60 ปี มช. : ย้อนบันทึกประวัติศาสตร์บนสภาวะที่หกเหินของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Date:

“จงสู้จนสุดใจขาดดิ้น เพื่อมหาวิทยาลัยแห่งลานนาไทย”

ถ้อยคำที่แสดงถึงปรารถนาอันแรงกล้าของประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียงที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์คนเมือง หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการก่อตั้ง ‘มหาวิทยาลัยเชียงใหม่’ หรือ ‘มช.’ มหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทยในพ.ศ. 2507 มาถึงวันนี้ก็มีอายุครบ 60 ปีเต็ม

ย่างก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ ล้วนมากไปด้วยความทรงจำรายทางมากมาย หากลองทบทวนเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากมุมที่น่าบันทึกและติดตาม แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ที่บันทึกเพียงวาระนี้ได้ไม่หมด แต่ก็ยังเฝ้ารอให้ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มีความทรงจำร่วมกับที่นี่มาร่วมต่อเติม

ระลอกคลื่นทั้งสาม ความปรารถนา ความสำเร็จ

ย้อนกลับไปเมื่อพ.ศ. 2484 สมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคขึ้น 3 แห่ง คือ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดอุบลราชธานี และภาคใต้ที่จังหวัดสงขลา เพื่อขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้ออกจากนครหลวง โดยได้เชิญหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เข้าปรึกษาหารือเรื่องการจัดตั้งมหาวิทยาลัย แต่โครงการนี้ก็หยุดชะงักไประหว่างลงพื้นที่สำรวจ เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

คราที่สงครามกำลังดำเนินต่อไปก็เกิดกระแสข่าวว่า ‘อเมริกามีนโยบายเปิดมหาวิทยาลัยอเมริกันในประเทศไทย’ ทำให้โรงเรียนมิชชันนารีหลากหลายแห่งต่างต้องการดึงมหาวิทยาลัยมาจัดตั้งในพื้นที่ของตน เช่นเดียวกับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ เชียงใหม่ ดร. เคนเนท อี.แวลส์ อาจารย์ใหญ่ได้แสดงความปรารถนาให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ จึงติดต่อขอบริจาคที่ดินจากนายกี และนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินทร์ ซึ่งทั้งสองยินดีบริจาคที่ดินบริเวณถนนห้วยแก้ว โดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองในประเทศไทยขณะนั้น ทำให้อเมริกาตัดสินใจไปจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่ไต้หวันแทน แม้การเสนอให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ครั้งแรกนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้รับรู้ได้ว่าประชาชนชาวเชียงใหม่เองประสงค์ที่จะให้มีมหาวิทยาลัยในจังหวัด

พ.ศ. 2492 เมื่อสงครามยุติลง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้รื้อโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาคขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้รัฐบาลได้ทำข้อตกลงสัญญาซื้อที่ดินบริเวณตำหนักสวนเจ้าสบาย (แม่ริม) ซึ่งในขณะนั้นมีผู้ยินดีบริจาคที่ดินแปลงใหญ่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และตั้งคำถามถึงเหตุผลในการตัดสินใจซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าว ครานั้นรัฐบาลได้อธิบายว่าที่ดินบริเวณแม่ริมมีความเหมาะสมหลาย ๆ ด้าน พร้อมแจ้งเพิ่มเติมว่าต้องการเปิดมหาวิทยาลัยโดยเร็ว แต่ไม่ได้งบประมาณ เช่นเดียวกับงบประมาณในปีหน้าที่ต้องนำไปใช้ปรับปรุงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความพยายามในการเรียกร้องระลอกนี้ แม้จะมีความคืบหน้า แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

“เราอาจจะโง่… แต่ลูกหลานเราต้องฉลาด เราต้องสู้เพื่อมหาวิทยาลัยแห่งลานนา” หนึ่งในข้อความเรียกร้องในหน้าหนังสือพิมพ์คนเมือง

การเรียกร้องครั้งที่สาม เกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2495 ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นระหว่างอำนาจเผด็จการและเหล่าปัญญาชน ในจังหวัดเชียงใหม่ นำทัพโดย ‘หนังสือพิมพ์คนเมือง’ ซึ่งมีนายสงัด บรรจงศิลป์เป็นบรรณาธิการได้มีการรณรงค์เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยภาคเหนือ ผ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน โดยตั้งหัวข้ออภิปรายว่า “ควรตั้งมหาวิทยาลัยภาคเหนือหรือไม่?” เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชนร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี รวมถึงพิมพ์บัตรขนาดต่าง ๆ เพื่อแจกจ่ายไปยังจังหวัดอื่น สังเกตุได้ว่าการเรียกร้องในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ เนื่องจากครั้งนี้ดำเนินการอย่างเป็นขบวนการ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชน และประสบความสำเร็จในการปลุกระดม หากแต่เมื่อปลายพ.ศ. 2495 หนังสือพิมพ์คนเมืองประสบกับภาวะขาดแคลนทำให้กระแสการเรียกร้องโดยหนังสือพิมพ์อ่อนลง และภายหลังบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คนเมืองถูกสอบปากคำในข้อหากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484

(ภาพ: จดหมายเหตุมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

นอกจากบทบาทการรณรงค์เรียกร้องมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของสำนักพิมพ์คนเมือง ไกรศรี นิมมานเหมินท์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คนเมือง และหนึ่งแกนนำเรียกร้องมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้เสนอให้มีการใช้ตราประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นรูปเก้งเผือกสองแม่ลูก อยู่ท่ามกลางเนินหญ้าคา และมีดอยสุเทพเป็นฉากหลัง เพื่อให้สอดคล้องกับตำนานการสร้างเมืองเชียงใหม่ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ชัยมงคลเจ็ดประการ’ แห่งเมืองเชียงใหม่ แต่ข้อเสนอนี้ถูกปัดตกไป ทำให้ตราประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กลายเป็น รูปช้างเผือกชูคบเพลิง หรือที่ชาว มช.เรียกว่า ลูกช้างในปัจจุบัน

แม้การรณรงค์เรียกร้องทั้งสามครั้งจะไม่ประสบความสำเร็จในทันใด แต่ก็ทำให้รัฐบาลรับรู้ถึงความต้องการ ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2501 สมัยรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกถนอม กิตติขจร ได้มีการแถลงนโยบายโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาคอีกครั้ง 

ซึ่งนโยบายดังกล่าวได้สืบเนื่องมาจนถึงในปี พ.ศ.2502 ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากการยึดอำนาจของพลเอกถนอม กิตติขจร ซึ่งมีการประชุมโครงการพัฒนาการศึกษาในส่วนภูมิภาค ภาคการศึกษา 8 ที่ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2502 นำโดยหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ในขณะนั้น) หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้ให้เหตุผลในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไว้ว่า

(หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ประธานกรรมการเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายแผนผังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แก่ จอมพล ถนอม กิตติขจร ที่มา:https://www.cmu.ac.th/th/article/db1c9d54-3e8f-48c7-b2f2-aceb0e661c74)

“…การตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค 8 ตามความเรียกร้องของประชาชน ที่ประชุมเห็นว่าน่าจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงใหม่…ด้วยเป็นความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง…”

(ที่มา: หนังสือจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประวัติศาสตร์ยุคเรียกร้องมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ และประวัติบุคคลผู้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

โครงการก่อสร้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เริ่มต้นพ.ศ. 2505 และวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2507 และออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา (เล่มที่ 81 ตอนที่ 7) ลงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2507 ทำให้วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2507 เป็นวันเกิดตามกฎหมายของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่วันสำคัญที่ชาวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือว่าเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย คือ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2508 เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ


(ภาพ: ล้านนาในอดีต /รูปคณาจารย์และนักศึกษา ร่วมกันประกอบพิธีตั้งศาลพระภูมิประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

เริ่มต้นเปิดดำเนินการเรียนการสอนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2507 พร้อมด้วยนักศึกษารุ่นแรกจำนวน 291 คน โดยเปิดสอนในคณะพื้นฐาน 3 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ และพ.ศ. 2508 ได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์โดยรับโอนมาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ นับเป็นคณะ 4 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดการเรียนการสอนทั้งสิ้น 21 คณะ 3 วิทยาลัย

“…เรียกชื่อมหาวิทยาลัยตามชื่อเมือง เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ชื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะมาก ขออย่าให้ใครมาแก้ไขเป็นอย่างอื่นเลย….” ข้อความจาก ‘บันทึกของปม.’ ม.ล.ปิ่น มาลากุล รมว.กระทรวงศึกษาธิการ 

ประเพณีบนความทรงจำที่ยากจะลืม

ด้วยตำแหน่งของมหาวิทยาลัยที่อยู่ติดกับดอยสุเทพ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุดอยสุเทพและเป็นที่ประดิษฐาน ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ ทำให้การขึ้นดอยเพื่อสักการะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับนักศึกษามช.รุ่นแรกพร้อมด้วยบุคลากรตัดสินใจร่วมเดินขึ้นไปนมัสการพระบรมธาตุดอยสุเทพในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2507 จากดำริของ นายแพทย์บุญสม มาร์ติน รองอธิการบดีมหาวิทยาลัย(ในขณะนั้น) ที่เห็นว่าเส้นทางสู่วัดพระธาตุนั้นสำเร็จด้วยแรงศรัทธาของประชาชน และเป็นผลงานที่แสดงถึงความสามัคคี ดังนั้นหากยึดถือการเดินขึ้นดอยสุเทพเป็นประเพณีก็คงจะดี อีกทั้งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นใด

“ผมมาคิดเรื่องการต้อนรับน้องใหม่ ซึ่งเป็นประเพณีต่าง ๆ กันในแต่ละมหาวิทยาลัย และเป็นเรื่องของนักศึกษา หากจะตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาอาจจะสวนความรู้สึกขึ้นได้ และระยะเริ่มต้นนี้อยากจะเห็นความราบรื่น รื่นรมย์และประทับใจ จึงได้ชวนนักศึกษารุ่นแรก ให้เดินขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพด้วยเท้าด้วยกันทั้งหมดหลังจากปฐมนิเทศแล้ว ก็ได้รับการตอบสนองด้วยดี ด้วยความตื่นเต้น และได้รับความร่วมมืออย่างดี ทุกคนเดินขึ้นไป ไม่ว่าหญิงหรือชาย ช้าบ้างเร็วบ้าง เมื่อพร้อมกันแล้วก็ขึ้นไปนมัสการพระธาตุด้วยกัน แสดงถึงว่าเป็นนักศึกษาของ มช.อย่างสมบูรณ์ทางจิตใจแล้ว” นายแพทย์บุญสม มาร์ตินเคยกล่าวไว้

นับตั้งแต่นั้นมาทุก ๆ ปีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีการต้อนรับนักศึกษาใหม่ด้วยการเดินขึ้นดอย หรือที่รู้จักในนามของ ‘ประเพณีรับน้องขึ้นดอย’ ระยะทางรวม 14 กิโลเมตร บรรยากาศการเดินขึ้นดอยท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีรุ่นพี่คอยช่วยเหลือ ตลอดระยะทางจากหน้า มช. ไปจนถึงยอดดอยเต็มไปด้วยแรงเชียร์จากผู้คน บ้างยื่นน้ำมาให้ บ้างยื่นยาดม  ทั้งหมดนี้ส่งผลให้กิจกรรมรับน้องขึ้นดอยเป็นกิจกรรมที่ดี ๆ ในความจำของนักศึกษามช. และได้รับความสนใจอย่างล้นหลามในทุก ๆ ปี

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานและได้รับความสนใจมากมาย อีกทั้งเป็นกิจกรรมที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ คือ งาน ‘ลูกทุ่งวิจิตรศิลป์’

ลูกทุ่งวิจิตรศิลป์ คือ กิจกรรมงานดนตรีของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2529 ซึ่งขณะนั้นนักศึกษามีแนวคิดที่อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อคณะ และอยากหาทุนการศึกษา แรกเริ่มกิจกรรมที่ตั้งใจจัดขึ้น คือ การเปิดฉายภาพยนตร์ แต่แนวคิดนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง ทำให้ต้องหันกลับมามองและตั้งโจทย์ว่าเด็กวิจิตรศิลป์ทำอะไรได้บ้าง ซึ่งพบว่าเด็กวิจิตรศิลป์ส่วนใหญ่เล่นดนตรีได้ ร้องเพลงได้ เต้นได้ รวมไปถึงฟ้อนรำได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปจัดงานดนตรี และเลือกเพลงเป็นเพลงลูกทุ่งทั้งหมด เพราะมีความเห็นว่าลูกทุ่งเหมาะสมกับภาพลักษณ์ของชาววิจิตรศิลป์

กิจกรรมนี้เรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือของนักศึกษาวิจิตรศิลป์อย่างแท้จริง ทั้งหางเครื่อง นักร้อง ทีมงาน ผู้จัดต่างเป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ ครั้งแรกจัดขึ้นที่ศาลาอ่างแก้ว โดยได้เชิญ หมู-พงษ์เทพ กระโดนชํานาญ มาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับดีมากจากทั้งนักศึกษาและจากผู้เข้าร่วมงานคนอื่น ปีถัดมาไม่ได้มีเพียงนักร้องจากคณะวิจิตรศิลป์อีกต่อไป แต่มีทั้งนักร้องสโมสรนักศึกษา กลุ่มนักศึกษาที่ร้องเพลงได้ วงดนตรีของโรงเรียน ค่อย ๆ พัฒนาให้กิจกรรมสนุกมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นงานลูกทุ่งวิจิตศิลป์อย่างที่หลายคนรู้จักและตั้งตารอ

นอกจากประเพณีที่ผูกพันเหนียวแน่นจนผูกและพันนักศึกษามากมายรุ่นแล้วรุ่นเล่า กิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยเองก็เป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน ทั้งชมรมกิจกรรมกลาง ชมรมที่สังกัดภายใต้คณะเองก็ยังคงร้อยเรียงไม่แพ้กัน

(ที่มา: https://www.finearts.cmu.ac.th/blog/fofa_art_cmu_festival_2023/)

มช. ในวัฒนธรรมป็อป

หากพูดถึงภาพยนตร์ที่ทำให้นึกถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้วหลายคนคงจะนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ เรื่องราวความรัก(ข้างเดียว) ของ หมู(ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หรือฉายาคือ ไข่ย้อย และเพื่อนสาวที่เขาแอบชอบ ดากานดา(นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่ เข้าฉายเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2548 โดยดัดแปลงเรื่องราวมาจากนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง ‘กล่องไปรษณีย์สีแดง’ ที่เขียนโดย อภิชาติ เพชรลีลา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2543 กับการดำเนินเรื่องผ่านการเขียนจดหมายโดยไข่ย้อยที่ส่งผ่านมาถึงดากานดา เพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยที่มีฉากชีวิต ภาพความทรงจำอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หากแต่ไข่ย้อยจะบรรจงเขียนอยู่บนเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ตาม

แม้จะไม่มีฉากใดที่ถ่ายทำในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เลย เนื่องจากขณะนั้นมีกฎไม่อนุญาตให้ถ่ายทำภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัย จึงมีความจำเป็นต้องถ่ายทำในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ แต่ด้วยบรรยากาศ ฉากประเพณีรับน้องขึ้นดอย ฉากงานลูกทุ่งวิจิตรศิลป์ และคณะจิตรศิลป์ที่ตัวละครเอกกำลังศึกษาอยู่นั้นทำให้ทราบได้เลยว่าเรื่องราวที่ประกอบอยู่ในภาพยนตร์ คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หลังจากภาพยนต์เรื่องนี้เข้าฉายทำให้หลายคนรู้จักมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากยิ่งขึ้น รวมถึงมีหลายเสียงจากผู้ชมที่เอ่ยปากว่าอยากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และตั้งใจสอบเข้ามาเรียนเชียงใหม่ ซึ่งตัวเลขยอดนักเรียนที่เอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในช่วงนั้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ๆ อดีตคณบดีวิจิตร์ศิลป์ รศ.ดร.วรลัญจก์ บุณยสุรัตน์ถึงกับให้สัมภาษณ์ติดตลกว่า 

“ช่วงนั้นเด็กเอ็นทรานซ์เข้าคณะวิจิตรศิลป์เยอะมาก”

(ที่มา: https://finearts.library.cmu.ac.th/Contents/677)

เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง ‘รักน่ารัก’ เข้าฉายเมื่อ 3 เมษายน 2525 เรื่องราวของวัยรุ่นที่สอบเอ็นทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้ต้องเรียนไกลบ้าน และพบกับความรักแบบน่ารัก ๆ จากรุ่นพี่ โดยนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อนุญาตให้ถ่ายทำในมหาวิทยาลัยได้ ทำให้ได้เห็นบรรยากาศมหาวิทยาลัยจริง ๆ  มีฉากกิจกรรมรับน้องรถไฟ รับน้องขึ้นดอย หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายก็ทำให้หลายคนตั้งใจสอบเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเกิดเป็นคำฮิตติดปากว่า

“แม่บอกแล้วอย่ามาเรียนมช.”

นอกจากภาพยนตร์แล้ว มิวสิกวิดีโอเพลง ’ถ้าเธอรักฉันจริง’ ของวง Three Man Down ที่ถ่ายทำในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อปล่อยออกมา ศิษย์เก่ามช.หลายคนได้ให้ความเห็นว่า ดูแล้วคิดถึงสมัยเรียนมช. อีกทั้งยังมีวาไรตี้ และคอนเทนต์อื่น ๆ ที่ได้ถ่ายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าเชียงใหม่ไม่ได้มีเพียงแค่การเรียนที่เด่น แต่ยังมีบรรยากาศ สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ดี มช.ไม่ได้เป็นแค่สถานศึกษา แต่ยังเป็นดังพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถมาพักผ่อนหย่อนใจ เดินเล่น ออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งการแสดงออกทางการเมือง

ทศวรรษที่หกเหิน เสรีภาพ และการแสดงออกไร้ซึ่งเสรี? 

เมื่อมหาวิทยาลัย คือ สถาบันการศึกษาที่ควรเปิดโอกาสให้มีเสรีภาพในการแสดงออก เหตุใดจึงมีข่าวมากมายประโคมว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปิดกั้นการแสดงออกทางการเมือง แม้ว่าตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมามหาวิทยาลัยจะถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศทางการเมืองและการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ไล่ตั้งแต่วังวนของการเมืองเดือนตุลา 2516-2519 การเคลื่อนไหวช่วงพฤษภาทมิฬ 2535 การขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 รวมไปถึงการเกิดขึ้นของ “มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” ก่อตั้งเมื่อปี 2540 ที่นำโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ สมเกียรติ ตั้งนโม สองอาจารย์ผู้ล่วงลับเป็นผู้ริเริ่มที่ขยายพรมแดนทางวิชาการให้ไกลมากกว่าในห้องเรียน และระลอกความขัดแย้งของขั้วทางการเมืองเหลืองแดง และการต่อต้านรัฐประหาร เรื่อยมากถึงการทะลุทะลงเพดานของสังคมไทยตั้งแต่ปี 2563 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เองก็อยู่ร่วมในบรรยากาศนี้อยู่ตลอด ถ้าต้องบรรยายทั้งหมดอาจจะต้องยกยอดออกไปก่อน แต่ในสภาวะที่หกเหินของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็มีเรื่องคาใจอีกมากที่ยังคงรอคอยคำตอบที่มีเหตุผลมากพอ

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2564 เกิดเหตุการณ์คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยรองคณบดีและเจ้าหน้าที่ เข้าไปยึดผลงานศิลปะของนักศึกษาสาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ จนทำให้เกิดการถกเถียงกันรุนแรง ภายหลังแจ้งว่าไม่ทราบว่าเป็นผลงานใครจึงเก็บใส่ถุงดำไว้ก่อน

อีกครั้งในปีปลายปีพ.ศ. 2564 เหตุเกิดจากการที่นักศึกษาได้ขออนุญาตใช้พื้นที่หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อจัดแสดงงานศิลปะประจำปีของสาขาวิชา Media Art and Design แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งยังมีการปิดพื้นที่ด้วยโซ่ ซึ่งบริเวณไม่ได้มีเพียงหอศิลป์ แต่ยังมีอาคารเรียนของนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ตั้งอยู่ นักศึกษาพร้อมด้วยอาจารย์จึงทำการตัดโซ่ที่คล้องไว้ ภายหลังได้ถูกอดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ตั้งข้อหาบุกรุกพื้นที่ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยฟ้องอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการเข้าไปใช้หอศิลปวัฒนธรรมทรัพยากรของมหาวิทยาลัย

เช่นเดียวกับกรณีการจัดกิจกรรมดูนกของชมรมอนุรักษ์นกและธรรมชาติล้านนา ที่ศูนย์วิจัยสาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ก็ถูกรปภ.ขับรถเปิดไฟฉุกเฉินขับไล่ ก่อนจะแจ้งว่าได้รับคำสั่งให้มาสลายการชุมนุม ครั้งนั้นหมอหม่อง-นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้จัดกิจกรรมถึงกับตั้งคำถามว่า ‘การดูนก เป็น อาชญากรรม?’

ไม่เพียงแต่การกระทำที่ดูเหมือนจะปิดกั้นเสรีภาพทางการแสดงออก หรือการรวมกลุ่มกัน แต่ประกาศหลาย ๆ ครั้งก็ไปในทิศทางเดียวกัน จากประกาศฉบับใหม่เรื่อง “การขออนุญาตใช้พื้นที่จัดกิจกรรมการชุมนุมตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งข้อสังเกตว่า ประกาศฉบับใหม่นี้มีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ เนื่องจากในประกาศข้อที่ 4 การจัดงานชุมนุมในมหาวิทยาลัยต้องได้รับอนุมัติก่อนล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 3 ชม. ซึ่งตามปกติแล้วการจัดการชุมนุมสาธารณะไม่ต้องขออนุมัติอนุญาต เป็นเพียงแค่การแจ้ง

รวมไปถึงการขอตำแหน่งศาสตราจารย์ของ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณาจารย์คุณภาพจากคณะนิติศาสตร์ ที่มีผลงานทางวิชาการทั้งในรูปแบบงานวิจัยและหนังสือในช่วงปี พ.ศ.2543 – 2561 มากมาย แบ่งเป็นงานวิจัย 11 หัวข้อ และหนังสืออีก 9 เล่ม แต่กระนั้นเองการขอตำแหน่งทางวิชาการก็ถูกแช่แข็งยาวนานกว่า 8 ปี ซึ่งมีการยื่นขอตำแหน่งศาสตราจารย์ไปเมื่อปีเดือนตุลาคม 2558 จนถึงวันนี้ (24 มกราคม 2567) ก็เป็นการขอตำแหน่งศาสตราจารย์ครบรอบ 100 เดือนแล้ว

เช่นเดียวกับตอนเลือกตั้งอธิการบดี ครั้งนั้นมีการออกเกณฑ์ห้ามไม่ให้มีการเลือกตั้งหรือการหยั่งเสียงอธิการบดีไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม หากผู้ใดมีการกระทำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็จะต้องถูกตัดชื่อออกจากรายชื่อผู้ที่จะได้รับการพิจารณา หรือหากเป็นผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยก็จะถือว่ามีความผิดทางวินัย ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการหยั่งเสียงไม่ได้เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งแต่อย่างใด ภายหลังมีการฟ้องศาลกันเกิดขึ้น ทางมหาวิทยาลัยรีบแก้ไข

สังเกตได้ว่าการกระทำรวมถึงกฎเกณฑ์หลายครั้งที่ประกาศออกมามักไม่สนใจและขัดต่อรัฐธรรมนูญ หากแต่แท้จริงนั้นมหาวิทยาลัยควรยึดมั่นต่อหลักการเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก

นี่เป็นเพียงไม่กี่เรื่องตลอด 60 ปี ที่มีสภาวะหกเหิน เหินขึ้นฟ้า หรือจะเหินลงดิ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นเองเรื่องราวหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะมีการแก้ไขและถูกบันทึกอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป

บรรณานุกรม

  • กลุ่มสนทนาประสา มช. รุ่นเดอะ. (2565). ทศวรรษแรกชีวิตนักศึกษามช. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • คณะทำงานหนังสือ “50 ปี มช. รหัส 13”. (2563). ๕๐ ปี มช. รหัส ๑๓. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบีย. (ม.ป.ป). รักน่ารัก (2525). https://thaibunterng.fandom.com
  • ประชาไท. (2565). ตัดโซ่หอศิลป์ มช. ไม่จบ ตร. ออกหมายเรียก 2 อาจารย์ – 1 นศ. ข้อหาบุกรุก อดีตคณบดีวิจิตร ศิลป์เป็นคนแจ้ง. https://prachatai.com/journal/2022/11/101316
  • ประชาไท. (2566). มช. ออกกฎชุมนุมฉบับใหม่ ห้ามแตะต้องสถาบันกษัตริย์สมชายระบุ ขัดรัฐธรรมนูญ. https://prachatai.com/journal/2023/07/104852
  • ประวัติความเป็นมา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://www.cmu.ac.th/th/cmu/history
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2565). เมื่อนกสีฟ้าปะทะออกข่วงในเสี้ยวประวัติศาสตร์การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://www.cmu.ac.th
  • รู้สึกสบายดี. (2560). รักน่ารัก. https://feelgoodbytornop.wordpress.com
  • สมโชติ อ๋องสกุล. (2565). จดหมายเหตุมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประวัติศาสตร์ยุคเรียกร้องมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ และ ประวัติบุคคลผู้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เอ็น.พี.ที.ปริ้น.ติ้ง
  • หอประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หอศิลป์ปิ่นมาลา). ประวัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://library.cmu.ac.th
  • Infinity Podcast. (2563). What’s Up Chiangmai? 03: ตำนานลูกทุ่งวิจิตรศิลป์. https://podcastaddict.com
  • Chiangmai news. (2561). 14 กม.แห่งความทรงจำรับน้องขึ้นดอยความภูมิใจของ ลูกช้าง มช. https://www.chiangmainews.co.th
  • Chiangmai news. (2561). มาแล้วลูกทุ่งวิจิตรศิลป์ 2561”. https://www.chiangmainews.co.th
  • Fine art. (2566). FOFA CMU ART FESTIVAL. https://www.finearts.cmu.ac.th
  • Sanook. (2561). โก้อย่างเคย งานลูกทุ่งวิจิตรศิลป์60 “ลูกทุ่งไทยไชโยสนั่นทั่วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://www.sanook.com
  • Thai PBS. (2565). นพ.รังสฤษฎ์งง ถูกรปภ.มช. ไล่คณะดูนก อ้างได้รับคำสั่งให้มาสลายการชุมนุม“. https://www.thaipbs.or.th/news/content/320287
  • ขอ ศ. นานที่สุดของประเทศ? ‘สมชาย’ ทวง อธิการบดี มช. อย่าลืมวิจัยหลายชิ้นคว้ารางวัลเป็นหน้าตามหา’ลัย https://www.lannernews.com/26092566-02/
  • ช้างเผือก: สัญลักษณ์อาณานิคมประจำจังหวัดเชียงใหม่ https://www.the101.world/lanna-history-10/
ซูไรญา บินเยาะ

More like this
Related

คนแม่อายประกาศ ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ แนะรัฐควรใช้งบ 173 ล้านสร้างประปาบาดาลแทน

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับมูลนิธิร่มโพธิ์ กลุ่มรักษ์แม่น้ำกก และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเวทีรับฟังปัญหาและผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก ที่ตำบลท่าตอน...

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...