เวียงแก้ว : พระราชวังล้านนา คุกข่มดวงเมือง และมรดกโลกที่ยังมาไม่ถึง

Date:

*บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ เรื่อง การศึกษาเครือข่ายการประกอบสร้างความรู้ทางโบราณคดีภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

หลายคนอาจเคยสัญจรผ่านพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่กลางเมืองเชียงใหม่ใกล้กับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์  ด้านข้างของอำเภอเก่าแล้วนึกสงสัยว่าพื้นที่แห่งนี้คืออะไร เหตุใดยังไม่ถูกจับจองก่อสร้างเพื่อใช้ประโยชน์ สภาพปัจจุบันนั้นรกร้าง ถูกตีปิดด้วยสังกะสีทุกด้าน มองเห็นเพียงอาคารเก่า ๆ ที่มีหน้าต่างเป็นซี่ลูกกรง ประตูไม้หนา หนัก และหอสังเกตการณ์ที่ยังพอทำให้ทราบได้ว่าที่นี่เคยเป็นคุกมาก่อน ประวัติของพื้นที่นี้แต่เดิมเคยเป็นที่ตั้งของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในบริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของคุ้มหลวงเวียงแก้ว พระราชวังของกษัตริย์ ล้านนาในอดีต เป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนา-สยามที่มีข้อครหาว่าสยามนั้น ‘สร้างคุก ข่มดวงเมือง’ จนมีผู้ออกมาเรียกร้องให้รื้อคุกแห่งนี้ออกเสียจากกลางเมืองเชียงใหม่  

ความพยายามเปลี่ยนแปลงพื้นที่เวียงแก้วให้พ้นจากการเป็นคุกนั้นเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 โดยมีนายไกรศรี นิมมานเหมินท์ เป็นผู้นำในการรณรงค์เพื่อใช้พื้นที่บริเวณเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ (ชาย) เป็นสวนสาธารณะ  และมีมูลนิธิสถาบันพัฒนาเมืองได้รับช่วงรณรงค์ต่อโดยเรียกร้องเรื่อยมา ในปีพ.ศ. 2541 กรมราชทัณฑ์ได้ย้าย เรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ (ชาย) ออกไปอยู่บริเวณศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ แล้วเปลี่ยนพื้นที่นี้เป็น​​ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ จนกระทั่งปีพ.ศ. 2544 มีการรวมกลุ่มกันก่อตั้งสถาบันล้านนาร่วมกันกับมูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง และองค์กรภาคประชาชนร่วมกันเรียกร้องให้ย้ายทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ออกไปนอกเมือง ถัดมาในปีพ.ศ.  2545 กรมราชทัณฑ์เริ่มดำเนินการจัดสร้างและโยกย้ายไปยังทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่แห่งใหม่ในพื้นที่อำเภอแม่แตง ในขณะที่สำนักนโยบายและแผน กระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้เทศบาลเมืองเชียงใหม่ใช้พื้นที่นี้สร้างเป็น สวนสาธารณะ ต่อมาในปีพ.ศ. 2555 สำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติต้องการจะรื้อทุบอาคาร เก่าทั้งหมดทิ้งและใช้พื้นที่ราว 22 ไร่ของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่เดิมนี้สร้างเป็น “ข่วงหลวงเวียงแก้วพุทธมณฑล” เป็นพื้นที่พุทธอุทยานและสวนสาธารณะ ด้วยงบประมาณการก่อสร้าง 1,200 ล้านบาท ใช้ในการ ประดิษฐาน “พระพุทธชยันตี 2600 ปี” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และในโอกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชันษาครบ 100 ปี ณ ขณะนั้น (ธีระพล คุ้มทรัพย์, 2013) แต่เพราะตำแหน่งพื้นที่นี้ ตรงกับพื้นที่ของ ‘เวียงแก้ว’ ที่ปรากฏในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2436 ทำให้จำเป็นต้องแทรกขั้นตอนการ ขุดค้นทางโบราณคดีเข้ามา ซึ่งหลังจากการขุดค้นทางโบราณคดีจนพบแนวโบราณสถานที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นคุ้มหลวงในอดีตจริงตามที่ปรากฏในแผนที่และในเอกสารหลักฐานอื่น ๆ ทำให้การบริหารจัดการพื้นที่เวียงแก้ว ได้รับความสนใจจากสาธารณะและองค์กรการศึกษาต่าง ๆ มากขึ้น แผนการดำเนินงานถูกปรับเปลี่ยน ชาวเชียงใหม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่ใช่การกำหนดแนวทางจากส่วนกลาง เพียงฝ่ายเดียว มีการจัดเสวนาเพื่อสำรวจความคิดเห็นโดยเชิญตัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผู้สูงอายุ สล่าเมือง พ่อครู ผู้นำชุมชน กลุ่มนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน สถาปัตยกรรม นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ องค์กรที่มีส่วน เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ (MGR Online, 2556)

ภาพแผนที่พื้นที่เวียงแก้ว และหอพระแก้วร้าง (ภาพ: ศิลปวัฒนธรรม)

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นความขัดแย้งเรื่อง ‘คุกข่มดวงเมือง’ จากความเชื่อที่ว่าคุกนั้นเป็นสิ่งอัปมงคล  เป็นเครื่องมือของสยามในอดีตในการแผ่อำนาจมาปกครองครอบงำล้านนา โดยการสร้างคุก หรือคอก ทับลงบนคุ้มหลวงของเจ้าเมืองเชียงใหม่ นั้นเป็นการกระทำทางไสยศาสตร์ที่มุ่งกดทับความศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ทิพย์จักร  เชื้อสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนของพระเจ้ากาวิละ และหลายคนอาจเคยเห็นหรือได้ฟังเรื่องราวของความพยายามที่จะย้ายเรือนจำออกไปจากพื้นที่กลางเมืองเชียงใหม่ให้พื้นที่นี้พ้นไปจากความเป็นเสนียดบ้านเสนียดเมือง แนวคิดนี้ สอดคล้องกับงานการศึกษาของสุเทพ สุนทรเภสัช (2540) และธงชัย วินิจจะกูล (2544) ที่ได้กล่าวถึงการขยายอำนาจเข้าปกครองดินแดนล้านนาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยชี้ว่ารัฐบาลสยามใช้ระบบ อาณานิคมภายใน (Internal Colonialism) ที่รัฐบาลกลางเข้าไปจัดการท้องถิ่นที่เป็นอาณานิคมตามความต้องการของรัฐบาล โดยลบความสำคัญของสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อหรือจารีตของคนท้องถิ่นและให้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่ามีความเหมาะสม นั่นคือการเปลี่ยนพื้นที่คุ้มหลวง เวียงแก้ว ซึ่งตามทัศนะของชาวล้านนาถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หรือศูนย์กลางของรัฐให้เป็นสถานที่ราชการของรัฐบาล กรุงเทพฯ (โดม ไกรปกรณ์, 2556) นำมาสู่ปัญหาว่าอาคารเรือนจำเดิมนั้นสมควรต้องรื้อถอนออกไปทั้งหมดเพื่อ กำจัดความเป็นเสนียด หรือควรอนุรักษ์ไว้ในฐานะโบราณสถานที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ ระหว่างล้านนาและสยาม ซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องย้อนไปถึงต้นทางของการสร้างคุกในพื้นที่แห่งนี้ว่ามีที่มา อย่างไร ความเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นเลยหรือไม่ ถ้าใช่ เจ้าล้านนาคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงยอมให้สยามเข้ามาใช้พื้นที่สำคัญนี้ได้  

มูลเหตุเริ่มต้นของการสร้างคุกที่กลางเมืองเชียงใหม่นั้นเกิดจากเหตุน้ำท่วมที่ว่าการมณฑลพายัพที่ริมน้ำปิง เมื่อกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2448 เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ ต้องย้ายที่ว่าการมณฑลพายัพเข้ามาเปิดทำการร่วมกับที่ว่าการเค้าสนามหลวงที่กลางเวียง โดยเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ได้ยกที่ดินฝั่งตรงข้ามที่ว่าการเค้าสนามหลวง ซึ่งในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2436 ระบุว่า เป็น “หอพระแก้วร้าง” ให้เป็นสถานที่ก่อสร้างที่ว่าการมณฑลพายัพแทนอาคารเดิมที่ริมแม่น้ำปิงดังความว่า “… ปรึกษากันกับเจ้าอินทรวโรรส เอาที่เวียงแก้วสร้างเรือนจำสำหรับเมืองเชียงใหม่…” (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ,  2469) โดยสาเหตุที่ต้องสร้างเรือนจำขึ้นใกล้กับที่ว่าการมณฑลพายัพ เนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าหลวงเทศาภิบาลและผู้ว่าราชการเมืองดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำในมณฑลด้วย ดังปรากฏในข้อบังคับเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษตามหัวเมือง ความว่า “…น่าที่ ผู้ว่าราชการเมืองบังคับการทั่วไป ข้อ 1. ผู้ว่าราชการเมือง เปนผู้บังคับการคุมขังนักโทษในตะราง บรรดามีในจังหวัดเมืองนั้นทั่วไป เมื่อผู้ว่าราชการเมืองติดราชการอย่างอื่นจะให้ปลัดทำแทนก็ได้ แต่ผู้ว่าราชการเมืองต้องเปน ผู้รับผิดชอบด้วยตรวจตะรางเนืองๆ ข้อ 2. ผู้ว่าราชการเมืองต้องหมั่นไปตรวจตะรางที่คุมขังนักโทษในเมืองนั้น เนืองๆ อย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 7 วัน ต่อครั้ง ตรวจกลางคืนบ้าง ข้อ 3. ในการที่ผู้ว่าราชการเมืองไปตรวจตะรางนั้น ต้องมีเวลาจู่โจมไปตรวจในกลางคืนเพื่อให้รู้เห็นอาการที่เจ้าพนักงานประจำรักษาประการใดด้วยพบกับตัวนักโทษ ข้อ 4. ในเวลาที่ผู้ว่าราชการเมืองไปตรวจตะรางในเวลากลางวันนั้น ควรตรวจให้พบกับตัวนักโทษบรรดามีถ้วนทุกคน และควรไต่ถามฟังคำร้องทุกข์ของนักโทษ ที่จะร้องเรียนขอความอนุเคราะห์ประการใดโดยสมควร”  (ราชกิจจานุเบกษา, 2440 ; วรชาติ มีชูบท, 2555) การก่อสร้างเรือนจำในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ว่าการมณฑลจึงสะดวกต่อการตรวจตราตามข้อบังคับดังกล่าว 

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงพื้นที่คุ้มหลวงเวียงแก้วเป็นสถานที่ราชการอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเจ้านายเชียงใหม่ในช่วงนั้น เนื่องจากความเชื่อและทัศนะที่ให้ความสำคัญต่อพื้นที่กลางเวียงและตัวคุ้มหลวงเวียงแก้วในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้เสื่อมคลายไปแล้ว เพราะพื้นที่นี้ถูกลดความสำคัญตั้งแต่ปีพ.ศ. 2413 และปล่อยร้างเรื่อยมาจนถึงปีพ.ศ. 2448 แต่อาจขัดกับความเชื่อของราษฎรชาวล้านนา ณ ขณะนั้น ที่ยังคงมีโลกทัศน์แบบจารีต ดั้งเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปดังเช่นเจ้านายผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ (คมเนตร เชษฐพัฒนวนิช, 2540) ราษฎรล้านนายังคงมองว่าพื้นที่กลางเวียงและคุ้มหลวงเวียงแก้วเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้โดยตีความจากทัศนะที่ระบุว่า เรือนของเจ้านายที่สร้างนอกกำแพงเมือง “บ่ใช่คุ้มเพราะบ่ได้อยู่ในเมือง” (อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว, 2554) ซึ่งเป็นการแสดงทัศนะต่อการย้ายตำแหน่งสิ่งก่อสร้างของเจ้าล้านนาเอง ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างของสยาม การยกพื้นที่ให้สยามยังมีหลักฐานจากการสอบความใน “พระดำรัสตรัสเล่า” ที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเล่าประทาน คุณแสงดาว ณ  เชียงใหม่ พบความว่า “เวียงแก้ว เป็นเนื้อที่สี่เหลี่ยมจดถนนทุกทิศเป็นมรดกของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้านครเชียงใหม่ เจ้าอินทวโรรสฯ ได้ยกทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นเรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ในด้านทิศใต้ ส่วนด้านทิศเหนือ  เจ้าอินทวโรรสฯ ได้จัดทำเป็นสวนสัตว์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งได้ยกให้ข้าบริพาร คือ พระญาติๆ หลานเหลน และ เหล่าเสนาของท่าน เช่น หมื่น ท้าว พญาทั้งหลายในสมัยนั้น” (แสงดาว ณ เชียงใหม่, 2517) เมื่อประกอบกับข้อมูลจากเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ที่กล่าวไปแล้ว (ถึงแม้จะไม่ใช่หลักฐานถ้อยคำหรือบันทึกจากฝั่งล้านนา) แต่การเปลี่ยนแปลงคุ้มหลวงเวียงแก้วให้เป็นสถานที่ราชการตามนโยบายของสยามนั้น และยังไม่พบหลักฐานเรื่องความไม่พอใจของราษฎรชาวล้านนาในขณะนั้น หรือแม้แต่ชนชั้นสูงของล้านนาเองก็ไม่ได้แสดงออกถึงการต่อต้านในเรื่องการใช้พื้นที่นี้อย่างชัดเจนเท่ากับการแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐบาลสยามในรูปแบบอื่น ๆ 

ภาพเรือนจำในอดีต

อย่างไรก็ตาม ทัศนะความเชื่อเรื่องพื้นที่อัปมงคลข่มดวงเมืองนี้ยังคงอยู่และสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ จากการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ รวมไปถึงความเห็นจากนักวิชาการและผู้สนใจประวัติศาสตร์ล้านนา แต่การ”ทุบ” หรือ “ไม่ทุบ” อาคารเรือนจำภายในพื้นที่เวียงแก้วนั้นขึ้นอยู่กับสถานภาพการ ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ โบราณสถานของเวียงแก้วด้วย หากพิจารณาจากพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ  ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535) ในมาตรา 4 กล่าวว่า “มาตรา ๔ ใน พระราชบัญญัตินี้ “โบราณสถาน” (๑) หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ทางศิลป ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี  ทั้งนี้ให้รวมถึงสถานที่ที่เป็นแหลงโบราณคดีแหล่งประวัติศาสตร์และอุทยานประวัติศาสตร์ด้วย” (กรมศิลปากร,  2556) อาคารเรือนจำ ได้แก่ อาคารเรือนเพ็ญ อาคารบัญชาการ อาคารแว่นแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6  และแนวโบราณสถานที่ขุดพบจึงถูกจัดให้เป็นโบราณสถานได้อย่างแน่นอน แต่อยู่ในสถานะโบราณสถานที่ยังไม่ได้ รับการขึ้นทะเบียน แต่ พ.ร.บ.โบราณสถานฯ ก็ให้ความคุ้มครองต่อตัวโบราณสถานประเภทนี้ การกระทำใด ๆ ที่ส่ง ผลกระทบต่อตัวโบราณสถานยังต้องได้รับการพิจารณาจากกรมศิลปากร (Archaeology 7 Chiang Mai, 2016)

ดังนั้น หากมีการรื้อถอนอาคารทั้งหมดของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ตามความต้องการของคนบางกลุ่ม จะผิดพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม  พ.ศ. 2535) ในมาตรา 32 วรรค 1 ความว่า “มาตรา ๓๒[๓๖] ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทำให้เสียหาย ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ” (กรมศิลปากร, 2556, 23) จึงทำให้ อาคาร 3 หลัง ถูกพิจารณาโดยอธิบดีกรมศิลปากรแล้วว่า ให้เก็บรักษาไว้ นำไปสู่การพิจารณาปรับแบบการสร้างสวนสาธารณะในพื้นที่ดังกล่าวให้ไม่กระทบต่อแนว โบราณสถานและมีแผนการอนุรักษ์ฟื้นฟูอาคารเรือนจำมณฑลพายัพขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานพื้นที่ด้วย  ถือเป็นวิธีการที่จะแสดงออกถึงประวัติศาสตร์ของพื้นที่เวียงแก้วทั้งในช่วงที่มีสถานะเป็นคุ้มหลวงหรือพระราชวังของล้านนา และในช่วงที่ร้างไปจนกระทั่งถูกใช้เป็นพื้นที่เรือนจำในเวลาต่อมา แต่สภาพการณ์ในปัจจุบัน พื้นที่เวียงแก้วยังคงไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ทั้งที่มีการขุดค้น-ขุดแต่งทางโบราณคดี มีการทำแผนผังโบราณสถานประกอบรายงานการขุดค้น-ขุดแต่งทางโบราณคดีเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนคิดว่าปัญหาส่วนหนึ่งอาจมา จากความซับซ้อนของบริบททางสังคมของพื้นที่ ทั้งในฐานะที่เวียงแก้วเป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์ล้านนาและเวียงแก้วในฐานะการเป็นเรือนจำมณฑลพายัพที่ถูกมองว่าแสดงถึงอำนาจการปกครองของสยามเหนือล้านนาในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่อง คือ กรมศิลปากรไม่สามารถทำตามความต้องการของประชาชนบางส่วนที่ต้องการให้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานเฉพาะส่วนที่เป็นร่องรอยสิ่งก่อสร้างและโบราณสถานสมัยล้านนาก่อนการสร้างเรือนจำมณฑลพายัพ เพราะอาคารเรือนจำมณฑลพายัพก็เข้าเกณฑ์เป็นโบราณสถานเช่นกัน  และส่วนของการกำหนดขอบเขตโบราณสถานก็อาจมีปัญหา เพราะบางส่วนของโบราณสถานอยู่ชิดกับอาคารพาณิชย์ทางทิศตะวันออก สามารถสันนิษฐานได้ว่า แนวโบราณสถานเหล่านั้นทอดยาวต่อเข้าไปใต้พื้นที่อาคารพาณิชย์บริเวณนั้น ถ้าประกาศเขตโบราณสถานอาจต้องเวนคืนที่ดินอาคารพาณิชย์บริเวณนั้น อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจจากประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีราคาประเมินที่ดินรายถนนที่ยังไม่รวมราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างราคาสูง ได้แก่ ถนนจ่าบ้าน (ทิศตะวันออกของเวียงแก้ว) 54,000 บาท/ตารางวา ถนนราชวิถี (ทิศใต้ของ เวียงแก้ว) 90,000 บาท/ตารางวา ถนนข้างเรือนจำ (ทิศตะวันตกของเวียงแก้ว) 57,500 บาท/ตารางวา (กรมธนารักษ์, 2566) 

ภาพ: MGR Online

ความสำคัญของพื้นที่เวียงแก้วยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อเกิดโครงการมรดกโลกเชียงใหม่ โดย “สถานที่ อนุสรณ์ สถาน และพื้นที่ทางวัฒนธรรมในเชียงใหม่ เมืองหลวงแห่งล้านนา” ถูกบรรจุเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative  List) ของศูนย์มรดกโลกในปี พ.ศ. 2558 ขั้นตอนหนึ่งในการขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก ตาม แนวทางของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก (MGR Online, 2560 ; สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, 2023) มีหน่วยงานหลักที่ผลักดันการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมืองเชียงใหม่ ได้แก่ คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ภายใต้สำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศึกษาวิจัย  ดำเนินการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเชียงใหม่ตามแนวทางเมืองมรดกโลก ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน  (MGR Online, 2565) เมืองเชียงใหม่มีคุณสมบัติที่เข้าข่ายการพิจารณาหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยจากการประชุมขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่สู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ได้ข้อสรุปว่า จะนำเสนอคุณค่าของเมืองเชียงใหม่ใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านผังเมือง ด้านมรดกวัฒนธรรม และด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม แบ่งออกเป็น 4 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่ 1) กลุ่ม แหล่งมรดกที่มีความสำคัญในรูปสัณฐานและการวางผังเมืองเดิม พื้นที่ที่ 2) กลุ่มศาสนสถานและแหล่งโบราณคดีที่สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา พื้นที่ที่ 3) กลุ่มมรดกที่แสดงถึงคุณค่าอันโดดเด่นทางประวัติศาสตร์ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมล้านนา และ พื้นที่ที่ 4) กลุ่มแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์ภายในพื้นที่กันชนที่เกี่ยวข้อง (สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 2566)  

ภาพทางเข้าคุ้มเวียงแก้วในปัจจุบัน

ในปีพ.ศ. 2566 พบว่ามีการใส่ชื่อแหล่งโบราณคดี “คุ้มหลวงเวียงแก้ว” ลงไปในแหล่งมรดกเมืองเชียงใหม่ ในหัวข้อ กลุ่มแหล่งมรดกที่มีความสำคัญในรูปสัณฐานและการวางผังเมืองเดิม บนเว็บไซต์ระบบฐานข้อมูลมรดกโลกของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการแก้ไขล่าสุดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2566) ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินงานตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 เป็นต้นมา ไม่ปรากฏชื่อของแหล่งโบราณคดีนี้แต่อย่างไร แตกต่างจากโบราณสถานอื่น ๆ ในประเภทเดียวกัน เช่น คูเมือง แนวก าแพงเมือง แจ่ง 4 มุมเมือง และอื่น ๆ ที่ปรากฏชื่อให้เห็นอยู่โดยตลอด ระยะเวลาการทำโครงการ ซึ่งการเลือกใช้เวียงแก้วเป็นข้อสนับสนุนความโดดเด่นด้านรูปสัณฐานและการวางผังเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยล้านนา แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมต้องการใช้โบราณสถานและหลักฐานทางโบราณคดีของเวียงแก้วในช่วงที่ยังคงมีการใช้งานเป็น คุ้มหลวงหรือที่ประทับของกษัตริย์ล้านนา แต่กลับไม่กล่าวถึงเวียงแก้วในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การสร้างเรือนจำแบบตะวันตกในประเทศไทย แม้ว่าแหล่งโบราณคดีนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอนุสรณ์สถานหรือแหล่งโบราณคดีที่เป็นตัวแทนปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ล้านนา-สยาม-ชาติตะวันตก) นั่นแสดงให้เห็นว่า  ประวัติศาสตร์ล้านนาในช่วงกึ่งก่อน-หลังการผนวกรวมกับสยามไม่ถูกพูดถึง ทั้งที่ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจเข้าเกณฑ์ข้อที่ 6 ของหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม นั่นคือ มีความเกี่ยวข้องโดยตรงด้านความคิดหรือความเชื่อที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์หรือบุคคลที่มีความสำคัญหรือความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์  (ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก, ม.ป.ป.) นอกจากนี้ การที่เวียงแก้วมีรายชื่อในแหล่งมรดกเมืองเชียงใหม่ควรกระตุ้นให้เกิด การบริหารจัดการพื้นที่นี้อย่างจริงจังหลังจากไม่มีการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่นี้หลังจากการขุดค้นทางโบราณคดี ระยะสุดท้ายแล้วเสร็จในปลายปีพ.ศ. 2565 ทั้งในส่วนของการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน แผนการบูรณะ และอนุรักษ์โบราณสถาน การบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบโบราณสถาน ซึ่งเป็นการย้อนกลับไปหาคำตอบให้ จุดเริ่มต้นของการดำเนินงานในพื้นที่นี้ว่าต้องการให้ออกมาเป็นพื้นที่สาธารณะในรูปแบบใดที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดจนประชาชนทั่วไปให้ได้มากที่สุด โดยไม่ลืมที่จะคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะคนที่อาศัยและใช้ชีวิตอยู่รอบ ๆ เวียงแก้วตั้งแต่อดีต และจะเป็นผู้รับผลของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่นี้ในอนาคต

ท้ายนี้ ผู้เขียนยังคงรอที่จะได้เห็นโฉมหน้าของเวียงแก้วหลังการปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่แล้วเสร็จในเร็ววัน ไม่ยืดเวลาให้ช้าออกไปจนทำให้โบราณสถานอันเป็นข้อมูลที่มีค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีนั้น เสียหายจากการถูกละเลยให้ต้องตากแดดลมฝนโดยไม่ผ่านกระบวนการอนุรักษ์ ให้เวียงแก้วได้ทำหน้าที่ส่งต่อ ประวัติศาสตร์ล้านนา-สยามให้คนรุ่นหลัง ในแบบที่ครบถ้วนที่สุดแม้ว่าจะมีคนอยากลืมก็ตาม  

อ้างอิง 

  • กรมธนารักษ์. (2566). สรุปราคาประเมินที่ดินรายหน่วยที่ดิน รอบบัญชี พ.ศ.2566-2569.  https://reportassessprice.treasury.go.th/SUMMARY/2566%20-%202569/50/สรุปราคาประเมิน คุณทรัพย์ที่ดิน 
  • กรมศิลปากร. (2556). พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.  2504 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 พร้อมด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง. บริษัท ส านักพิมพ์สมาพันธ์ จ ากัด. 
  • ข้อบังคับเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษตามหัวเมือง. (4 กุมภาพันธ์ 118). ราชกิจจานุเบกษา. 116. 635-646. คมเนตร เชษฐพัฒนวนิช. (2540). ขึด : ข้อห้ามในล้านนา. สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 
  • โดม ไกรปกรณ์. (2556). คุ้มหลวงและเวียงแก้วของเจ้าเชียงใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 : เรื่องราวที่ไม่ถูกเล่าถึงใน พงศาวดารสยามและร่องรอยที่พบในหลักฐานอื่น. หน้าจั่ว. 10. 10-25. 
  • ธงชัย วินิจจะกูล. (2544). ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยมจากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือ ลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยในปัจจุบัน. ศิลปวัฒนธรรม. 23(1). 57-61. 
  • ผู้จัดการออนไลน์. (3 สิงห าคม 2565). อบ จ .เชียงใหม่ เดินหน้ า “เชียงใหม่ เมืองมรดกโลก” .  https://mgronline.com/travel/detail/9650000073866
  • วรชาติ มีชูบท. (2555). เวียงแก้ว จากคุ้มหลวงสู่คอกหลวงนครเชียงใหม่. ศิลปวัฒนธรรม. 33(10). 144-155. ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก. (ม.ป.ป.). อนุสัญญามรดกโลก. http://164.115.22.96/convention.aspx 
  • สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์. (2566). จังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้าขับเคลื่อนเมืองมรดกโลก.  https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG230707153715872 
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2023). แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและ ธรรมชาติของไทยที่บรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น ( Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก.  https://www.onep.go.th/tentative-list/ 
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2023). 
  • อนุสรณ์สถานแหล่งต่างๆ และภูมิทัศน์ วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา (เชียงใหม่). https://worldheritagesite.onep.go.th/ สุเทพ สุนทรเภสัช. (2540). 
  • มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์ : รวมความเรียงว่าด้วยการประยุกต์ใช้แนวความคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์.  เมืองโบราณ.  
  • แสงดาว ณ เชียงใหม่. (2517).“พระดำรัสตรัสเล่า”, พระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี26 สิงหาคม 2416-9 ธันวาคม 2476. (อนุสรณ์ท าบุญสตมวาร (100 วัน) วันถึงแก่กรรม เจ้าแสงดาว ณ เชียงใหม่). โรง พิมพ์กลางเวียง.  
  • หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร.0201.32/1 เรื่อง ตึกหอคำ นครน่าน (พ.ศ. 2472-2482). อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. (2554). สังคมและวัฒนธรรมล้านนา จากคำบอกเล่า. โรงพิมพ์ ส.การพิมพ์. 
  • Archaeology 7 Chiang Mai. (2016). #คลีนิคโบราณสถาน #โบราณสถานขึ้นทะเบียนและโบราณสถานไม่ ขึ้นทะเบียน. https://www.facebook.com/959237684143410/posts/1195932867140556/ 
  • MGR Online. (2556). เชียงใหม่เดินหน้ารับฟังความเห็นพัฒนา “ข่วงหลวงเวียงแก้ว” ตั้งเป้าเก็บข้อมูล 3  เดือนก่อนสรุป ก.ย.นี้. https://mgronline.com/local/detail/9560000065224
  • MGR Online. (2560). รู้จัก “6 มรดกไทย” ใน “บัญชีรายชื่อเบื้องต้น” มรดกโลก. https://mgronline.com/ sitedetail/20travel/detail/9600000068995

บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ประชุมสัมมนาวิชาการล้านนาศึกษา Lanna Symposium: Lanna Decolonized “ล้านนาทะลุกรอบอาณานิคม” วันที่ 4 มีนาคม 2567 

สิตานันท์ สุวรรณศิลป์

More like this
Related

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...