ซึ่งคำๆ นี้ในปัจจุบันหมายถึง ผู้ที่มีอวัยวะเพศสองเพศในคนเดียวกัน หากแต่ในยุคนั้นจะหมายถึงผู้ชายที่มีพฤติกรรมเป็นผู้หญิง ซึ่งก็คือปู๊เมียหรือกะเทย นั่นเอง
ต่อมาคือ โฮลต์ ฮอลเลตต์ (Holt Hallett) นักสร้างทางรถไฟในพม่า ซึ่งเดินทางมายังสยามและล้านนาในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2426 ถึง พ.ศ. 2433 เพื่อให้คำแนะนำแก่กษัตริย์สยามเรื่องการสร้างทางรถไฟ เขาได้เขียนหนังสือชื่อ A Thousand Miles on an Elephant in the Shan States หรือ บนหลังช้างพันไมล์ในรัฐฉาน พ.ศ. 2433 ที่กล่าวถึงการได้พยกับปู๊เมียในเมืองเชียงใหม่เอาไว้ว่า
“(ที่เชียงใหม่) ผมเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งเพื่อซื้อร่มแบบจีน เพราะร่มของผมมีสภาพย่ำแย่เกินกว่าจะใช้งาน และมีคนมาคอยบริการ โดยแต่งกายด้วยชุดผู้หญิงธรรมดาๆ ซึ่ง (คนๆ นี้) ดูเป็นผู้ชายมาก สูงมากกว่า 4 ฟุต 10 นิ้ว ซึ่งเป็นความสูงที่ผู้หญิงชาวฉานในเชียงใหม่ไม่กี่คนจะสูงขนาดนั้น เมื่อบอกกับ ดร. แมคกิลวารี เขาบอกผมว่าบุคคลดังกล่าวเป็นกะเทย (hermaphrodite) ว่าสิ่งประหลาดที่ผิดธรรมชาติ (nature’s freak) รูปแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศนี้ และคนดังกล่าวทั้งหมดต้องแต่งกายด้วยชุดสตรี”
แม้ถ้อยคำที่ โฮลต์ ฮอลเลตต์ เลือกใช้ในการกล่าวถึงปู๊เมียเมืองเชียงใหม่ที่บริการขายร่มให้แก่เขา จะมีนัยความหมายในทางลบ นั่นก็เพราะมองผ่านสายตาของฝรั่งขาวยุคโบราณที่รู้จักเพียงเพศหญิงและชายเท่านั้น แต่บันทึกของเขาที่ระบุว่า “รูปแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในประเทศนี้” ก็สะท้อนให้รับรู้ได้ว่าสังคมล้านนาในยุคนั้นมองว่าปู๊เมียหรือการเป็นกะเทยไม่ใช่เรื่องแปลก
และคนสุดท้าย คือ ดับเบิลยู.เอ.อาร์. วูด (W.A.R. Wood) ชาวอังกฤษที่ทำงานให้กับกงสุลบริเตน และได้บันทึกเรื่องราวของปู๊เมียหรือกะเทยภาคเหนือในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2477 – 2478 เอาไว้ในหนังสือเรื่อง Consul in Paradise โดยมีเนื้อความประมาณว่า
“ในภาคเหนือ (ของสยาม) มีผู้ชายจำนวนหนึ่งซึ่งมักจะมีนิสัยสวมใส่เสื้อผ้าผู้หญิงและไว้ผมยาว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดศีลธรรมอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเท่าที่ผมจะทราบ ปู๊เมีย (ชาย-หญิง) เหล่านี้อย่างที่ถูกเรียกกัน ก็ไม่เห็นจะมีความผิดแปลกอะไรในเรื่องศีลธรรม และผมได้ทราบว่ามาว่าในทางกายภาพ พวกเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ พวกเขาแค่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง ก็แค่นั้นเอง”
รวมถึงได้บันทึกเกี่ยวกับปู๊เมียที่ตนได้รู้จักไว้อีกว่า “เคยมีคนหนุ่มคนหนึ่งจากครอบครัวที่มีพื้นเพดีอาศัยอยู่ใกล้เราที่ลำปาง บางครั้งแต่งกายเป็นชาย บางครั้งแต่งกายเป็นหญิง และเชื่อกันโดยทั่วไปว่าในช่วงครึ่งแรกของแต่ละเดือนจะเป็นชายจริงๆ และในช่วงหลังๆ ครึ่งเดือนกลายเป็นผู้หญิง ผมไปทักทายเขา (หรือเธอ) บ่อยครั้ง และพบว่าเธอ (หรือเขา) เป็นคนนิสัยใจคอดีและสุภาพมาก แต่ผมไม่เคยคุ้นเคยมากพอที่จะหาเหตุผลมาถามเรื่องเพศของเขา (หรือเธอ) เป็นการส่วนตัว ในสายตาของผม เขาดูเหมือนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาน่าดึงดูดใจมาก แม้ว่าจะดูเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็ตาม เขาไม่ได้ไว้ผมยาว แต่เมื่อแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็ชอบตกแต่งศีรษะด้วยดอกไม้มาก”
และ “ปู๊เมียอีกคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักแตกต่างไปจากคนก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ด้วยความที่มีรูปร่างใหญ่โตและมีลักษณะความเป็นชายเป็นพิเศษ เขามักจะแต่งตัวเป็นผู้หญิง ผมยาว และส่งผลต่อกิริยาท่าทางให้ดูพิลึกและดูเสแสร้งเป็นที่สุด”
อย่างไรก็ตาม มีผู้วิเคราะห์บันทึกเกี่ยวกับปู๊เมียของ ดับเบิลยู.เอ.อาร์. วูด ไว้ว่า ไม่ว่าเขาจะกล่าวถึงปู๊เมียที่ทั้งดูเหมือนและไม่เหมือนผู้หญิงด้วยน้ำเสียงอย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนในบันทึกของเขาคือ การที่ล้านนายอมรับความหลากหลายทางเพศได้อย่างเป็นปกติมากกว่าสยาม ทั้งนี้ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะในขณะนั้นสยามกำลังเร่งสร้างประเทศ และพยายามที่จะ ‘ศิวิไลซ์’ ให้ได้อย่างเดียวกับฝรั่งขาวเจ้าอาณานิคม ซึ่งประเด็นเรื่องความแตกต่างของการยอมรับความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะปู๊เมียระหว่างล้านนาและสยาม ได้มีเนื้อความปรากฏอยู่ในบันทึกของดับเบิลยู.เอ.อาร์. วูด ดังนี้
“สยามภาคเหนือไม่เหมือนกรุงเทพฯ ผมไม่เคยเห็นชายหนุ่มผู้มีเกียรติที่เดินเตร่ในเมืองหลวงโดยแต่งตัวเหมือนผู้หญิง แต่ในสยามภาคเหนือมีคนเรียกว่าปู๊เมียอยู่ในทุกอำเภอ นี่ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนคุณหรือผม แต่กลับยืนกรานที่จะแต่งกายเหมือนผู้หญิง และมักคัดค้านที่จะทำงานผู้ของชาย แต่ที่พร้อมที่จะทำงานซักอบรีด เย็บผ้า หรือทอผ้า หรือทำอะไรก็ตาม อาชีพนี้มักจะกำหนดไว้ให้เป็นของผู้หญิง เท่าที่ผมทราบ พวกเขาไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร และไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้เลย”
ม้าขี่ปู๊เมียและความเคารพที่ได้รับเฉพาะที่ผามปะรำพิธี
ปัจจุบัน ปู๊เมียในสังคมล้านนาได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในงานบุญ หรือในกิจกรรมต่างๆ ทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการฟ้อนรำ การจัดดอกไม้ การทำพานพุ่มบายศรี ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีปู๊เมียเป็นแม่งานเสียส่วนใหญ่
แต่บทบาทที่สำคัญและน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของปู๊เมีย ซึ่งเป็นบทบาทที่มีมาตั้งแต่อดีตและยังสะท้อนสถานภาพของปู๊เมียในสังคมล้านนาได้ชัดเจน คือ การเป็น ‘ม้าขี่’ ในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย

ม้าขี่ หมายร่างทรงของผีต่างๆ โดยในวัฒนธรรมล้านนาก็มักจะหมายถึงผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเจ้านาย ผีเสื้อบ้าน ผีเเสื้อเมือง หรือผีอาลักษณ์ และหน้าที่ของม้าขี่คือการเป็นตัวกลางในการสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างผีกับคนธรรมดาเข้าด้วยกัน
โดยข้อมูลจากงานวิจัยของสุระ อินตามูล เรื่อง พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย: พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในล้านนา ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันม้าขี่ที่เป็นกะเทย หรือม้าขี่ปู๊เมีย มีสัดส่วนมากกว่าม้าขี่เพศอื่นๆ (หญิงและชาย) กล่าวคือ ถ้ามีม้าขี่ในปะรำพิธี จำนวน 10 คน ก็จะเป็นม้าขี่ปู๊เมียไปแล้วประมาณ 5 คน
การเป็นม้าขี่ในพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนล้านนาถือเป็นบทบาทที่พิเศษและสำคัญต่อปู๊เมีย เพราะหน้าที่หลักของบทบาทนี้ไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์ความบันเทิงอย่างที่เคย หากแต่เป็นการตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างผีและคนธรรมดาเข้าไว้ด้วยกัน และโดยความเชื่อแล้ว คนล้านนาจะถือว่าผีมีความสำคัญอย่างมากต่อการดำเนินวิถีชีวิต เปรียบได้กับเป็นผู้ชี้นำการใช้ชีวิตของผู้คน และเชื่อว่าหากไม่ปฏิบัติตามหรือไม่เชื่อฟังคำแนะนำของผี ก็อาจจะมีอันเป็นไป ดังนั้น การเป็นม้าขี่ในพิธีกรรมทรงผีเจ้านาย ก็อาจจะช่วยทำให้ปู๊เมียที่เป็นม้าขี่มีสถานภาพที่แตกต่างออกไปจาปู๊เมียอื่นๆ เพราะมีความพิเศษกว่าในแง่ที่ว่าได้รับเลือกจากผีเจ้านาย
แต่ทว่า ในบทความของ กิ่งแก้ว ทิศตึง เรื่อง ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ ซึ่งได้สัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียจำนวนหนึ่ง ทั้งที่เป็นม้าขี่รุ่นเก่าและใหม่ กลับได้มาซึ่งความเห็นที่น่าเศร้าใจว่า “แม้ตนจะได้รับความเคารพนับถือจากลูกเลี้ยง (ลูกศิษย์) แต่กลับรู้สึกว่าพวกเขาให้ความเคารพต่อผีเจ้านายที่ลงย่ำอยู่ มากกว่าที่จะเคารพตน ในฐานะบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศคนหนึ่ง”
กล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของการเป็นม้าขี่ปู๊เมียดูเหมือนจะเป็นการเปิดพื้นที่การแสดงออกทางเพศสภาพที่หลากหลาย ที่อาจพบเห็นได้ไม่ง่ายนักในสังคมอนุรักษ์นิยม แต่เอาเข้าจริงแล้ว เราอาจจะต้องให้ลึกลงไปกว่านั้น เพื่อที่จะได้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นว่า แท้จริงแล้วความหลากหลายทางเพศที่เคยเป็นเรื่องปกติในสังคมล้านนานั้น ปัจจุบันมีสถานภาพเป็นเช่นไร?
อ้างอิง
- พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย : พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา
- Pu Mia in Old Northern Thailand
- เปิดตำนาน ‘ปู๊เมีย’ กลุ่ม LGBT ยุคโบราณในล้านนาจากบันทึกของต่างชาติ

ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน