150 ปี เจ้าดารารัศมี จากเจ้าหญิงนครเชียงใหม่ สู่การเปิดประตูให้สยามคืบคลานเชียงใหม่

Date:

การสร้างความสัมพันธ์ผ่านการสมรสกันระหว่างเจ้าเมือง ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใช้สร้างอำนาจการปกครองในช่วงแรกของการครองราชย์ และในวันนี้ (26 สิงหาคม 2566) ถือเป็นวันคล้ายวันประสูตรของ “เจ้าดารารัศมี” หนึ่งในเจ้าเมืองที่อยู่ในกระบวนการเสริมสร้างอำนาจการปกครองดังกล่าวผ่านการเป็น “เมียโปลิซี” โดย Lanner จะขอหยิบยกประวัติของเจ้าหญิงแห่งนครเชียงใหม่คนนี้มาให้ทุกคนได้อ่านกัน 

เจ้าดารารัศมีประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2416 ณ คุ้มหลวง กลางนครเชียงใหม่ เป็นพระธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่และแม่เจ้าทิพเกสร (เทพไกรสร) ทรงได้รับการศึกษาจากพระชนกชนนีในเรื่องอักษรไทยเหนือและใต้เช่นเดียวกับกุลบุตรกุลธิดาในสมัยนั้น เมื่อเจ้าดารารัศมีทรงเจริญชันษาได้ 11 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าอินทวิชยานนท์จัดพิธีโสกันต์ พร้อมกับพระราชทานเครื่องโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้เจ้าดารารัศมีทรงในพิธีอีกด้วย เมื่อเจ้าดารารัศมีได้ตามเสด็จพระบิดาซึ่งเสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีลงสรงและเฉลิมพระนามสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมงกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าดารารัศมีถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในในฐานะเจ้าจอม เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 เจ้าดารารัศมีมีพระราชธิดาพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี แต่ทรงเจริญพระชันษาเพียง 3 ปีเศษ ก็ประชวรสิ้นพระชนม์

บทบาทที่สำคัญของเจ้าดารารัศมีในหน้าประวัติศาสตร์ คือการที่เธอมีส่วนในการปฏิรูปการปกครองในเมืองเชียงใหม่ หรือจะเรียกว่าเป็นการเปิดทางให้รัฐไทยเข้ามามีบทบาทในการปกครองเมืองเชียงใหม่ก็ไม่ผิดนัก ผ่านการถวายตัวเจ้าดารารัศมี ที่แม้จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2429 แต่เชื่อว่ามีการวางแผนการและเตรียมการต่างๆ ไว้นานแล้ว ทั้งฝ่ายเชียงใหม่และฝ่ายกรุงเทพฯ

ดังปรากฏว่า เจ้าดารารัศมีได้ไว้จุกตามขนบธรรมเนียมของกรุงเทพฯ และเมื่อมีพระชนม์ได้ 11 ชันษา รัฐบาลสยามจึงได้มีคําสั่งให้พระยาเทพประชุน (พุ่ม ศรีไชยันต์) ข้าหลวงใหญ่เมืองนครเชียงใหม่ จัดงานพิธีโสกันต์ (โกนจุก) แก่เจ้าดารารัศมี

ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี

การพิธีโสกันต์นี้รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระกุณฑลเป็นของขวัญ ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงวันศุกร์ เดือน 12 แรม 9 ค่ำ ปีมะแมเบญจศก จุลศักราช 1245 (23 พ.ย. 2426) พระราชทานไปยังพระยาราชสัมภารากร ให้อัญเชิญกระแสพระบรมราชโองการไปชี้แจงแก่พระเจ้าอินทวิชยานนท์และเจ้าทิพเกสร ซึ่งสร้างความเข้าใจโดยทั่วไปว่านั่นไม่ใช่เป็นแค่ของขวัญธรรมดา แต่หมายความถึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “หมั้นหมาย” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะไม่ใช่แบบอย่างประเพณีของเจ้านายฝ่ายเหนือ มีแต่เจ้าดารารัศมีพระองค์เดียวที่เข้าพิธีนี้อย่างราชประเพณีของเจ้านายในพระราชวงศ์จักรี ก่อนที่ 3 ปีถัดมาในพ.ศ. 2429 ก็มีการถวายตัวเจ้าดารารัศมี อย่างเป็นทางการ

พ.ศ. 2429 เป็นปีที่สยามเริ่มมีความมั่นคงทางการเมืองมากขึ้น ด้วยสาเหตุที่กลุ่มอํานาจเดิมเสียชีวิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกตําแหน่งวังหน้า และสถาปนาตําแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารแทน เมื่อมีงานสมโภชในวโรกาสสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าดารารัศมี มีพระชนม์ได้ 13 ชันษา ทรงติดตาม พระเจ้าอินวิชยานนท์พระบิดามาร่วมพระราชพิธีสมโภช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าดารารัศมีเข้ารับราชการฝ่ายใน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งมีความสําคัญต่อล้านนามาก เพราะถือว่าเป็นพระธิดาของเจ้าผู้ครองนครหรือเจ้าประเทศราชที่ราชสํานักสยามได้พยายามจูงใจเพื่อให้ยอมรับแบบแผนใหม่ๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติตามสนธิสัญญาเชียงใหม่ (Treaty of Chiangmai) ฉบับแรก พ.ศ. 2416 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2426 ที่สยามทํากับอังกฤษ

มิสเตอร์อาเชอร์ กงสุลอังกฤษในขณะนั้นกล่าวถึงการถวายตัวของเจ้าดารารัศมีว่าเป็น “Important step” เนื่องจากพระราชโอรสหรือพระราชธิดาที่ประสูติจะขึ้นเป็น “Rightful ruler” ของเมืองเชียงใหม่ และได้รับความเคารพอย่างสูงสุดเนื่องจากเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์จักรีพระองค์หนึ่ง

การเข้ารับราชการฝ่ายในของเจ้าดารารัศมี เริ่มต้นด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในพระราชอุปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ให้ประทับที่ “ห้องผักกาด” (พระที่นั่งดํารงสวัสดิ์ อนัญวงศ์) ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระตำหนักของพระองค์เป็นตำหนักขนาดใหญ่ก่ออิฐฉาบปูนสูง 4 ชั้น โดยสร้างแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกภายในตกแต่งด้วยไม้สักที่ส่งมาจากเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังโปรดให้นำวัฒนธรรมล้านนาไปใช้หลายประการ ด้วยพระเจ้าอินวิชยานนท์ต้องการให้พระธิดามีพระเกียรติสมฐานะเจ้านายเมืองเชียงใหม่ มิใช่ “อีลาว” ดังที่มีการซุบซิบนินทาในราชสำนักฝ่ายใน การนี้รัชกาลที่ 5 ทรงไม่ขัดข้องใดๆ มีเพียงข้อทักท้วงว่าเจ้าดารารัศมี “ใช้เงินเป็นเบี้ย” และทรงเรียกเจ้าดารารัศมีเป็นการส่วนพระองค์ว่า “เมียโปลีซี”

ภาพ: ธันยชนก อินทะรังษี

พ.ศ. 2432 เจ้าดารารัศมีขณะมีพระชนม์ 16 ชันษา ประสูติพระราชธิดา รัชกาลที่ 5 พระราชทานนามว่า “พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี” แปลว่าผู้ประเสริฐไม่มีมลทินของเมืองเชียงใหม่ ขณะเดียวกันก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศจากเจ้าจอม เป็น “เจ้าจอมมารดา”

อ้างอิง

พื้นที่สื่อสาร สังคมประชาธิปไตย ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

Lanner Editor
Lanner Editor
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...

คนฮอดเดือดร้อน น้ำหนุนจากเขื่อนภูมิพลท่วมซ้ำทุกสิบปี พืชผลทางการเกษตรเสียหายยกสวน

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 สถานการณ์น้ำหนุนในพื้นที่ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณสะพานจามเทวี...