แม่ข่าในมือใคร? [1] : เมื่อแผนพัฒนายังไม่พาชุมชนเดินไปสู่ความมั่นคง

Date:

เรื่อง: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

ภาพ: วิชชากร นวลฝั้น

ซีรีส์ ‘แม่ข่าในมือใคร?’ รายงานพิเศษ 2 ตอนที่จะพาไปสำรวจภาพรวมและเบื้องลึกของแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า ฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ มุมมองของคนทำงานที่อยู่เบื้องหลังโครงการ และชวนคิดต่อถึงแนวทางพัฒนาพื้นที่ริมคลองแม่ข่า ที่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้การพัฒนาครั้งนี้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

‘คลองแม่ข่า’ หรือที่คนเชียงใหม่คุ้นเคยในชื่อ ‘น้ำแม่ข่า’ คลองสายนี้มีต้นกำเนิดจากดอยสุเทพ-ดอยปุย ไหลผ่านใจกลางเมืองก่อนลงสู่ลำน้ำปิง ระยะทางกว่า 31 กิโลเมตร ในอดีต น้ำแม่ข่าไม่ได้เป็นเพียงแค่ทางน้ำธรรมชาติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาในการออกแบบเมือง เป็นหนึ่งในชัยมงคล 7 ประการของการตั้งเมืองเชียงใหม่ ทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันภัย เป็นแหล่งน้ำสำคัญในการดำรงชีวิต และพื้นที่สาธารณะของผู้คน แต่เมื่อเมืองขยายตัวอย่างไร้สมดุล แม่น้ำสายนี้กลับถูกลดทอนคุณค่าไป จนกลายเป็นเพียงแหล่งน้ำที่ล้อมรอบด้วยชุมชนแออัด สภาพปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบกพร่องของคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นผลสะสมจากการพัฒนาที่ไม่สมดุล ไม่เห็นคุณค่าของพื้นที่เดิม และการจัดการที่ดินที่ไม่เป็นธรรม

ข้อมูลจากเอกสารประกอบการเสวนาสาธารณะเรื่อง “ความจริงสถานการณ์ที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและอนาคตของการร่วมพัฒนา” เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 ชี้ให้เห็นภาพรวมของประชากรราว 4,361 คน ที่อาศัยอยู่ใน 21 ชุมชนริมคลองแม่ข่า ซึ่งมีประชากรกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยเรื้อรังกว่า 1,221 คน

ในเอกสารยังระบุให้เห็นว่า ประชาชนที่อาศัยบริเวณอยู่ในคลองแม่ข่ามีสิทธิในที่ดินแบ่งเป็น 2 กรณีคือ สัญญาเช่ากับหน่วยงานเจ้าของที่ดินระยะเวลาสัญญา 1-3 ปี ทั้งหมด 72% และไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินอีก 28% ซึ่งมีหน่วยงานเจ้าของสัญญาเช่าที่ดิน แบ่งออกเป็น 2 เจ้าใหญ่ๆ ได้แก่ ราชพัสดุ 61% เทศบาลนครเชียงใหม่ 21% และที่ดินอื่นๆ อีก 18% โดยมีการใช้ประโยชน์อาคารส่วนใหญ่ ทำให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่แห่งนี้ขาดความมั่นคงในการอยู่อาศัย

ชุมชนแออัด ภาพจำและอัตลักษณ์สะท้อนตัวตน

เมื่อพูดถึง ‘ชุมชนแออัด’ หลายคนอาจนึกถึงภาพบ้านปลูกติดกันแน่นขนัด ถนนแคบๆ เด็กๆ วิ่งเล่นกลางตรอก หรือบางครั้งอาจเชื่อมโยงกับภาพของความยากจน ความแออัด และปัญหาสังคม แต่หากเราลองมองให้ลึกกว่านั้น จะเห็นว่าเบื้องหลังภาพจำเหล่านั้น คือชีวิตจริงที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ ความหวัง และศักดิ์ศรี

หากย้อนมองชีวิตของผู้คนในชุมชนแออัด ผ่านงานศึกษาชื่อ “ความจน : เวทีแห่งการช่วงชิงชีวิต” ของ ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ เมื่อปี 2544 จะเห็นภาพสะท้อนที่ยังคงชัดเจนถึงทุกวันนี้

ตลอด 1 เดือนที่เขาลงพื้นที่สำรวจชีวิตในชุมชนแออัดของเชียงใหม่ ศรยุทธตั้งคำถามว่า ท่ามกลางการตีตรา การจำกัดอัตลักษณ์ และโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ คนในชุมชนแออัดเอาตัวรอดอย่างไร?

คำตอบที่เขาพบคือ คนในชุมชนแออัดไม่ได้รับเอาภาพจำที่สังคมวาดให้พวกเขาโดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม เขาพยายามต่อรอง ปรับเปลี่ยน และสร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นใหม่ ให้เหมาะกับชีวิตที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน บางคนเห็นตัวเองในบทบาทของผู้ใช้แรงงาน บางคนเป็นแม่บ้านที่เลี้ยงดูลูก บางคนเป็นพลเมืองคนหนึ่งของเมืองนี้ ความจนสำหรับพวกเขา จึงไม่ใช่เครื่องหมายของ “ความล้มเหลว” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตและการดิ้นรนอย่างมีศักดิ์ศรี

ศรยุทธยังพบอีกว่า คนในชุมชนแออัดจำนวนไม่น้อยมีบทบาทในการขับเคลื่อนสังคม พวกเขารวมกลุ่มกันทำกิจกรรม พูดคุยปัญหาในระดับชุมชน และบางคนก้าวไปไกลกว่านั้น ด้วยการเข้าร่วมเครือข่ายระดับประเทศ เป็นตัวแทนในการผลักดันนโยบายหรือเรียกร้องสิทธิที่พึงมี

แม้ในบางช่วงพวกเขาอาจต้องนิยามตัวเองว่าเป็น “เหยื่อของการพัฒนา” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในทุกๆ วัน พวกเขายังเป็นพ่อแม่ที่ส่งลูกไปโรงเรียน เป็นแรงงานที่ทำงานหนักเพื่อครอบครัว เป็นผู้คนธรรมดาที่พยายามสร้างความมั่นคงจากศูนย์ ด้วยมือของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะผ่านมากว่า 24 ปี นับจากการศึกษาครั้งนั้น แต่ภาพชีวิตของคนในชุมชนแออัดในวันนี้ ก็ยังไม่ต่างไปจากเดิมนัก และไม่มีใครตอบได้ว่า อนาคตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางใด

ไม่ขวางการพัฒนา ขอแค่ได้ร่วมสร้างชุมชนของตัวเอง

“ถ้าเราสามารถขายของในบ้านของเราเองได้ คนเฒ่าคนแก่ก็จะมีรายได้ งานฝีมือก็จะมีช่องทางขาย เราไม่ต้องออกไปหากินข้างนอก”

ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนริมคลองแม่ข่าก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการมีส่วนร่วม อย่างที่ ‘ชุมชนกำแพงงาม’ ซึ่งเปิดพื้นที่ชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดย อนันต์ ชัยคำกอง ประธานเครือข่ายรักเชียงใหม่ และผู้นำชุมชนกำแพงงาม ได้เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบสิบปีที่ผ่านมาว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต้องยอมเสียสละ ทั้งย้ายที่อยู่อาศัย ปรับปรุงบ้านช่อง ย้ายห้องน้ำ และใช้ชีวิตอย่างลำบากในช่วงก่อสร้างที่ยาวนานกว่า 4–5 ปี เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนอย่าง ‘โคตรทะลุ’

ลุงอนันต์เล่าอีกว่า ในแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า มีการวางแผนเพื่อรื้อถอนบ้าน 33 หลังในชุมชนกำแพงงาม เขามองว่าชาวบ้านกลุ่มนี้คือผู้เสียสละมานาน เพราะฉะนั้น หากจะต้องมีการพัฒนา คนเหล่านี้ก็ควรจะได้อยู่ที่เดิม พร้อมทั้งยังย้ำว่า ‘ชุมชนไม่ได้ขัดขวางการพัฒนา เพียงแต่ต้องการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาด้วย’ โดยมองว่าการพัฒนาเมืองที่ดีจะต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน 

การพัฒนาพื้นที่ริมคลองแม่ข่าจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการปรับปรุงภูมิทัศน์หรือการจัดการสิ่งแวดล้อม แต่คือการฟื้นฟูสายสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับสายน้ำ ให้กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง 

“โอตารุเชียงใหม่” ภูมิทัศน์ใหม่ กับคำถามเรื่องความเป็นธรรม 

ปี 2561 จังหวัดเชียงใหม่เริ่มขับเคลื่อน แผนแม่บทคลองแม่ข่า ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2561–2565) ภายใต้แนวคิด “คลองสวย น้ำใส ไหลดี ชุมชนมีสุข” ด้วยเป้าหมายหลัก 4 ประการ คือ 1.ฟื้นฟูคุณภาพน้ำ 2.ทำให้น้ำไหลเวียนตลอดปี 3.พัฒนาภูมิทัศน์ 4.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และในการพัฒนานี้เอง ก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชุมชนคลองเงินถูกสั่งย้ายออกเพื่อเปิดทางปรับปรุงภูมิทัศน์ 

ต่อมาในปี 2564 เทศบาลนครเชียงใหม่เริ่มดำเนินการระยะแรก ปรับปรุงพื้นที่จากสะพานแม่ข่าถึงประตูก้อม ระยะทาง 750 เมตร ด้วยงบประมาณกว่า 22 ล้านบาท และแล้วเสร็จในปี 2565 พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในชื่อ “โอตารุเชียงใหม่” ที่อิงมาจากสะพานโอตารุประเทศญี่ปุ่น แสดงถึงความพยายามเชื่อมโยงผู้คนกับลำน้ำอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม แม้ภูมิทัศน์จะได้รับการปรับปรุง แต่เสียงสะท้อนจากชุมชนกลับชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมอย่างที่คาด ร้านค้าชาวบ้านถูกเบียดออก แทนที่ผับ บาร์ และธุรกิจจากทุนภายนอก ทั้งที่พื้นที่ริมคลองเป็นที่ราชพัสดุที่ห้ามใช้เพื่อกิจการพาณิชย์ ความไม่ชอบธรรมเหล่านี้ทำให้ชุมชนตั้งคำถามถึงบทบาทของหน่วยงานรัฐในการปกป้องสิทธิของประชาชน

ผังแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า พ.ศ. 2566 – 2570 แนวทางวางรากฐานเมืองเชียงใหม่อย่างยั่งยืน

จากการสำรวจโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) พบว่าในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีชุมชนที่ประสบปัญหาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยกว่า 85 ชุมชน ส่วนใหญ่อยู่ริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา ชาวบ้านจำนวนมากอาศัยอยู่บนที่ดินของรัฐ โดยไม่มีสัญญาเช่าหรืออยู่ในพื้นที่หวงห้าม เช่น เขตโบราณสถานหรือพื้นที่แนวเขตคลอง การก่อสร้างที่อยู่อาศัยจึงมักรุกล้ำลำน้ำ ไม่มั่นคง ปลอดภัย และขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม รวมถึงไม่มีระบบจัดการน้ำเสียที่ดี ซึ่งล้วนส่งผลต่อสภาพคลองและสุขภาวะของเมืองในภาพรวม

เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน คณะทำงานด้านการจัดการที่อยู่อาศัยจังหวัดเชียงใหม่จึงจัดทำ “ผังแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566–2570” ร่วมกับภาคีจากรัฐ ภาควิชาการ และชุมชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ สร้างเมืองเชียงใหม่ให้น่าอยู่สำหรับทุกคน โดยมีเป้าหมายหลัก คือ

  • สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย: ผ่านกระบวนการปรับปรุง ซ่อมแซม หรือพัฒนาที่อยู่อาศัยเดิมในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้คนอยู่ในที่ดินรัฐอย่างถูกต้อง มีสิทธิ และศักดิ์ศรี
  • เพิ่มพื้นที่สาธารณะริมคลอง: ให้ทั้งคนในชุมชน คนเมือง และนักท่องเที่ยวสามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างมีชีวิตชีวา
  • ฟื้นฟูคลองแม่ข่าเป็นระบบนิเวศเมือง: ทั้งการวางระบบท่อรวบรวมน้ำเสีย การจัดการน้ำเสียระดับชุมชน และการพัฒนาภูมิทัศน์ให้เชื่อมโยงกับโบราณสถาน
  • ส่งเสริมโครงข่ายการสัญจรทางเลือก: เช่น ทางเดินเลียบคลอง ทางจักรยาน การสัญจรทางน้ำ และถนนชุมชนที่ปลอดภัย
  • ลดความเหลื่อมล้ำ: ผ่านการสร้างเศรษฐกิจฐานรากและพื้นที่สร้างสรรค์ที่เอื้อต่อชุมชน

สิ่งสำคัญคือ แผนฉบับนี้ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นจากห้องประชุมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการระดมความคิดระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง ใช้ข้อมูลจากประวัติศาสตร์ ภูมิประเทศ และวิถีชีวิตจริงในพื้นที่ เพื่อให้การวางแผนตอบโจทย์ความเป็นจริง และสามารถเชื่อมต่อกับแผนแม่บทด้านอื่นของเมือง เช่น แผนจัดการน้ำเสีย แผนพัฒนาสิ่งแวดล้อม หรือแผนพัฒนาเมืองในกรอบยุทธศาสตร์ชาติ

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่าง วิง มีเดช ประธานชุมชนฟ้าใหม่ ก็ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าว่า เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่ พร้อมชี้ให้เห็นว่า การย้ายชุมชนทั้งกลุ่มไม่เพียงแต่ใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่ยังสุ่มเสี่ยงต่อการทำลายโครงสร้างทางสังคมของชุมชนเดิม ขณะเดียวกันก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าที่อยู่อาศัยใหม่จะตอบโจทย์วิถีชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อาจลำบากหากต้องขึ้นลงแฟลตสูงหลายชั้น

“ผมอยากให้ภาครัฐกับชาวบ้านได้ร่วมมือกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพื่อให้ชุมชนอยู่ได้อย่างมั่นคง และพัฒนาไปพร้อมกันครับ” 

การฟื้นฟูคลองแม่ข่าจึงไม่ได้หมายถึงเพียงการขุดลอกหรือปรับภูมิทัศน์ แต่หมายถึง การเยียวยาความไม่เป็นธรรมทางโครงสร้าง ที่เกิดจากการเติบโตของเมืองโดยละเลยชุมชนที่อยู่ริมคลอง การพัฒนาในครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสร้างเมืองเชียงใหม่ให้ “เติบโตอย่างยั่งยืน บนฐานวัฒนธรรมและประชาชน”

ผังแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566 – 2570 ไม่ใช่แค่แผนการแก้ปัญหาชุมชนแออัดริมคลอง แต่คือการวางรากฐานการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ในอนาคต บนหลักการของความยั่งยืน ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เป็นความพยายามครั้งสำคัญของเมืองในการสร้าง “เชียงใหม่เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” อย่างเป็นรูปธรรม

รายการอ้างอิง

  • Laner News. (2020, April 25). ส่องข้อเสนอ “แผนแม่บทที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่า”… เส้นทางสู่การคืนพื้นที่ริมคลองให้ประชาชน. Retrieved from https://www.lannernews.com/20042567-02/
  • เทศบาลนครเชียงใหม่. (2018). รายงานการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาคลองแม่ข่า [PDF]. Retrieved from https://www.chiangmai.go.th/managing/public/D2/2D10Sep2018163933.pdf
  • ผังแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองแม่ข่าและลำน้ำสาขา พ.ศ. 2566–2570
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย

นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
สุทธิกานต์ วงศ์ไชย
นักศึกษาวารสารศาสตร์ ทาสรักคาเฟอีนที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านชัตเตอร์ สนใจประเด็นสังคม สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ มีเป้าหมายชีวิตคือการเป็นหัวหน้าแก๊งแมวมอมทั่วราชอาณาจักร

10 ปีไม่เป็นผล ‘กลุ่มรักษ์บ้านแหง’ ต้องสู้ต่อ หลังศาลปกครองสูงสุด ‘ยกย้อน’ คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีชาวบ้าน 386 คน ยื่นฟ้องเพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์

27 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือ...

ภาพไวรัลรถไฟบรรทุกรถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปหาดใหญ่ ถูกสร้างด้วย AI ย้อนรอยต้นฉบับจากคลิปปี 64

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19.30 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พระราม เดินดง...

ล้านนาเนี่ยน: พี่เป้ ไรเดอร์

“เราขับแกร็บ เราอยู่บนถนน เราเลี่ยงไม่ได้ จะเลี่ยงก็ต้องเลือกรับงานไม่ไปทางที่รถติด เพราะค่ารอบระบบก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา ตอนนี้ค่ารอบเริ่มต้นที่ 19 บาท” “มันทำให้เราเสียเวลากับค่ารอบที่มันถูก จากปกติถ้ารถไม่ติด...

สิทธิวิจารณ์ท้องถิ่นอยู่ตรงไหน? เมื่ออบต.ศรีถ้อย แจ้งหมิ่นฯ ชาวบ้านพญากองดี หลังโพสต์ถนนพัง–ถูกเรียกค่าน้ำมัน 20,000 บาท

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีกรณีชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย...