วิถีชีวิตชุมชนลาวเวียงจันทน์ ผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านฆ้อง ตำบลบ้านฆ้อง  อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

Date:

Lanner เปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยากสื่อสาร โดยความคิดเห็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ สามารถส่งมาได้ที่ lanner.editor@gmail.com

เรื่อง: ทวิตรา เพ็งวัน,ปวีณา  บุหร่า

บทนำ

บทความชิ้นนี้มุ่งศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้อง ตำบลบ้านฆ้อง              อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี กับวิถีชีวิตชุมชนลาวเวียงจันทน์ พบว่าจิตรกรรมที่วัดแห่งนี้เป็นภาพจิตรกรรมที่วาดโดยช่างสกุลพื้นบ้าน โดยสันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่เขียนเล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา พุทธชาดก สอดแทรกและสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้ในชุมชนยังมี      วิถีชีวิต ประเพณี พิธีกรรมสำคัญที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนัง เช่น ประเพณีสารทลาว             พิธีบุญเบิกบ้าน ความเชื่อการให้ความเคารพศาลปู่ตา ศาลเจ้านาย การบนบาน พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชีพ           การประกอบอาชีพ ลักษณะบ้านเรือน อาหารและการรักษาโรคที่มีความสำคัญต่อผู้คนในชุมชน และได้สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษทามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ประเพณี พิธีกรรมให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้วิถีชีวิต ประเพณี พิธีกรรมของคนในชุมชนบ้านฆ้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่วนใหญ่อาจเป็นผลมาจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม เส้นทางการคมนาคมและนโยบายของภาครัฐที่ได้เข้ามามีส่วนที่ทำให้วิถีชีวิต ประเพณี พิธีกรรมของชุมชนบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงกระนั้นชาวบ้านในชุมชนยังคงรักษา วิถีชีวิต ประเพณีและสืบทอดมาสู่รุ่นต่อรุ่น

การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์กระแสหลักที่อิงอยู่กับประวัติศาสตร์มหาบุรุษโดยละเลยการศึกษาประวัติศาสตร์จุลภาค หรือประวัติศาสตร์สังคมที่เน้นการศึกษาเรื่องราว และวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศ ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การอพยพตั้งถิ่นฐาน ตลอดจนรวมไปถึงเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณีพื้นถิ่น ที่มีความสำคัญต่อการสร้างประวัติศาสตร์ในแต่ละชุมชนแหล่งข้อมูลเพื่อศึกษาที่จำเป็นต้องศึกษาจากคำสัมภาษณ์ของชาวบ้าน ภาพถ่าย และภาพจิตรกรรม เนื่องจากภาพจิตรกรรมมักจะสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนในด้านต่าง ๆ ไว้อย่างน่าสนใจผ่านการวาดภาพที่ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรม

ภาพจิตรกรรมมีความสำคัญอย่างหนึ่งในการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านศิลปะการวาดภาพเพื่อสื่อถึงความเป็นชุมชน และยังเกี่ยวข้องในเรื่องของความศรัทธาเพื่อจุดมุ่งหมายที่หวังเป็นผลบุญกุศลของช่างผู้เขียนและชาวบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความเจริญของประเทศชาติและชุมชน เป็นการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ และยังเป็นการแสดงถึงความเจริญในการสืบทอดพุทธศาสนาโดยจุดมุ่งหมายของการเขียนภาพจิตรกรรม คือ ประโยชน์ในเชิงประวัติศาสตร์ที่ได้มีการบันทึกเรื่องราวในอดีตไว้ในแง่มุมต่าง ๆ เรื่องแสดงการเป็นเชื้อชาติซึ่งผู้วาดมักจะถ่ายทอดลักษณะท้องถิ่นนิยมหรือชาตินิยมของคนในสังคมนั้น ๆ      ลงไปผ่านรูปร่างท่าทางหน้าตา เครื่องแต่งกาย ที่บ่งบอกถึงความเป็นเชื้อชาตินั้น

การศึกษาเรื่องราวทางประเพณีที่เป็นประเพณีสมัยเก่าที่ปรากฏอยู่ในจิตรกรรม เช่น ประเพณีการทำบุญ การเล่นรื่นเริง และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังมักเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา เช่น  พุทธประวัติ พุทธชาดก แต่มักมีการสอดแทรกเรื่องราวของชุมชนและวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นหลักฐานที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน แต่ผู้ที่สนใจศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังมักจะสนใจศึกษาภาพจิตรกรรมจากวัดที่มีชื่อเสียงหรือวัดที่มีความสำคัญ ทำให้ภาพจิตรกรรมที่อยู่ในวัดเล็ก ๆ ถูกละเลยจนทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้เกิดความเสียหายหรือชำรุดก่อนที่จะมีการศึกษาเก็บข้อมูล เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้อง ตำบลบ้านฆ้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งวัดบ้านฆ้องตั้งอยู่ในชุมชนลาวเวียงจันทร์ โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ศาลาการเปรียญเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา คือ พุทธประวัติ พุทธชาดก นอกจากนี้ยังปรากฏสอดแทรกภาพวิถีชีวิตในด้านต่าง ๆ ของชาวบ้าน (ชุมชนลาวเวียงจันทน์) จากการสำรวจพบว่าการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังบนศาลาการเปรียญที่วัดบ้านฆ้องจัดเป็นภาพจิตรกรรมสกุลช่างพื้นบ้านและได้ปรากฏการวาดภาพเขียนลายรดน้ำ ภาพผงมุก และภาพเขียนสีฝุ่นซึ่งเป็นจิตรกรรมที่เกิดโดยช่างชาวบ้านในท้องถิ่นหรือช่างจากที่อื่นเป็นผู้สร้างจึงมีลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดแบบเรียบง่ายมีอิสระ แสดงประเพณีนิยมของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษเกี่ยวกับความคิดและจิตใจของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น ๆ

จากการลงเก็บข้อมูลเบื้องต้นพบว่าชุมชนลาวเวียงจันทน์ที่บ้านฆ้องยังมีการสืบสานวิถีชีวิต ประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับภาพจิตรกรรมฝาผนังและยังมีอีกหลายประเพณีและพิธีกรรมที่ไม่ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมซึ่งล้วนแต่เป็นพิธีกรรม ความเชื่อที่สำคัญต่อชุมชนที่มีการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและยังเป็นการ แสดงให้เห็นถึงความเป็นวิถีชีวิต ความเชื่อท้องถิ่นดั้งเดิมของชุมชนลาวเวียงจันทน์ที่มีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบันแต่ผู้คนในชุมชนก็ยังคงรักษาพิธีกรรม ประเพณีและความเชื่อไว้แต่ก็ มีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสังคมในปัจจุบัน

ประวัติวัดบ้านฆ้อง ตำบลบ้านฆ้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

เมื่อต้นรัชกาลที่ 1 ในตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีครอบครัวลาวครอบครัวหนึ่งได้เดินทางอพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ประเทศลาว โดยการนำของภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระอาจารย์มะนาวเชี่ยว เป็นพระทรงคุณพิเศษมีปัญญาสามารถรู้ภาษานกได้ และสามารถท่องมนต์คาถาบทหนึ่ง ได้เร็วมากชั่วปาดมะนาวขาดเท่านั้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า พระอาจารย์มะนาวเชี่ยว เวลานอนจำวัดไม่ใช้หมอนแต่ใช้ผลมะพร้าวแห้งหนุนศีรษะ ได้พาญาติโยมขึ้นช้างเดินทาง   มาด้วยกัน 4 คน คือ 

1.พระอาจารย์มะนาวเชี่ยว เป็นผู้นำทาง

2.โยมชายไม่ปรากฏนาม เป็นผู้บังคับช้าง

3.โยมหญิงชื่อผู้เฒ่าก้อ 

4.นางประทุมมา เป็นคนทรงเจ้า 

ทั้ง 4 คนนี้สันนิษฐานว่าคงเป็นเครือญาติกันและได้นำตู้ใส่พระคัมภีร์ไวยากรณ์เป็นอักษรขอมลาวจารึกในใบลานมาด้วย 2 ตู้ (ขณะนี้ยังมีหลักฐานอยู่บนกุฏิวัดบ้านฆ้อง) ได้มาพักอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าปู่ตา ซึ่งอยู่ห่างจากวัดบ้านฆ้องไปทางทิศเหนือประมาณ 500 เมตร เมื่อท่านมาพักที่นี่แล้วญาติโยมก็ออกแสวงหาอาหารพืชผักผลไม้บริเวณใกล้ ๆ ที่พัก ซึ่งเป็นดงไม้เบญจพรรณธรรมชาติมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น วันหนึ่งจึงได้มาพบวิหารเล็ก ๆ อยู่หลังหนึ่งรูปร่างคล้ายโบสถ์ ภายในวิหารมีพระพุทธรูปศิลาประดิษฐานอยู่            บริเวณรอบ ๆ วิหารมีซากโบราณวัตถุปลักหักพัง  พืชพันธุ์ไม้ปกคลุมอยู่ทั่วไปมีสภาพคล้ายกับเป็นวัดร้าง โดยเฉพาะมีต้นตะเคียน ต้นพิกุลใหญ่หลายต้นมีอายุหลายชั่วอายุคนมาแล้วขึ้นอยู่มากมาย วัดร้างนี้ไม่มีใครทราบประวัติ พระอาจารย์มะนาวเชี่ยวได้ทราบข่าวจึงได้มาตรวจดูสถานที่เห็นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมเป็นรมณียสถานที่ร่มรื่นเป็นที่อยู่อาศัยของวิหกนกกาทั้งหลายจึงได้พาญาติโยมมาพักอาศัยที่วัดร้างนี้ โดยย้ายที่พักจากศาลเจ้าปู่ตามาบูรณะซ่อมแซมทำเป็นที่อยู่อาศัย ครั้นอยู่มานานเข้าก็ได้มีครอบครัวลาวที่อพยพมาทีหลังได้เข้ามาอยู่สมทบเรื่อย ๆ จนปรากฏว่ามีประชาชนมาอยู่มากขึ้นทุกทีจึงได้เกิดการขาดแคลนข้าวปลาอาหารน้ำดื่มน้ำใช้พระอาจารย์มะนาวเชี่ยวจึงได้พาญาติโยมและประชาชนทำการขุดสระขังน้ำเป็นสระขนาดใหญ่ขึ้นทางทิศตะวันตกของวัดในขณะที่ทำการขุดอยู่นั้นปรากฏว่าได้พบฆ้องใหญ่มหึมาจมดินอยู่ใบหนึ่ง ประชาชนที่ขุดต่างก็ดีอกดีใจช่วยกันขุดเป็นการใหญ่ จนกระทั่งขุดขึ้นมาทำการเช็ดล้างและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ได้นำมาแขวนไว้ที่กิ่งต้นพิกุลใหญ่เท่าวงล้อเกวียนสมัยโบราณเนื้อคล้ายทองสัมฤทธิ์ พระอาจารย์มะนาวเชี่ยวและประชาชนจึงได้ตั้งชื่อวัดร้างนี้ว่า วัดบ้านฆ้อง เป็นมงคลนามมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ประชาชนในท้องถิ่นมีขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมเหมือนไทยภาคอีสานทุกประการ

ปัจจุบันวัดบ้านฆ้องกลายเป็นสถานที่ทางศาสนาที่เป็นศูนย์กลางของคนในชุมชนบ้านฆ้องและเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตรในวันสำคัญต่าง ๆ การประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ ได้แก่ พิธีการแก้ห่อข้าวหรือสารทลาว พิธีเบิกบ้าน เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านให้การเคารพนับถือและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ซึ่งในทุกวันพระหรือวันสำคัญทางพุทธศาสนาชาวบ้านจะไปทำบุญตักบาตร และปฏิบัติธรรมที่วัด รวมไปถึงการจัดกิจกรรมหรือการให้ความรู้ของหมู่บ้านส่วนใหญ่จัดที่ศาลาอเนกประสงค์เนื่องจากชาวลาวเวียงจันทร์นับถือพุทธศาสนาทำให้ชาวบ้านมีความรู้สึกคุ้นเคยกับวัด ผู้เฒ่าผู้แก่จะพาลูกหลานไปทำบุญหรือไปร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในวัดทำให้ลูกหลานเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับวัดเสมือนเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในปัจจุบันชาวบ้านฆ้องยังพูดภาษาลาวอยู่

ภาพชีวิตผ่านจิตรกรรม

เรื่องราวภาพจิตรกรรมฝาผนังยังมีการบันทึกเรื่องราวของคนในชุมชนลาวเวียงจันทน์ผ่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏอยู่ศาลาการเปรียญซึ่งผู้วิจัยจะนำเสนอต่อไป

ชุมชนบ้านฆ้องมีวัดเก่าซึ่งมีภาพจิตรกรรมที่ปรากฏอยู่ในศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้องจากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่าภาพที่ปรากฏในศาลาการเปรียญแบ่งการเขียนภาพออกเป็น 2 แบบ คือ ภาพสีฝุ่นและ       ลายรดน้ำซึ่งภาพลายรดน้ำโดยเนื้อหาในภาพจิตรกรรมที่ผู้วิจัยค้นพบประกอบไปด้วย 3 หมวด ได้แก่ เรื่องพุทธประวัติ ทศชาติชาดก และมีการแทรกภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวกับพุทธประวัติปรากฏอยู่ที่คอสองชั้นกลางกับชั้นล่างประกอบไปด้วยเรื่อง 16 เรื่อง ได้แก่ วิวาหมงคลปริวรรต                    คัพภานิกขมนปริวรรต ลักขณปริคคาหกปริวรรต ราชาภิเษกปริวรรต มหาภินิกขมนปริวรรต ทุกรกิริยาปริวรรต พุทธบูชาปริวรรต มารวิชัยปริวรรต โพธิสัพพัญญูปริวรรต พรหมัชเฌสนปริวรรต ธัมมจักกปริวรรต ยสบรรพชาปริวรรต อุรุเวลคมนปริวรรต  อัครสาวกบรรพชาปริวรรต กบิลวัตถุคมนปริวรรต และพิมพาพิลาปปริวรรต

ภาพจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทศชาติชาดกที่ปรากฏอยู่คอสองชั้นล่าง ประกอบด้วย เตมียชาดก              มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมีราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทกุมารชาดก พรหมนารทชาดก วิธูรชาดก เวสสันดรชาดก

นอกจากนี้ยังสอดแทรกวิถีชีวิตของผู้คนลาวเวียงจันทน์ในด้านต่าง ๆ เช่น สภาพความเป็นอยู่         การแต่งกาย ลักษณะบ้านเรือน ดนตรี การเล่น และยานพาหนะที่ทำให้เห็นถึงสภาพวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 6  เช่น 

รถยนต์ ในภาพจิตรกรรมฝาผนังปรากฏภาพรถยนต์ทั้งหมด 3  คัน คือ ภาพที่คอสองศาลา           เรื่อง พุทธประวัติ (วิวาหมงคลปริวรรต) เป็นภาพรถยนต์ที่ไม่มีการแบ่งห้องระหว่างคนขับกับห้องผู้โดยสารอย่างชัดเจน และมหาภินิกขมนปริวรรต เป็นภาพรถยนต์ขนาดเล็ก และเรื่องวิธูรชาดกเป็นภาพรถยนต์ที่มีการแบ่งห้องระหว่างคนขับกับผู้โดยสารอย่างชัดเจน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรถเมล์นายเลิศที่มีในสมัยรัชกาลที่ 6

รถจักรยาน ในภาพจิตรกรรมปรากฏภาพรถจักรยาน เรื่องวิธูรชาดก และ เวสสันดรชาดก           (กัณฑ์นครกัณฑ์) โดยภาพรถจักยานที่ปรากฏจะเป็นรถจักรยานที่มีล้อหน้าใหญ่กว่าล้อหลัง มีบันไดถีบอยู่ตำแหน่งเดียวกับปัจจุบัน และมีสายโซ่โยงไปถึงเพลาล้อหลัง

เรือ ในภาพจิตรกรรมฝาผนังปรากฏภาพเรือชนิดต่าง ๆ เช่น เรือสำเภาที่ปรากฏอยู่ในเรื่องมหาชนกชาดก เรือบด ปรากฏอยู่ในเรื่องพระพุทธประวัติ  (วิวาหมงคลปริวรรต และอุรุเวลมนปริวรรต) ซึ่งเรือบดเป็นเรือที่ชาวบ้านนิยมใช้เดินทาง เรือโดยสารที่ปรากฏอยู่ในเรื่องพุทธประวัติ (วิวาหมงคลปริวรรต) เป็นภาพเรือโดยสารที่บรรจุผู้โดยสารจำนวน 5 คน มีหลังคาอยู่กลางเรือ โดยเรือโดยสารนี้มีต้นกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ 6  จากการริเริ่มของนายเลิศ

เกวียน  เป็นยานพาหนะที่เหมาะกับการเดินทางไกลที่มีเสบียงติดไปด้วย ใช้สำหรับบรรทุกสิ่งของหรือสินค้าไปขาย นอกจากนี้ชาวบ้านยังใช้เกวียนในการเดินทางไปมาตามที่ต่าง ๆ

นอกจากนี้ยังพบภาพบ้านเรือนที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังจะมีบ้านหลากหลายลักษณะ เช่น 

บ้านของเศรษฐี หรือบ้านที่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมเรื่องมโหสถชาดก  ปรากฏภาพบ้านของเศรษฐีมีการกั้นรั้วบ้านที่ชัดเจนตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวไม่มีใต้ถุน

บ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไป ปรากฏอยู่ในเรื่องเวสสันดรชาดก (กัณฑ์ชูชก) ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวมีใต้ถุนไม่สูงมากนักมีการต่อชายคาเป็นระเบียงยื่นออกมาหลังคามุงกระเบื้องหน้าจั่วตีบานเกล็ด บันไดทางขึ้นอยู่หน้าระเบียง โดยส่วนใหญ่บ้านเรือนจะอยู่เป็นหลักแหล่งเป็นหมู่บ้านและหันหน้าบ้านออกสู่เส้นทางคมนาคม

การแต่งกาย  ในภาพจิตรกรรมปรากฏภาพการแต่งกายของชาวบ้าน ขุนนางต่าง ๆ และการแต่งกายของชาวต่างชาติ  คือ ชาวจีน ปรากฏภาพชาวจีนแต่งกายไว้ผมเปียยาว ไม่สวมเสื้อ ใส่กางเกง คาดผ้าที่เอวและมีหมวกโก้ยโล้ย หรือ กุ้ยเล้ย เหตุที่ปรากฏภาพชาวจีนในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านฆ้องเป็นผลมาจากอพยพชาวจีนสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา ทำให้ชาวจีนอพยพมาในจังหวัดราชบุรีและเขตอำเภอโพธาราม โดยชาวจีนที่เข้ามาในโพธารามมีบทบาทอย่างมากตั้งแต่เป็นแรงงานกุลีจีนจนไปถึงเจ้าของกิจการ ประกอบกับโพธารามเป็นแหล่งชุมชนขนส่งสินค้าที่ติดกับเส้นทางรถไฟ  ทางถนน และทางน้ำ (แม่น้ำแม่กลอง) ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนบริเวณใกล้เคียง คือ ชุมชนชาวไทย ชาวมอญ และชาวลาว จึงเป็นปรากฏภาพชาวจีนในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านฆ้อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการติดต่อทางการค้า และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในการแต่งกาย ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถระบุว่าในภาพจิตรกรรมปรากฏชาวต่างชาติอื่น ๆ อีกหรือไม่เนื่องจากเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมทางการแต่งกายระหว่างกัน

การดื่มชา ในภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ปรากฏภาพการดื่มชา อยู่ในเรื่องมหาชนกชาดกเป็นภาพ       ขุนนางทั้ง 8 คนนั่งอยู่หน้าพระมหาชนก บนโต๊ะมีกาน้ำชาอยู่ 2 ชุด การดื่มชาถูกนำเข้ามาจากชาวจีน มีการชนน้ำชารับแขก การปฏิเสธ  ไม่ดื่มชาในสยามถือว่าไม่มีมารยาทต้องนั่งดื่มเมื่อได้รับการเชื้อเชิญ

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเบื้องต้น และการสันนิษฐานพบว่า เมื่อก่อนชาวบ้านในชุมชนบ้านฆ้อง อาจจะมีการดื่มชากันเนื่องจากชุมชนบ้านฆ้องอยู่ใกล้กับชุมชนโพธารามซึ่งมีชาวจีนเชื้อสายต่าง ๆ อาศัยอยู่ ได้แก่ ชาวจีนแต้จิ๋ว  จีนไหหลำ ทำให้เกิดการติดต่อทางด้านวัฒนธรรมได้ง่ายรวมทั้งการดื่มชา

การสูบฝิ่น ในภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ปรากฏภาพการสูบฝิ่นในเรื่องเวสสันดรชาดกซึ่งเป็นภาพชาวบ้านชายนั่งสูบฝิ่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน เหตุที่ปรากฏภาพสูบฝิ่นบริเวณหน้าบ้านในภาพจิตรกรรมฝาผนัง เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 6 ฝิ่นถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถึงจะมีการรณรงค์ไม่ให้มีคนเสพฝิ่นเพิ่มและรัฐบาลจะปราบปรามเฉพาะฝิ่นเถื่อนทำให้การสูบฝิ่นนั้นเป็นไปอย่างเปิดเผยและไม่ผิดกฎหมาย 

นอกจากนี้ยังมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนบ้านฆ้องที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาการเปรียญอีกหลายวิถีชีวิต ประเพณีพิธีกรรม ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลทำให้ผู้ศึกษาได้ทราบถึงวิถีชีวิต ประเพณีพิธีกรรมของคนในชุมชนที่ได้มีการสืบทอดและรักษาจนมาถึงปัจจุบันทามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านในชุมชนได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับกาลเวลา

(ภาพผังจิตรกรรมฝาผนัง)

วิถีชีวิตของคนชุมชนลาวเวียงจันทน์ ตำบลบ้านฆ้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี

วิถีชีวิตของคนในชุมชนบ้านฆ้องสัมพันธ์อยู่กับการเกษตร การทำนา และการอาชีพเกี่ยวกับการทอผ้า การทำที่นอนต่าง ๆ เนื่องจากวิถีชีวิตของคนในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่อิงกับธรรมชาติทั้งในด้านการทำการเกษตร การประกอบอาชีพ การทำหัตถกรรม และบรรพบุรุษสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ชาวบ้านนับถือทำให้วิถีชีวิตประเพณี และพิธีกรรมมีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ และบรรพบุรุษ กับคนในชุมชนบ้านฆ้องที่ชาวบ้านได้นับถือ และทามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมและกาลเวลาทำให้ชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคมในปัจจุบันทำให้บางวิถีชีวิตและพิธีกรรมบางอย่างมีความเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต 

พิธีกรรม/ประเพณี/ความเชื่อ

ประเพณีสารทลาว (แก้ห่อข้าว)  จัดขึ้นในเดือนสิบกลางเดือน เหตุที่ทำในเดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำของทุกปี เนื่องจากชาวลาวเวียงจันทน์มีความเชื่อว่าในเดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่ดวงวิญญาณถูกปลดปล่อยจากขุมนรกหรือสวรรค์ ให้มารับส่วนบุญจากลูกหลาน “…ประเพณีสารทลาวมีมาอย่างยาวนาน มีการทำขนมกระยาสารท อาหาร ข้าว และผลไม้แล้วนำไปใส่ใบตองแล้วนำไปทำบุญที่วัดตอน 11 นาฬิกา ในช่วงเช้ามีการทำบุญใส่บาตรเมื่อพระฉันท์เพลชาวบ้านก็จะนำข้าวที่ห่อมาจากบ้านลงไปแก้ที่ธาตุกระดูกที่บรรจุกระดูกบรรพบุรุษหรือนำโกศที่เก็บอัฐิอยู่บ้านมาที่วัดเพื่อทำพิธีตามประเพณี เพื่อส่งข้าวปลาอาหารให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และมีการบังสุกุลให้กับปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษที่เสียชีวิต เมื่อแก้ห่อข้าวเสร็จก็จะมีการกรวดน้ำ ในขณะเดียวกันก็จะห่อใบตองขนาดเล็กตามจำนวนที่นาของตนเองแล้วนำไปให้พระทำพิธี พอเสร็จพิธีก็นำใบตองไปไว้ตามที่นาของตนและบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง แม่นาธรณี เพื่อขอให้ข้าวงอกงามตามที่หวัง…” แต่ปัจจุบันมีการนำอาหารใส่ถาดหรือปิ่นโตแทนการห่อใบตองและไม่ต้องรอทำพิธีอยู่ที่วัดจนถึงเวลา 11 นาฬิกา เมื่อถึงเวลาทำพิธีแก้ห่อข้าวลูกหลานก็จะมารวมตัวกันที่บริเวณธาตุเพื่อทำพิธี

พิธีแก้ห่อข้าว ถือเป็นวันรวมญาติของชาวลาวเวียงจันทน์ เนื่องจากลูกหลานญาติพี่น้องจะมารวมกันเพื่อทำพิธีแก้ห่อข้าว

พิธีบุญเบิกบ้าน จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมของทุกปี ทำพิธีที่บริเวณศาลเจ้านาย และมีการปั้นหุ่นทำจากดินเหนียวหรือดินน้ำมันตามจำนวนสมาชิกในแต่ละบ้านและสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะวัว ผู้หญิงจะมีการนุ่งผ้าใส่เสื้อมีการนำเศษผ้ามาทำเป็นสไบหรือผ้าแพร เมื่อปั้นครบตามจำนวนสมาชิกในบ้านแล้วก็จะนำไปใส่ในกระทงกาบกล้วยรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ภายในกระทงกาบกล้วยจะประกอบไปด้วย ธูป ดอกไม้ ข้าวสาร พริกแห้ง หอม และเงินตามธรรมเนียม ( ซึ่งคล้ายคลึงกับการเซนไหว้ ) นำไปไว้รวมกันที่บริเวณศาลเจ้านายตอน 10 นาฬิกา หลังนั้นจะมีคนทรงมารำถวายและประกอบพิธี  พิธีบุญเบิกบ้านทำเฉพาะหมู่บ้านลาว หมู่ที่ 1 หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 10 ซึ่งพิธีเบิกบ้านเปรียบเสมือนการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาให้กับสมาชิกในครัวเรือนและหมู่บ้าน ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากหมู่บ้าน “…นอกจากนี้ขอให้ช่วยปกปักรักษาดูแลผลผลิตทางการเกษตร ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ให้ชาวบ้านในหมู่บ้าน และสัตว์เลี้ยงอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข…”

ปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนบ้านฆ้องได้มีการปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการทำพิธี คือ การใช้ดินน้ำมันแทน        ดินเหนียว เนื่องจากดินเหนียวในปัจจุบันหาได้ยาก ซึ่งพิธีเบิกบ้านเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนในชุมชนให้ความ เคารพและนับถือศาลเจ้านาย เพื่อให้ศาลเจ้าหน้าค่อยปกป้องดูแลชุมชนและครอบครัวของตน

ศาลเจ้านาย/ศาลปู่ตา  ศาลปู่ตา  มีความสำคัญต่อหมู่บ้าน เวลาเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ลมแรง ฟ้าผ่า ลมพายุ ชาวบ้านจะไหว้อธิษฐานเรียกชื่อศาลปู่ตา ว่า เจ้าผล่าผาแดง แม่นางแตงอ่อน แม่โพธิ์ใต้น้ำ  ส่วนศาลเจ้านายมีหน้าที่ปกป้องหมู่บ้าน บนบานศาลกล่าวขอให้ประสบความสำเร็จต่างๆ เมื่อคำขอสำเร็จก็ไปแก้บนตามที่ได้กล่าวไว้

ทั้งศาลปู่ตาและศาลเจ้านายเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพสักการะของคนในหมู่บ้านเปรียบเสมือนเป็นศาลกลางบ้าน โดยเชื่อว่าการสร้างศาลปู่ตาศาลเจ้านายนั้น เกิดจากการที่ชาวลาวเวียงจันท์ย้ายอพยพถิ่นฐานมาจากลาวเวียงจันท์ซึ่งเป็นช่วงสงครามการนำปู่ย่าตายายที่ไม่แข็งแรงและเจ้านายที่ถูกเข่นฆ่ามาด้วยนั้นไม่สามารถทำได้ จึงได้มีการตั้งศาลกลางบ้านขึ้น เรียกว่า ศาลปู่ตาเจ้านาย โดยมีการอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษและเจ้านายที่เคารพที่ตกค้างจากเวียงจันท์มาสิงสถิตเพื่อปกป้องคุ้มครองลูกหลานและหมู่บ้าน

ความเชื่อเรื่องผีสาง /สิ่งลี้ลับ ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องผีปอบ เกิดจากการเข้าสิงสู่ของผีเร่รอนที่หิวโหย เลี้ยงโดยผู้มีอาคม          ไสยศาสตร์ บางครั้งก็เกิดจากคนที่เล่นอาคมแล้วของนั้นกลับเข้าสู่ตัวเองเพราะผิดครูหรือคนที่ขึ้นราคาค่ายกครูแพงขึ้น การสังเกตอาการของคนที่จะเป็นปอบจะมีอาการอยากกินของแปลกๆหรือของแสลง เช่น ไส้หมู ไส้ไก่ กินของสด นอกจากนี้ยังเชื่อเกี่ยวกับ  ผีกระสือ มีลักษณะเหมือนหิ่งห้อย โดยผีกระสือถ้าใครเห็นหน้าตาของผีกระสือผีกระสือก็จะตามไปหลอกที่บ้าน ผีกระสือมักจะลอยไปหากินไส้วัว หรือกินสิ่งสกปรกตามทุ่งนา และบริเวณป่า ในปัจจุบันความเชื่อเรื่องผีปอบยังมีอยู่ในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจะเล่าเกี่ยวกับผีปอบผีกระสือให้ลูกหลานฟังเหมือนเป็นการเล่านิทานให้กับลูกหลาน “… สมัยก่อนถ้าคนไหนในหมู่บ้านเริ่มมีอาการป่วยหรือไม่สบาย ผีปอบก็จะมาตามเพื่อรอเข้าร่างกินไส้ของคนคนนั้น และคนคนนั้นจะมีอาการทำตัวแปลกไปจากเดิม บางคนก็อยากกินของดิบของสด เช่น ไส้หมู ไส้ไก่ บางคนก็แลบลิ้นปลิ้นตา การตามของผีปอบไม่ได้ตามแค่คนที่เป็นเท่านั้น ผีปอบยังติดตามไปกับลูกหลานของคนที่เป็นได้ด้วย หรือบ้านไหนที่มีเด็กอ่อนหรือพึ่งคลอดลูก ผีปอบชอบวนเวียนอยู่รอบ ๆ บ้านผู้เฒ่าผู้แก่จะนำเบี้ยแก้ หนามไผ่ มาวางบริเวณรอบ ๆ บ้าน โดย  ผีปอบจะไม่ชอบเสียงดัง หรือคนที่พูดเสียงดัง ทำให้เมื่อรู้ว่าใครที่เป็นหรือถูกผีปอบเข้าร่าง ชาวบ้านมักแช่งด้วยคำพูดที่รุนแรงเพื่อให้ผีปอบกลัว และให้พระ หมอผี คนทรงมาทำพิธีรักษา…”

นอกจากนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ยังใช้ผีสางเป็นเครื่องมือในการควบคุมเด็กให้เชื่อฟัง และปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนเย็น ๆ ไม่อย่างนั้นจะถูกผีปิดตา หรือถูกผีลักตัวไป และเด็กที่ไม่ยอมนอนผู้เฒ่าผู้แก่ จะหลอกว่า ถ้าไม่นอนผีเป้า แมวเป้า ผีโพรง มาหา แสดงให้เห็นว่าได้มีการนำเรื่องผีสางมาเป็นเครื่องมือใน การควบคลุมบุคคลในชุมชม นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการที่คิดว่าใครเป็นผีปอบ หรือบุคคลที่ปฏิบัติตนแปลก ๆ  เช่น กินของดิบของสกปรก คนในชุมชนจะไม่พูดคุยด้วยไม่เข้าใกล้ ทำให้เกิดการกีดกันในสังคม

ลักษณะบ้านเรือนในชุมชน 

บ้านเรือน โดย “…บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้สองชั้น สร้างโดยไม้ตาลและไม้สน เหตุที่ใช้ไม้ตาล เนื่องจากไม้ตาลเป็นไม้เนื้อแข็ง และไม้สักไม้มะพร้าวนำมาแปรไสมุงกระเบื้อง ลักษณะบ้านมีใต้ถุนโป่งมีความ สูงไม่มากนัก ในสมัยก่อนการสร้างบ้านต้องถมดินให้แน่โดยจะขุดดินบริเวณใกล้ ๆ บ้านแล้วใช้บุ้งกี๋หาบดิน  จากนั้นก็นำไม้ตาลมาถากเป็นแผ่นตามขนาดที่ต้องการหรือเรียกอีกอย่างว่า การแปร(ไสไม้ขนาดยาว) เช่น  ถากขนาดหน้า 6 หน้า 5 และ หน้า 4 โดยส่วนใหญ่ในการสร้างบ้านนิยมใช้ขนาดหน้า 6 และลักษณะบนบ้าน เป็นห้องโถงขนาดใหญ่อยู่กลางบ้าน มีห้องนอน ถัดไปด้านหลังจะเป็นห้องครัว…” 

ลักษณะบ้านเรือนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเครือญาติใช้รั้วเดียวกันในการกำหนดเขตพื้นที่บ้าน ซึ่งเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องมโหสถชาดกและเรื่องเวสสันดรชาดกที่ลักษณะบ้านเรือนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ล้อมด้วยรั้วเดียวกัน ส่วนในเรื่องเวสสันดรชาดกเป็นภาพบ้านเรือนของชาวบ้าน ที่มีลักษณะบ้านเป็นชายคายื่นออกจากตัวบ้าน ใต้ถุนโปร่งไม่สูงมากนัก ปัจจุบันบ้านเรือนในชุมชนบ้านฆ้องมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากขึ้น แต่ยังรักษาโครงสร้างเดิมของบ้านไว้ โดยปรับเป็นบ้าน 2 ชั้นที่ชั้นบนเป็นไม้ชั้นล่างเป็นปูน

การแต่งกาย

ผ้าถุง เมื่อก่อนชาวบ้านจะนิยมทอผ้าถุงไว้ใช้เองในครัวเรือนโดยผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าถุงส่วนผู้ชายนิยมนุ่งผ้าขาวม้าหรือนำมาคาดไว้ที่เอว ซึ่งสมัยก่อนนิยมปลูก หม่อนไหมเพื่อที่จะนำไหมมาใช้ทอผ้าต่อมานำไหมไปต้มและล้างน้ำหลังจากนั้นนำไหมไปย้อมสีตามที่ต้องการ การทอผ้าจะทอด้วยมือโดยใช้กระสวยสอดไหม ลายของผ้าถุงคล้ายกับลายในปัจจุบัน

ดนตรี/การละเล่น  

เพลงกล่อมเด็ก  ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนลาวเวียงจันท์ที่บ้านฆ้องได้มีบทเพลงกล่อมเด็ก ไว้ใช้ในการกล่อม ลูกหลานของตนในช่วงเวลานอน

“…นอนซาเด้อหลับตาซาเด้อ นอนซาเด้อ…แม่ไปไฮ่เก็บไข่มาหา แม่ไปนาเก็บหมกไข่ปลามาป้อน ตื่นขึ้นแล้วฮ้องกินนม…โอละเฮ่ นอนซาเด้อ หลับตาซาเด้อ…”

เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่จะเป็นผู้ที่เลี้ยงดูหลานและในอดีตครอบครัวนิยมมีลูกหลานเยอะให้พี่คนโตต้องมีหน้าที่เลี้ยงน้องช่วยพ่อแม่เวลาที่พ่อแม่ออกไปทำไร่ ทำนา นอกจากนี้เพลงกล่อมเด็กยังสะท้อน    วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชุมชนบ้านฆ้องในอดีตที่มีความเรียบง่ายไม่ค่อยมีความพิถีพิถันในชีวิตเนื่องจากชาวบ้านประกอบอาชีพการเกษตรเป็นหลักทำให้ต้องเร่งรีบไปนาและอาหารส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์    พืชต่าง ๆ ที่หาได้ตามแหล่งน้ำและทุ่งนา

เครื่องใช้ต่าง ๆ 

ครกตำข้าว สาก  ใช้สำหรับตำข้าว โดยจะเริ่มสีข้าวจากเครื่องสีที่ทำจากไม้ตอก ซึ่งการตำข้าวมีการทำมานานแล้ว“…ในตอนนั้นคุณ ก็ได้เริ่มตำข้าวตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ในสมัยนั้นคนในระแวกหมู่บ้านก็ใช้ครกตำข้าวกันเป็นปกติทุกบ้าน แต่พอมาถึงช่วงหลังผู้คนในหมู่บ้านก็ค่อย ๆ เลิกตำข้าวด้วยครกแต่เปลี่ยนไปใช้บริการโรงสีข้าวแทนการตำข้าวเอง…”เมื่อโรงสีเริ่มเข้ามาทำให้ชาวบ้านไม่นิยมตำข้าวเองเนื่องจากการตำข้าวใช้เวลานานและต้องใช้แรงงานคน ซึ่งในภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ปรากฏการการใช้ครก สากในการตำข้าว                       

นอกจากนี้ยังมี กระด้ง กระบุง หาบและคานหาบ ไว้ใช้สำหรับใส่อาหาร สิ่งของต่าง ๆ ในปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนก็ยังมีการใช้เครื่องใช้เหล่านี้อยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องมโหสถชาดกและเรื่องเวสสันดรชาดก ซึ่งทั้งสองภาพเป็นภาพที่ชาวบ้านกำลังตำข้าว และภาพหญิงสาวกำลังแบกคานหาบ

การบริโภคหมาก  ในสมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินหมาก “…เมื่อก่อนผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินหมากกัน และปลูกต้นพลูไว้กินกับหมากมีตะบันหมากไว้ตำ…” โดยอุปกรณ์การตำหมากจะใส่ไว้ในตะกร้าหรือกระบุงเพื่อความสะดวกในการหยิบจับและพกพา 

ปัจจุบันในชุมชนไม่มีการบริโภคหมากแล้วเนื่องจากค่านิยมเรื่องการบริโภคหมากที่แสดงถึงความ              ไม่สุภาพและไม่ทันสมัยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไม่ให้มีการกินหมากและค้าขายหมากโดยออกรัฐนิยมฉบับที่ 10 ที่ว่าด้วยเรื่องเครื่องแต่งกายของประชาชนและการห้ามกินหมากมีประกาศใช้กฎหมายในปี พ.ศ.2482 มีการสั่งห้ามขายหมากพลู ห้ามทำสวนหมาก และสวนพลู มีการสั่งให้ตัดต้นหมากและต้นพลูทิ้ง เพราะเห็นว่าการบ้วนน้ำหมากในราชการจะทำให้พื้นสกปรกและฟันดำทำให้ดูไม่ดี รวมกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำให้ผู้ที่ยังบริโภคหมากเป็นกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน

การรักษาโรค

การกวาดยา  เป็นวิธีการรักษาโรคแบบโบราณ เป็นแพทย์แผนโบราณชนิดหนึ่ง ที่ชาวบ้านในชุมชนให้ความสำคัญกว่าการแพทย์สมัยใหม่ เนื่องจากการกวาดยาใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ตามบ้านเรือนมารักษาโภค หรืออาการเจ็บไข้ต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินในการรักษา “…การกวาดยานั้นจะเริ่มจากการฝนยาใส่ฝาหม้อดินเผาเมื่อผสมยาให้ละเอียดเข้ากันแล้วก็นำยาที่ฝนล้วงลงที่คอ และมีการเป่าคาถา ซึ่งการฝนยาจะฝนตามโรคหรืออาการของผู้ป่วย มีการผสมยาที่จะฝนต่างกัน เช่น ถ้ามีอาการท้องเสีย จะใช้เปลือกแคแล้วใส่เหล้าขาว ถ้ามีอาการไอ ใช้น้ำมะนาวกับเกลือแล้วนำมาฝนผสมกัน…” และการรักษาโรคด้วยความเชื่อที่สืบต่อกันมาโดยใช้สัตว์และพืชที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ใบพลูตำผสมเหล้าทาแก้ลมพิษ น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาแก้ฟกช้ำ ส่วนการรักษาที่ใช้สัตว์รักษาเป็นส่วนผสม เช่น จิ้งจก ตุ๊กแกย่างแก้ตานขโมยพุงโร ในอดีตการกวาดยาเป็นการรักษาที่นิยมมากโดยที่ผู้ใหญ่จะพาลูกหลานของตนไปกวาดยามากกว่าการไปหาหมอคลินิก แต่ในปัจจุบันการกวาดยาได้รับความนิยมน้อยลงจนแทบไม่พบเห็นการกวาดยาแล้ว

อาหาร 

วิถีชีวิตของชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ หรือหาปลาเป็นอาหารในการบริโภคไว้กินเอง และไว้ขาย หรือแจกจ่ายให้ญาติพี่น้อง บ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง ทำให้ชาวบ้านในชุมชนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเงินตรามากนัก “…สมัยก่อนชาวบ้านในชุมชนนิยมกินปลา เนื่องจากชุมชนบ้านฆ้องมีลำคลองมาก และเป็นแหล่งทำนาทำให้หาปลาได้ง่าย โดยการหาปลาจะใช้ลอบไปวางไว้ตามลำคลองเพื่อดักปลา ซึ่งชนิดปลาที่ได้ส่วนใหญ่เป็น คือ ปลาน้ำผึ้ง ปลาหมู  ถ้าวันไหนปลาติดลอบจำนวนมากก็จะนำปลาส่วนหนึ่ง ไปทำน้ำปลา ปลาร้า ส่วนปลาที่เหลือนั้นนำไปประกอบอาหาร นำไปแบ่งให้เพื่อนบ้าน หรือนำไปขาย…” 

การประกอบอาชีพ  

การทำนา เมื่อก่อนชาวบ้านในชุมชนบ้านฆ้องทำนากันเป็นอาชีพหลัก และประกอบอาชีพเสริมอย่าง อื่นนอกเหนือจากการทำนา เช่น การทอผ้า การทำที่นอน การทำไร่ทำสวน “…การทำนาจะเป็นการทำนาแบบดั้งเดิม คือใช้วัวในการไถนาพอไถนาเสร็จก็จะหว่านข้าวแล้วไถซ้ำอีกหนึ่งรอบหลังจากนั้นก็รอต้นข้าวโต และมี การถอนหญ้าที่ขึ้นตามปากข้าว พอต้นข้าวโตเต็มที่ ชาวบ้านในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียงก็จะมาช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วก็จะนำไปใส่เกวียนเพื่อนำกลับไปที่บ้านเมื่อถึงบ้านก็จะใช้วัวใน การนวดข้าวโดยจะผูกวัวเป็นแถวแล้วให้วัววิ่งเพื่อให้ข้าวแหลก และนำไปกองไว้ที่ลานหลังจากนั้นจะใช้คนพัด ข้าวเปลือกเมื่อพัดข้าวเปลือกเสร็จแล้วนำไปเก็บที่โรงสี และเวลาที่จะสีข้าวก็จะสีด้วยกระด้งปัดข้าวแล้วนำมาใส่ครกตำเมื่อตำข้าวเสร็จก็จะนำมาร่อนเพื่อเอารำข้าวออกหลังจากนั้นก็จะได้ข้าวสารซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีโรงสีข้าวทำให้ชาวบ้านต้องใช้แรงงานคนในการสีข้าว เมื่อมีโรงสีเข้ามาชาวบ้านก็หันไปใช้บริการโรงสีข้าวแทนการสีข้าวเอง นอกเหนือเวลาทำนาชาวบ้านก็จะประกอบอาชีพอื่น ๆ เช่น การทำการเกษตร การจักสาร การทอผ้า การทำที่นอนเป็นอาชีพเสริม…” แต่เมื่อเวลาผ่านไปชาวบ้านเริ่มประกอบอาชีพทำนาน้อยลงหันไปประกอบอาชีพอื่นเป็นอาชีพหลักมากขึ้น เช่น ทำที่นอน เย็บผ้า ทำตุ๊กตา จึงทำให้ในปัจจุบันชาวบ้านบางคนขายที่นา บางคนก็มีนายหน้ามาติต่อเพื่อทำเป็นบ้านจัดสรร หรือไม่ก็ปล่อยที่นาให้ผู้อื่นเช่าที่ทำนานแทนตนเอง หรือไม่ก็ขุดดินตรงที่นาของตนเองเพื่อนำดินมาขายแทนการทำนา ทำให้ในปัจจุบันการทำนาในชุมชนลดลงที่นาส่วนใหญ่ถูกซื้อโดยนายหน้าที่ดินเพื่อนำไปทำบ้านจัดสรร หรือปล่อยที่นาให้ผู้อื่นเช่าแทน รวมถึงลูกหลานไม่ได้สนใจที่จะประกอบอาชีพทำนาหันไปทำอาชีพรับจ้าง ทำงานโรงงานเป็นส่วนใหญ่

ความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนชุมชนลาวเวียงจันทน์ ตำบลบ้านฆ้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ช่วง พ.ศ. 2485-2566

ในช่วงระยะเวลา 100 ปี วิถีชีวิตของผู้คนลาวเวียงจันทน์ในชุมชนบ้านฆ้องมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากพัฒนาประเทศ และนโยบายจากภาครัฐที่ได้เข้ามามีส่วนทำให้วิถีชีวิต สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่วิถีชีวิตของคนในชุมชนบ้านฆ้องพึ่งพาอยู่กับธรรมชาติและภูมิศาสตร์ที่เหมาะแก่การทำการเกษตรเพาะปลูกเนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำและมีพื้นที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำแม่กลอง ชาวบ้านจึงประกอบอาชีพเกษตรมาอย่างยาวนาน ได้แก่ การทำนา ทำการเกษตรแบบยังชีพ ชาวบ้านนิยมปลูกพืชผัก สมุนไพร และเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคภายในครัวเรือนถ้าเหลือก็แจกจ่ายให้กับผู้คนในระแวกนั้นทำให้คนในชุมชนไม่ค่อยใช้เงินตรามากเท่าใดนัก ในช่วงพักหรือว่างจากการทำนาชาวลาวเวียงมีการตำหูก หรือการทอผ้าไหม

สำหรับการทอผ้าและมีการปลูกหม่อนไหมในบริเวณบ้าน การทอผ้าเป็นไปเพื่อทอไว้ใช้เองในครัวเรือน พอมาถึงในช่วงหลังเมื่อถนน เส้นทางคมนาคมดีขึ้นประกอบกับชุมชนบ้านฆ้องอยู่ใกล้กับเส้นทางคมนาคมเข้าสู่จังหวัดนครปฐมและเข้าสู่กรุงเทพฯทำให้ชุมชนบ้านฆ้องเกิดความเปลี่ยนในวิถีชีวิต การเกิดขึ้นของโรงเรียนเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ระบบสาธารณูปโภคดีขึ้น รวมทั้งนโยบายของภาครัฐ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาทำให้ความเป็นชุมชนและวิถีชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนได้รับการศึกษามากขึ้น การตั้งขึ้นของวิทยาลัยเทคนิคโพธารามทำให้ทำให้คนในชุมชนส่งลูกหลานเข้ารับการศึกษาเพื่อที่ให้ลูกหลานเข้าไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม โดย จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2480 และได้ย้ายมายังหมู่ที่ 3 ตำบลบ้านฆ้อง เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 มีการเปลี่ยนชื่อจาก “โรงเรียนช่างทอผ้าโพธาราม” เป็น “โรงเรียนเทคนิคอุตสาหกรรมสิ่งทอ” และในปี พ.ศ. 2528 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วิทยาลัยเทคนิค   โพธาราม ”  ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ

จากการสัมภาษณ์ “…เมื่อจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยเทคนิคโพธารามในระดับปวช.สาขาเคมีสิ่งทอเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นไปทางปฏิบัติเพื่อให้มีความสามารถติดตัวในการประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษาแล้วจะส่งนักศึกษาไปฝึกงานยังโรงงานต่าง ๆ เมื่อฝึกงานจบบางบริษัทหรือโรงงานก็อาจจะรับเข้าทำงานเลย…”  การมีถนนที่ดีขึ้นทำให้ชาวบ้านในชุมชนเลิกใช้เกวียนในการเดินทางไปยังชุมชนใกล้เคียงจากเดิมเป็นถนนดินแดงธรรมดากลายมาเป็นถนนลาดยางซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการสร้างถนนในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้สามารถกระจายสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตได้เข้าสู้ตลาดภายในที่กว้างขึ้น และเป็นทางระบายสินค้าเกษตรที่ผลิตขึ้นในเชิงพานิชย์ออกสู่ท่าเรือกรุงเทพฯ และตลาดโลก การมีไฟฟ้า นำความสะดวกสบายเข้ามายังชุมชน ผู้คนในชุมชนเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง แต่ก็ยังมีการรักษาประเพณี พิธีกรรมอยู่  ที่เป็นผลมาจากนโยบายของภาครัฐในสมัยจอมพล ป.พูลสงคราม ที่มีนโยบายชาตินิยมที่มุ่งจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้อยู่ในแบบแผนเดียวกัน ทำให้วัฒนธรรมบางอย่างในชุมชนเกิดการยกเลิก เช่น การแต่งกาย ภาษาถิ่น  ซึ่งจะเห็นได้ชัดในชุมชนบ้านฆ้องภาษาท้องถิ่นลาวเวียงขาดการสืบทอดสู่รุ่นหลาน ในชุมชนมีเพียงผู้สูงอายุและกลุ่ม คนวัยกลางคนที่สามารถพูดภาษาลาวเวียงได้แต่ถึงกระนั้นกลุ่มเด็กรุ่นลูกหลานถึงจะพูดไม่ได้แต่สามารถฟังออก ภาษาลาวเวียงที่ชาวบ้านในชุมชนยังใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น คำว่าตาเว็น  เบิ่ง เว่า ขี้หมิ่นหม้อ อู่ เซา สาด อีตู่ไทย อีตู่ลาว ฯลฯ ส่วนใหญ่ใช้สื่อสารกันในครอบครัว หรือภายในชุมชน แต่ถึงกระนั้นกลุ่มเด็กรุ่นลูกหลานถึงจะพูดไม่ได้แต่สามารถฟังออก ทำให้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีบางอย่างได้เลือนหายไป เช่น การบริโภคหมากที่ในปัจจุบันได้เลือนหายไปจากชุมชน การที่วิถีชีวิตในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาทำให้ลูกหลานแยกตัวออกจากเครือญาติของตนเองไปตั้งบ้านเรือนใหม่ หรือย้ายเข้าไปทำงานยังกรุงเทพฯมากขึ้น แทนการทำงานแถวบ้าน

อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของในชุมชนบ้านฆ้องมีความสนิทสนมกลมเกลียวกัน มีความเป็นอยู่ที่เป็นเหมือนญาติพี่น้อง ไปมาหาสู่กัน เมื่อมีงานหรือเหตุการณ์สำคัญชาวบ้านในชุมชนจะร่วมมือช่วยเหลือกัน เช่น  งานมงคล งานอวมงคล งานหมู่บ้านชาวบ้านในชุมชนจะลงแรงช่วยเหลือกันในการจัดสถานที่ การเตรียม อาหาร  และจะมีการทำอาหารเลี้ยงผู้คนที่มาช่วยงานแทนการว่าจ้างด้วยเงิน ในช่วงวันสำคัญ และช่วงเทศกาลต่าง ๆ  เช่น วันสารทลาว (ทำบุญแก้ห่อข้าว)  งานบุญเบิกบ้าน และ วันสงกรานต์ ที่ญาติพี่น้องจะกลับบ้านเพื่อมาพบปะกัน

บทสรุป 

การศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านฆ้องกับวิถีชีวิตชุมชนลาวเวียงจันทน์ ทำให้ทราบถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนบ้านฆ้องในด้านต่าง ๆ เช่น สภาพความเป็นอยู่ การแต่งกาย ลักษณะบ้านเรือน ยานพาหนะที่แสดงให้เห็นถึงสภาพวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้องได้มีการสอดแทรกวิถีชีวิตของคนในชุมชน ได้แก่ ยานพาหนะประกอบไปด้วย ภาพรถยนต์ที่ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรถเมล์นายเลิศในสมัยรัชกาลที่ 6 จากการสันนิษฐานอาจเป็นไปได้ว่าในชุมชนบ้านฆ้องมีกลุ่มคนที่มีฐานะดีประกอบกับจังหวัดราชบุรีอยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ ทำให้มีการนำรถยนต์เข้ามาใช้ในชุมชน รถจักรยาน  เรือชนิดต่าง ๆ เช่น เรือสำเภา เรือบด เรือโดยสาร และเกวียน ลักษณะของบ้านเรือน การแต่งกาย การดื่มชา การสูบฝิ่น และการเล่นสกา  นอกจากนี้ภายในชุมชนบ้านฆ้องยังมีประเพณี พิธีกรรม   ที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังล้วนเป็นประเพณี และพิธีกรรมที่มีความสำคัญกับคนในชุมชนที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ผู้คนในชุมชนก็ยังคงรักษาประเพณี พิธีกรรมเหล่านี้ไว้ และได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

ตลอดช่วงเวลา 100 ปี วิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนและการพัฒนาของประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ชุมชนบ้านฆ้องมีการเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีชีวิต ประเพณี และพิธีกรรม สภาพบ้านเรือน การคมนาคมที่ได้พัฒนาขึ้นและการรับเอาวิถีชีวิตจากภายนอกชุมชนบางประการเข้ามายังชุมชน เช่น ยานพาหนะรถยนต์ที่มีหลักฐานในภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้องซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรถเมล์นายเลิศ การที่ในชุมชนบ้านฆ้องได้มีรถยนต์นั้นอาจเป็นเพราะเส้นทางคมนาคมที่พัฒนาขึ้น การมีถนนที่กระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยังเป็นการยืนยันได้ว่า การที่ถนนเข้ามาในแหล่งชุมชนทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมที่ใช้เรือ และเกวียนเป็นพาหนะในการเดินทาง แต่ชาวบ้านก็เริ่มมีการใช้รถยนต์มากขึ้นซึ่งการมีรถยนต์ในชุมชนอาจเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะดีในชุมชน นอกจากนี้วิถีชีวิตในด้านอื่น ๆ ของคนในชุมชนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาของประเทศและนโยบายของภาครัฐที่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนในชุมชน เช่น ด้านสภาพความเป็นอยู่ บ้านเรือน การประกอบอาชีพ ประเพณี และพิธีกรรม

จากการลงพื้นที่สำรวจ เก็บข้อมูล และคำสัมภาษณ์ของคนในชุมชน พบว่า วิถีชีวิตในภาพจิตรกรรมบางด้านตรงกับวิถีชีวิตของผู้คนลาวเวียงจันทน์ในชุมชนบ้านฆ้อง เช่น ลักษณะบ้านเรือนที่มีความเหมือนกัน กล่าวคือ ตัวบ้านส่วนใหญ่เป็นไม้มีใต้ถุนโปร่งไม่สูงมากนัก บ้านเรือนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเครือญาติมีการใช้รั้วเดียวกันและ หันหน้าออกสู่เส้นทางคมนาคม และการใช้ครกตำขาว ซึ่งคนในชุมชนบ้านฆ้องในอดีตส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำนาทำการเกษตร เป็นหลัก ซึ่งในสมัยนั้นโรงสียังไม่ได้เข้ามามีบทบาทจึงทำให้ชาวบ้านใช้ครก สาก ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องมโหสถชาดก และเวสสันดรชาดก ในด้านการ  ดื่มชา การบริโภคหมาก ที่สันนิฐานและจากคำสัมภาษณ์ว่าคนในชุมชนอาจมีการดื่มชา บริโภคหมาก เนื่องจากชุมชนบ้านฆ้องอยู่ใกล้กับชุมชนโพธาราม และคลองตาคตที่มีชาวมอญ ชาวจีนเชื้อสายต่าง ๆ อาศัยอยู่ ทำให้เกิดการติดต่อทางวัฒนธรรมได้ แต่ในปัจจุบันไม่มีการดื่มชา หรือบริโภคหมากอันเป็นผลมาจากนโยบายของภาครัฐ ส่วนวิถีชีวิต ประเพณี และพิธีกรรมที่ ไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังจะเป็นประเพณี พิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อสิ่งลี้ลับ บรรพบุรุษ เช่น ประเพณี สารทลาว หรือ แก้ห่อข้าว ที่เป็นประเพณีสำคัญของคนในชุมชนจัดขึ้นเพื่อให้บรรพบุรุษ

นอกจากนี้สารทลาวยังถือเป็นวันรวมญาติของชาวลาวเวียงจันทน์ในชุมชนบ้านฆ้อง พิธีบุญเบิกบ้าน เปรียบเสมือนการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาให้กับคนในชุมชนปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากหมู่บ้าน  นอกจากนี้ชาวบ้านยังให้ความเคารพนับถือบรรพบุรุษโดยมีการตั้งศาลปู่ตา ศาลเจ้านาย ไว้ค่อยปกป้องคุ้มครองชาวบ้านและหมู่บ้าน การรักษาโรค คือ การกวาดยา เป็นการรักษาแบบโบราณที่คนในชุมชนให้ความสำคัญ และเป็นที่นิยมในสมัยก่อน การประกอบอาชีพ ชาวบานในชุมชนบ้านฆ้องส่วนใหญ่ทำอาชีพทำนา การเกษตร เป็นหลักและมีการประกอบอาชีพเสริมต่าง ๆ เช่น การทำที่นอน ทอผ้า และอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำให้ในอดีตชาวบ้านมีวิถีชีวิตที่พึ่งพิงอยู่กับธรรมชาติ อาหารส่วนใหญ่หาจากตามธรรมชาติส่วนใหญ่ชาวบ้านจะนิยมบริโภคปลาเป็นอาหาร เนื่องจากชุมชนมีแม่น้ำลำคลองจำนวนมากจึงทำให้เหมาะแก่การหาปลาได้ง่ายและเหมาะแก่การ      ทำนา การเกษตร เมื่อเวลาผ่านไปวิถีชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมื่อถนนเส้นทาง คมนาคม โรงเรียน สิ่งอุปโภคบริโภค และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ชุมชนและผู้คนในชุมชน เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้เข้ากับสังคมในขณะนั้น คนในชุมชนออกไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม ละเลยอาชีพและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม รวมไปถึงนโยบายของภาครัฐในสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามที่มีนโยบายชาติที่มุ่งจัดระเบียบวิถีชีวิตของคนไทยให้อยู่ในแบบแผนเดียวกัน ทำให้วัฒนธรรม ประเพณี  วิถีชีวิตบางประการในชุมชนถูกยกเลิก เช่น  ภาษาท้องถิ่น การแต่งกาย และการบริโภคหมากที่เลือนหายไปจากชุมชน 

ดังนั้นการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านฆ้องกับวิถีชีวิตชุมชนลาวเวียงจันทน์ ตำบลบ้านฆ้อง          อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี แสดงให้ถึงความเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ศาลาการเปรียญและที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในภาพจิตรกรรม แต่ชาวบ้านในชุมชนก็ได้มีการสืบทอดและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสังคมในช่วงเวลานั้น ๆ จนมาถึงปัจจุบัน    

บรรณานุกรม

หนังสือ

  • วัดบ้านฆ้อง. ปิดทองฝังลูกนิมิตวัดบ้านฆ้อง ต.บ้านฆ้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 8-16 กุมภาพันธ์ 2529.
  • วันดี นิจวรสิน. สองสถานบ้านเรือนลาวเวียง: การปรับตัวต่อการอยู่อาศัยในลุ่มน้ำภาคกลาง. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: บริษัท บุญคิริการพิมพ์ จำกัด. 2564.  
  • สมชาติ มณีโชติ. จิตรกรรมไทย. กรุงเทพมหานคร: O.S. Printing House Co., Ltd., 2559.

บทความ

  • นิธิ เอียวศรีวงศ์. หัวข้อที่ 24 การพัฒนาสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์. ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
  • ปิยนัส สุดี, “ฮูปแต้ม: ภาพสะท้อนและวัฒนธรรมในเขตอีสานตอนกลาง.” วารสารศิลปกรรมบูรพา, 2557.
  • ภัทรลดา ทองเถาว์ และคณะ. “บทบาทความเชื่อเรื่องผีต่อสังคมอีสาน : กรณีศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี.”              วารสารศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัลสิด 15, 2, (มกราคม-มิถุนายน 2563).
  • สุพิชฌาย์ จินดาวัฒนภูมิ. “วัฒนธรรมการกินหมากในสังคมไทยสมัยก่อน.” งานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 10 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. (มีนาคม 2561).

วิทยานิพนธ์

  • ชาญชัย คงเพียงธรรม. เรื่องผีในอีสาน: ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับผีของกลุ่มชาติพันธุ์ลาว เขมร ส่วย และ เวียดนามที่อาศัยอยู่ ในบริเวณอีสานใต้ของประเทศไทย. อุบลราชธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  2556.
  • พชรพรรณ ธานี. การศึกษาวิถีชีวิตสภาพความเป็นอยู่ที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาการเปรียญวัดบ้านฆ้อง ตำบลบ้านฆ้อง อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต(โบราณคดี),ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2544).  
  • ภาควิชาศิลปะไทย วิทยาลัยช่างศิลปะสุพรรณบุรี. การเตรียมพื้นเขียนภาพจิตรกรรมไทยบนพื้นไม้. (ภาควิชาศิลปะไทย วิทยาลัยช่างศิลปะสุพรรณบุรี สถาบันบัณฑิพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม).

สัมภาษณ์

  • เตี้ยม หาญกล้า. สัมภาษณ์, วันที่ 27 มกราคม 2566, 24 กุมภาพันธ์ 2566, 26 กุมภาพันธ์ 2566.
  • เสงี่ยม สุขขี. สัมภาษณ์, วันที่  27 มกราคม 2566, 26 กุมภาพันธ์ 2566, 
  • ศุภชัย จันทร์ดา. สัมภาษณ์, วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566, 
  • บุษบา พันธ์คำ. สัมภาษณ์, วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566. 

เว็ปไซต์

  • กลุ่มชาติพันธุ์ : ลาวเวียงจันทน์. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/.

เข้าถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2566.  

  • ประวัติความเป็นมาวิทยาลัยเทคนิคโพธาราม. วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม. สืบค้นจาก http://www.photharam.ac.th/.เข้าถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2566.

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...