มีจิตมีใจจะใฝ่ฝัน ฉากชีวิตผู้ลี้ภัยเมียนมาในแม่สอด แม้ในเงามืด ยังมองเห็นเสรีภาพ

Date:

เรื่อง: จตุพร สุสวดโม้

ภาพ: ปรัชญา ไชยแก้ว

หลังการรัฐประหารในเมียนมาเมื่อปี 2564 (ค.ศ.2021) เมียนมาต่างเผชิญความไม่สงบและการกดปราบจากรัฐบาลทหาร ประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้านผ่านกลุ่มขบวนการอารยะขัดขืน Civil Disobedience Movement หรือ (CDM) โดยเฉพาะข้าราชการที่ปฏิเสธการทำงานให้กับรัฐบาลที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แม้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงนานัปการ แต่หลายคนเลือกจะยืนหยัด แม้จะแลกด้วยอิสรภาพ หรือแม้แต่ชีวิต

“แอน” อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วม CDM และถูกออกหมายจับ เธอตัดสินใจลี้ภัยมายังอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แม้ชีวิตต่างแดนจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เธอยังคงมุ่งมั่นสอนเด็กข้ามชาติที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เพราะสำหรับแอนแล้ว เธอเชื่อเสมอว่า ความรู้คืออาวุธสำคัญที่จะสร้างเส้นทางในอนาคต ไม่เพียงอนาคตในเส้นทางของเธอ แต่รวมถึงเด็ก ๆ ที่ต้องพลัดถิ่นจากความขัดแย้งและไฟสงครามในบ้านเกิด

ฉากชีวิตของแอนไม่ใช่กรณีเดียว คนหนุ่มสาวเมียนมาหลายคนต้องหนีออกจากประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารและการถูกกดขี่ “มอยิน” และ “เกซา” คือตัวอย่างของผู้ลี้ภัยที่ต้องดิ้นรนในไทยโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย แม้อนาคตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย แต่ความหวังไม่เคยจางหาย ทั้งสองยังคงฝันถึงวันที่จะได้กลับไปสร้างเมียนมาที่เป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง

เมื่ออาจารย์มหาลัยต้องกลายเป็นแรงงานข้ามชาติ

ภายใต้เงาของความหวาดกลัว หลังจากการรัฐประหารที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร ขบวนการอารยะขัดขืน หรือ CDM (Civil Disobedience Movement) ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายตัวไปทั่วประเทศ โดยมีประชาชนจากทุกสาขาอาชีพเข้าร่วม หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมคือ “แอน” (นามสมมติ) หญิงวัย 42 ปี อดีตอาจารย์ภาคประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองปยี   ในภูมิภาคพะโคหรือหงสาวดี ของประเทศเมียนมา

“ฉันเข้าร่วม CDM ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากที่กองทัพยึดอำนาจ ฉันตัดสินใจไม่ไปสอนหนังสือเพราะไม่อยากอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ” 

เธอกล่าวพร้อมกับแววตาแน่วแน่ การตัดสินใจครั้งนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชีวิตของเธอเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสละอาชีพที่เธอรักและรายได้ทั้งหมดของเธอไปด้วย

CDM เกิดขึ้นจากการที่ประชาชนปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหาร โดยเฉพาะบุคลากรในภาครัฐ อาทิ ครู อาจารย์ แพทย์ และข้าราชการจำนวนมากที่ตัดสินใจหยุดงานเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านเผด็จการทหาร อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้มาพร้อมกับผลกระทบที่ร้ายแรง รัฐบาลทหารออกคำสั่งไล่ออกและตัดเงินเดือนผู้ที่เข้าร่วม CDM พร้อมทั้งออกหมายจับและคุกคามชีวิตของพวกเขา

“ฉันต้องเปลี่ยนที่อยู่ตลอดเวลา เพราะรัฐบาลทหารจับกุมผู้ที่เข้าร่วม CDM ถ้าถูกจับ อาจต้องติดคุกหรือแย่กว่านั้น ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกจากเมียนมา”

สถานการณ์ของอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมียนมาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลายคนต้องหลบซ่อน หลายคนถูกจับกุม และบางคนต้องหนีออกนอกประเทศเช่นเดียวกับแอน

ในเมื่อปฏิเสธการทำงานภายใต้รัฐบาลทหาร รายได้ของเธอก็ถูกตัดขาดทันที พร้อมกันกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งปิดตัวลงจากทั้งการระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกจากบ้านเกิด แอนใช้เวลาร่วม 2 ปี ซ่อนตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ ในเมียนมา ก่อนจะตัดสินใจเดินทางข้ามชายแดนมายังแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2566

การเป็นแรงงานข้ามชาตินั้นไม่ง่าย แอนเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะคนงานเก็บข้าวโพด ซึ่งเป็นงานที่หนักและให้ค่าจ้างเพียงเล็กน้อย

“วันหนึ่งได้เงินประมาณ 300 บาท มันไม่พอ แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีทางเลือก” เธอ กล่าว

ชีวิตในฐานะแรงงานข้ามชาติเต็มไปด้วยอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายการทำงานที่เข้มงวด การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และความยากลำบากในการหาที่พักพิง แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ไม่มีเอกสารทางกฎหมาย ทำให้พวกเขาต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม

วันหนึ่ง หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานเก็บข้าวโพด แอนพบกับโพสต์บนโซเชียลมีเดียของศูนย์การเรียนรู้สำหรับเด็กข้ามชาติในแม่สอดที่กำลังมองหาครูอาสาสมัครมาให้ความรู้เด็กๆ เธอจึงตัดสินใจติดต่อไปทันที

“ฉันเป็นครูมาตลอดชีวิต ฉันรักการสอน ฉันอยากกลับไปทำสิ่งที่ฉันรักอีกครั้ง”

ปัจจุบันแอนสอนที่ศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่งในแม่สอดโดยสอนหลักสูตร General Educational Development GED หรือ เป็นการสอบเทียบวุฒิม.ปลาย (ม.6) ในระบบอเมริกัน ใช้ยื่นเข้าศึกษาต่อระดับป.ตรีในมหาลัยฯ ชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ ให้กับเด็กๆ เมียนมาที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาไทยได้ เด็กเหล่านี้จำนวนมากมาจากครอบครัวผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาในโรงเรียนปกติ

“เด็กเหล่านี้หลายคนหนีสงครามมาเหมือนฉัน พวกเขาไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ฉันแค่อยากทำให้พวกเขามีอนาคตที่ดีกว่า” แอนกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

การกลับมาสอนอีกครั้งไม่เพียงแต่ช่วยให้เธอได้กลับไปทำในสิ่งที่รัก แต่ยังเป็นแสงสว่างให้กับเด็กๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธออีกด้วย

แม้ว่าจะกลับมาสอนหนังสือได้อีกครั้ง แต่ชีวิตของเธอในฐานะผู้ลี้ภัยยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เธอไม่มีสถานะทางกฎหมายในประเทศไทย และไม่สามารถหางานที่มั่นคงได้ การขอรับสถานะผู้ลี้ภัยจากองค์กรระหว่างประเทศเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ก็เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและไม่แน่นอน

“ฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงมหาวิทยาลัย คิดถึงนักศึกษา แต่ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไป”

ปัจจุบัน มีผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมากว่า 3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หลายคนเป็นแรงงานไร้เอกสารที่ต้องทำงานในภาคเกษตรกรรมหรือโรงงานโดยไม่มีหลักประกันด้านสิทธิแรงงาน อีกส่วนหนึ่งเป็นนักกิจกรรม นักข่าว และอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ต้องหลบหนีออกนอกประเทศเนื่องจากการต่อต้านรัฐบาลทหาร

องค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่งในประเทศไทยพยายามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้ โดยให้การสนับสนุนด้านการศึกษา สุขภาพ และความเป็นอยู่ อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายและนโยบายการควบคุมแรงงานข้ามชาติ ทำให้ผู้ลี้ภัยหลายคนยังคงอยู่ในสถานะที่เปราะบาง

อนาคตของเมียนมา และของแอน ยังคงแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจคือ

“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันก็จะเป็นครูเสมอ”

ชะตากรรมที่ไม่อาจยอมรับ อนาคตใหม่ของนักกีฬาอีสปอร์ต

ความเป็นจริงของผู้คนที่ต้องหนีจากบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ใช่เพราะต้องการ แต่เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก “มอยิน” (นามสมมติ) ชายหนุ่มที่เคยมีชีวิตปกติในนครย่างกุ้ง แต่สุดท้ายกลับต้องตัดสินใจออกเดินทางเสี่ยงภัยเพื่อหนีจากชะตากรรมที่เขาไม่อาจยอมรับได้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาประเทศเมียนมาเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง หลังการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 ซึ่งนำไปสู่การยึดอำนาจโดยกองทัพเมียนมา จากนั้น ประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร ทำให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมย่ำแย่ลง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและการจำกัดสิทธิของพลเมือง ส่งผลให้กองทัพเข้าควบคุมประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อวันเดือนกุมพาพันธ์ 2567  รัฐบาลเมียนมาได้ออกประกาศที่ 27/2024  ให้กฎหมายการเกณฑ์ทหาร (People’s Military Service Law) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อปกป้องและรักษาความมั่นคงของชาติ ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากถูกบังคับให้เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารโดยไม่สมัครใจ หนึ่งในนั้นคือ มอยิน ชายหนุ่มวัย 27 ปีจากย่างกุ้ง ซึ่งตัดสินใจหลบหนีออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาอิสรภาพในประเทศไทย

“ผมรู้ว่าถ้ายังอยู่ที่นั่นต่อไป ผมต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารแน่นอน มันไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ ผมไม่อยากจับอาวุธไปสู้รบกับประชาชนของตัวเอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เขาและเพื่อนอีกสองคนเริ่มต้นการเดินทางจากย่างกุ้ง เมืองหลวงของเมียนมา ผ่านเส้นทางลับที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและความหวาดกลัว เพราะต้องผ่านจุดตรวจของกองทัพที่เข้มงวด

“พวกเราต้องเดินทางผ่านพะอัน รัฐกะเหรี่ยง พยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น เรามาถึงฝั่งไทยโดยข้ามสะพานมาและได้รับความช่วยเหลือจากคนที่เคยลี้ภัยมาก่อน”

หลังจากมาถึงแม่สอด เขาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ เขาต้องหางานทำเพื่อหล่อเลี้ยงชีพ และยังต้องหาทางทำให้การอยู่ในประเทศไทยถูกต้องตามกฎหมาย หนึ่งในพวกเขาเปิดเผยว่าได้สมัครทำบัตรชมพู ซึ่งเป็นเอกสารที่ช่วยให้แรงงานข้ามชาติสามารถพำนักและทำงานในไทยได้อย่างถูกต้อง แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 7,500 บาท

หนุ่มวัย 27 ปีรายนี้มีพื้นฐานเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต และก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งทีมแข่งเกมออนไลน์

“ตอนที่อยู่ที่นั่น ผมเล่นเกม Mobile Legends และ PUBG เป็นอาชีพ รายได้ของผมขึ้นอยู่กับการแข่งขันและสปอนเซอร์”

ก่อนจะตัดสินใจหนี เขาใช้ชีวิตในย่างกุ้งอย่างหวาดระแวง “ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ปีสอง แต่สถานการณ์บ้านเมืองทำให้ผมไม่สามารถเรียนต่อได้ ทหารสามารถบุกมาตรวจค้นและเกณฑ์ตัวเราไปเมื่อไรก็ได้”

กฎหมายใหม่ของเมียนมากำหนดให้ชายอายุ 18-35 ปีต้องเข้ารับราชการทหารเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี หากฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกหรือลงโทษหนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกเส้นทางที่อันตรายแต่เต็มไปด้วยความหวังมากกว่า

แม้จะหนีมาได้ แต่ชีวิตในไทยก็ไม่ง่ายสำหรับเขาและเพื่อนๆ พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเพราะความกลัวว่าจะถูกจับกุมในฐานะผู้ลี้ภัย

“ผมไม่กล้าออกไปไหนไกล เพราะกลัวตำรวจจะจับ ถ้าไม่มีเอกสารก็อยู่ได้ยาก”

ด้วยอาชีพที่สามารถทำงานผ่านออนไลน์ได้ เขายังมีความหวังที่จะสร้างอนาคตใหม่ในไทย

“ผมยังทำงานด้านเกมต่อไปได้ และหวังว่าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”

เสรีภาพราคาแพงกว่าใบปริญญา รอยย่ำที่นำไปของนักศึกษาผู้ลี้ภัย

ชีวิตที่ต้องหลบหนีผลจากทางเลือกที่ต้องการเสรีภาพ ทางเลือกที่ชายหนุ่มอีกคนในเมียนมาเคยเผชิญเช่นกัน ในวันที่อนาคตควรจะสดใส ชีวิตของเขากลับต้องพลิกผันเพราะเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงและการริดสอนเสรีภาพจากรัฐทหารถึงประชาชน “เกซา” (นามสมมติ) นักศึกษาปีที่ 6 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา ที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านเผด็จการทหารในการเข้าร่วมขบวนการ CDM ซึ่งหมายถึงการปฏิเสธที่จะร่วมมือกับรัฐบาลทหาร การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้เกซาสูญเสียโอกาสจบการศึกษา และเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปโดยสิ้นเชิง

“ถ้าผมไม่ได้เข้าร่วม CDM ผมคงเรียนจบไปแล้ว”

เขากล่าวอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด หลังการรัฐประหารในเมียนมา นักศึกษาหลายพันคนทั่วประเทศตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ CDM เพื่อประท้วงระบอบทหารซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งที่รู้ดีว่าการตัดสินใจนี้หมายถึงอนาคตที่ไม่แน่นอน

“มันไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน แต่เป็นเรื่องของเสรีภาพและความถูกต้อง”

แม้เขาจะเลือกยืนหยัดแต่ผลที่ตามมาคือมหาวิทยาลัยปฏิเสธที่จะให้เขากลับไปเรียน เว้นแต่จะยอมลงนามในเอกสารยอมรับผิดและแสดงความจงรักภักดีต่อรัฐบาลทหารซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ เขาจึงหนีออกจากเมืองแค่ได้มีชีวิตรอด และได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิศวกรรมที่เขารัก โชคดีที่มีบริษัทแห่งหนึ่งในเมียนมาที่เปิดรับเขาและช่วยปกปิดข้อมูลส่วนตัวของเขาไม่ให้รัฐบาลทหารได้รับรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เพราะบริษัทรู้ว่าเขาเป็น CDM แม้เขาจะไม่มีปริญญารับรองก็ตาม ซึ่งในเมียนมามีบริษัทในลักษณะนี้หลายแห่ง เพราะไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารโดยทหาร รวมไปถึงเข้าใจเงื่อนไขของการออกมาเคลื่อนไหว

แต่ชีวิตของเกซาต้องผลิกผันอีกครั้ง เมื่อกองทัพได้ประกาศการเกณฑ์ทหารและมีความเข้มงวดมากขึ้น สำหรับเขาหากอยู่ในเมียนมา เขามีโอกาสถูกบังคับให้เป็นทหาร ซึ่งหมายถึงต้องร่วมมือกับระบอบที่เขาไม่อาจยอมรับ ทางเลือกเดียวคือการหลบหนีหรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตให้รัฐบาลเพื่อซื้ออิสรภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้

“คนรวยรอด คนจนถูกส่งไปเป็นทหาร” เขากล่าวสะท้อนถึงความเป็นจริงที่โหดร้าย

มีรายงานว่า การจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทหารในเมียนมานั้นอาจสูงถึง 150,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถหาได้ สิ่งนี้ทำให้คนจนต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายขณะที่คนรวยสามารถซื้อเสรีภาพของตนเองได้

เกซาเลือกเส้นทางเสรีภาพของตนเองด้วยการลี้ภัยมายังประเทศไทย แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายดาย

“เราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานบางอย่าง บางครั้งเราต้องทำงานที่ได้เงินน้อยกว่าความสามารถของเรา”

นอกจากความยากลำบากทางเศรษฐกิจแล้ว เขายังต้องเผชิญกับความกลัวตลอดเวลา เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐอาจเข้ามาตรวจสอบและกดดันให้ผู้ลี้ภัยต้องเดินทางกลับประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาและเพื่อน CDM หลายคนไม่อาจทำได้ แม้ว่าชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เขายังคงมีความหวัง เขาพยายามเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรมผ่านคอร์สออนไลน์ และมองหาโอกาสที่จะได้ทำงานในต่างประเทศที่เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับผู้ลี้ภัยจากเมียนมา

“ผมยังคงเชื่อว่าในอนาคต ผมจะสามารถทำงานที่ผมรักได้ และอาจจะได้กลับไปสร้างเมียนมาให้ดีขึ้นในสักวันหนึ่ง” เขากล่าวด้วยความมุ่งมั่น

สำหรับเซกา การเข้าร่วม CDM อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันคือการเลือกเส้นทางที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง แม้จะต้องแลกด้วยความไม่แน่นอนและการเสียสละมากมายก็ตามสำหรับเขา การเลือกเข้าร่วม CDM ไม่ใช่เพราะความโง่เขลา หรือการไม่รู้จักอดทน แต่เป็นเพราะความศรัทธาในเสรีภาพ และความยุติธรรมที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับ

“ผมอาจไม่ได้ปริญญาเหมือนคนอื่น แต่ผมเลือกเสรีภาพ และผมจะหาทางของตัวเองต่อไป” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคก็ตาม

“ผมยังอยากเป็นวิศวกร ผมยังอยากทำงานด้านนี้”เกซากล่าว

ติดกับดักไร้ตัวตน ใต้เงาของกฎหมายและชีวิตรอด

อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ที่มาภาพ Migrant Working Group (MWG)

“อดิศร เกิดมงคล” ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) กล่าวถึงความยากลำบากของผู้ลี้ภัยในแม่สอดว่า หลักๆ แล้วปัญหาหลักของพวกเขาคือเรื่องสถานะที่ยังไม่ได้รับการกำหนดสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการถูกผลักดันออกจากพื้นที่หรือไม่ได้รับการคุ้มครองที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการทำงาน เพราะการไม่มีสถานะที่ถูกต้องทำให้ไม่สามารถหางานที่มั่นคงได้ หรือหากได้ก็ต้องทำงานในลักษณะที่เสี่ยงต่อการถูกจับกุมหรือต้องจ่ายเงินให้กับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการให้โอกาสในการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยทั้งด้านการเงินและชีวิตของพวกเขา

“อีกหนึ่งปัญหาคือเรื่องที่อยู่อาศัย เนื่องจากผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ไม่สามารถหาที่พักอาศัยที่มั่นคงได้ ต้องย้ายไปมาอยู่ตลอดเวลา หรือบางคนก็ต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าของที่ดินหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการถูกไล่ออกจากที่พักและอาจทำให้ขาดการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น น้ำ, ไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งการรักษาพยาบาล”

การขาดสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพยังเป็นปัญหาใหญ่อีกด้วยเนื่องจากเมื่อผู้ลี้ภัยไม่มีสถานะที่ชัดเจน พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขาต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น หรือบางครั้งต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด หากประเทศไทยสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ เช่น การกำหนดสถานะและสิทธิ์ของผู้ลี้ภัยอย่างชัดเจน รวมทั้งการมีระบบที่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างทั่วถึง การจัดการเหล่านี้จะสามารถลดภาระที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและในระดับประเทศ

“ข้อเสนอคือการพัฒนาระบบการคัดกรองและการกำหนดสถานะของกลุ่มผู้ลี้ภัย เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ ที่พวกเขาควรได้รับ เช่น สิทธิในการทำงาน สิทธิในการรักษาพยาบาล รวมถึงการเข้าใช้บริการสาธารณะต่างๆ การมีระบบที่สามารถทำให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงสิทธิ์เหล่านี้ได้จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่มั่นคงและไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกคุกคามหรือการดำเนินการผิดกฎหมายจากเจ้าหน้าที่ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในประเทศต้นทางของผู้ลี้ภัยยังคงมีปัญหาที่ส่งผลให้ผู้คนยังต้องหนีภัยมาที่ประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งการเตรียมการรับมือและให้การช่วยเหลือจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ จะทำให้มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาระที่ประเทศไทยต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” อดิศรกล่าว

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

คนแม่อายประกาศ ‘ไม่เอาฝายดักตะกอน’ แนะรัฐควรใช้งบ 173 ล้านสร้างประปาบาดาลแทน

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับมูลนิธิร่มโพธิ์ กลุ่มรักษ์แม่น้ำกก และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเวทีรับฟังปัญหาและผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก ที่ตำบลท่าตอน...

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...