ละลานล้านนา : ยวนพ่าย (?) รวมข้อคิดเห็นว่าด้วยวรรณกรรมการทำสงครามระหว่าง ‘เมืองเหนือ-เมืองใต้’ และใครคือยวน

เรื่อง : ปวีณา หมู่อุบล

‘ยวนพ่าย’ เป็นชื่อของวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นเรื่องหนึ่ง ที่หลายๆ คนอาจรู้จักกันในนาม ‘ลิลิตยวนพ่าย’ โดยที่อาจจะรู้จักไปพร้อมๆ กับวรรณกรรมอีกเรื่องคือ ‘ลิลิตตะเลง (มอญ) พ่าย’ นั่นเพราะครั้งหนึ่งยวนพ่ายเคยถูกเรียกว่าลิลิต

กระทั่งในปี พ.ศ. 2544 คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย แห่งราชบัณฑิตยสถาน โดยมีศาสตรจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร เป็นประธาน ได้ประกาศว่า “เห็นควรยกเลิกการเรียกวรรณคดีเล่มนี้ว่า ‘ลิลิตยวนพ่าย’ แต่ควรเรียกว่า ‘โคลงยวนพ่าย’ หรือ ‘ยวนพ่ายโคลงดั้น’ สุดแท้แต่จะเห็นสมควร ให้เป็นการถูกต้อง” ทั้งนี้เพราะวรรณกรรมนี้ถูกแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายเพียง 2 บท ส่วนที่เหลือเป็นโคลงสี่ดั้นไปจนตลอดเรื่อง

ในปัจจุบัน นักวิชาการแวดวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมหรือประวัติศาสตร์ ต่างก็ไม่ค่อยนิยมเรียกวรรณกรรมนี้ว่าลิลิตยวนพ่ายกันแล้ว หันมาเรียกโคลงยวนพ่ายหรือไม่ก็ยวนพ่ายโคลงดั้นแทน และในที่ก็จะขอเรียกว่า โคลงยวนพ่าย หรือยวนพ่าย เพื่อความกระชับ

โดยสรุปเนื้อหา ยวนพ่ายเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ.1991- 2031) กับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา (ครองราชย์ พ.ศ.1985 – 2030) ทั้งสองทำสงครามกันยาวนาน 18 ปี โดยเป็นสงครามที่มีเป้าประสงค์หลักๆ คือการช่วงชิงนครรัฐสุโขทัยและเมืองสำคัญอื่นๆ แถบลุ่มแม่น้ำยมและน่าน

‘ยวนพ่าย’ ใครแต่ง และแต่งขึ้นเมื่อใด?

ประเด็นเรื่องใครเป็นผู้แต่งเรื่องยวนพ่าย ปรากฏว่ามี 3 ข้อสันนิษฐานหลักๆ คือ [1] ผู้แต่งเรื่องยวนพ่ายเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ [2] ผู้แต่งเรื่องยวนพ่ายเป็นพระราชโอรสและเป็นพระภิกษุ และ [3] ผู้แต่งเรื่องยวนพ่ายเป็นพระภิกษุแต่ไม่ใช่พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรฯ

[1] กลุ่มที่สันนิษฐานว่าผู้แต่งโคลงยวนพ่ายเป็นหนึ่งในพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรฯ โดยมากเป็นนักวิชาการฝ่ายสยาม เช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และ พ.ณ ประมวญมารค หรือ หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี

สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สันนิษฐานว่าผู้แต่งคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระราชโอรสที่สืบราชบัลลังก์ต่อสมเด็จพระบรมไตรฯ รวมถึงเป็นผู้ที่ได้ติดตามสมเด็จพระบรมไตรฯ ไปรบกับพระเจ้าติโลกราชด้วย

ขณะที่ พ.ณ ประมวญมารค มีความเห็นว่าผู้แต่งโคลงยวนพ่ายคือ ‘พระอินทราชา’ (หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3) พระราชโอรสอีกองค์หนึ่งของสมเด็จพระบรมไตรฯ เพราะเป็นผู้ที่ออกศึกร่วมรบกับพระบิดาทุกครั้ง และได้สร้างวีรกรรมที่สำคัญในการไสช้างเข้ารบกับกองทัพแถวๆ เมืองลำปาง ทั้งยังได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เมื่อสมเด็จพระบรมไตรฯ เสด็จออกผนวชด้วย

อย่างไรก็ดี เห็นได้ชัดว่าการสันนิษฐานเช่นนี้เป็นไปตามครรลองของประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม  เพราะเป็นคำอธิบายที่เน้นแสดงให้เห็นชนชั้นกษัตริย์เป็นผู้มีความสามารถในศาสตร์และศิลป์ต่างๆ อันที่จริงก็อาจจะเป็นไปได้เพราะสังคมในยุคนั้นมีการแบ่งชนชั้นมูลนายและไพร่ทาสอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงประการหนึ่งก็คือว่า ภายในหมู่ชนชั้นมูลนายก็มิได้แค่บรรดากษัตริย์ที่ทรงภูมิ เพราะมูลนายในลำดับรองลงมาก็สามารถเป็นผู้มีความรู้ความสามารถได้เช่นกัน โดยเฉพาะพระภิกษุหรือนักบวช

[2] กลุ่มที่สันนิษฐานว่าผู้แต่งเรื่องยวนพ่ายเป็นพระราชโอรสและเป็นพระภิกษุ ได้แก่ พระบริหารเทพธานี (เฉลิม) อดีตข้าหลวงและผู้ว่าราชการจังหวัด ปัญญาชนฝ่ายสยามผู้รวบรวมและเรียบเรียงพงศาวดารชาติไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้แต่งเป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมไตรฯ เพียงแต่เป็นบรรพชิต เพราะใช้ภาษาได้ลึกซึ้ง ซึ่งในบรรดาพระราชโอรสนั้น ปรากฏว่ามีโอรสที่เกิดจากพระสนมองค์หนึ่งออกผนวชอยู่ คือ ‘พระสุริยวงษ์’ (หรือ สุรยวงษ์)  และในโคลงยวนพ่ายก็ได้มีชื่อนี้ปรากฏอยู่ ตรงเนื้อความที่ว่า 

“…ทวิบททวิชาตเชื้อ สุรยวงษ์ ท่านฤา

ทวิคุณาธิกรรม์ เลอศล้น

ทวิพิธทวีธารทรง สรุเสพ ไส้แฮ

เทวภาพเทวหกพ้น แว่นไว…”

[3] กลุ่มที่สันนิษฐานว่าผู้แต่งโคลงยวนพ่ายเป็นพระภิกษุแต่ไม่ใช่พระราชโอรสของสมด็จพระบรมไตรฯ ประกอบไปด้วยนักวิชาการทั้งฝ่ายสยามและล้านนา ได้แก่ พล.ต.ม.ร.ว.ศุภวัฒย์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อยุธยา และศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี ปราชญ์ใหญ่ด้านล้านนาศึกษา

พล.ต.ม.ร.ว.ศุภวัฒย์ เกษมศรี อธิบายว่า ‘สุริยวงษ์’ เป็นคำเปรียบเปรยเอ่ยอ้างแบบกว้างๆ ว่ากษัตริย์ในแถบอุษาคเนย์ล้วนสืบเชื้อสายมาจากไม่สุริยวงศ์ก็จันทรวงศ์กันอยู่แล้ว ดังนั้นคำนี้จึงไม่น่าจะใช่นามเฉพาะของใคร อีกทั้งยังได้ตั้งข้อสังเกตใหม่ด้วยว่าผู้แต่งยวนพ่ายน่าจะเป็นพระภิกษุที่ชื่อว่า “พระเบญญาพิศาลเถระ” ตามที่ปรากฏในเนื้อความโคลงยวนพ่ายตอนหนึ่งว่า

“…สารสยามภาคยพร้อง กลกานท นี้ฤา 

คือคู่มาลาสวรรค์ ช่อช้อย 

เบญญาพิศาลแสดง เดอมกรยติ พระฤา 

คือคู่ไหมแสร้งร้อย กึ่งกลาง…” 

และ ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี  ก็ได้แสดงความเห็นด้วยในข้อสันิษฐานนี้เอาไว้ที่เวทีสัมมนาวิชาการ 600 ปีชาตกาล พระญาติโลกราช อโศกมหาราชแห่งล้านนา เมื่อปี พ.ศ. 2552  

ส่วนในประเด็นเรื่องช่วงเวลาการแต่ง ปัจจุบันยังไม่อาจระบุได้อย่างแน่ชัดว่าโคลงยวนพ่ายถูกแต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ใด แต่จากข้อมูลพบว่ามีทั้งปัญญาชาและนักวิชาการฝ่ายสยามและล้านนาออกมาตั้งข้อเอาไว้ 

ฝ่ายปัญญาชนสยาม ได้แก่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ ซึ่งสันนิษฐานว่าเรื่องยวนพ่ายน่าจะแต่งขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 หรือในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2034 ถึง พ.ศ. 2072 

ขณะที่นักวิชาการฝ่ายล้านนา (เชียงใหม่) ได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประคอง นิมมานเหมินท์ ที่เสนอข้อสันนิษฐานไว้ว่าเรื่องนี้น่าจะแต่งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2016 – 2025 และเชื่อว่าแต่งขึ้นเพื่อใช้อ่าน (เป็นทำนอง) ในที่ประชุมของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชสำนัก เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีอย่างใดอย่างหนึ่งในสมัยนั้น

ภาพ: ภาพพระราชพงศาวดารตอนพระอินทราชาชนช้างกับหมื่นนคร (หลวงสุวรรณสิทธิ์ เขียนในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๐)

ยวนคือใคร และพ่ายจริงหรือ?

จากชื่อวรรณคดี ‘ยวนพ่าย’ และเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวการทำสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยาและล้านนา จึงได้นำมาซึ่งข้อสงสัยหนึ่งที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่เสมอๆ นั่นก็คือว่า ยวนคือใคร และพ่ายจริงหรือ? 

ในประเด็นที่ว่า ยวนคือใคร? ก็มีนักวิชาการหลายคนออกมาให้แสดงความเห็นและข้อเสนอ ซึ่งก็ได้มีผู้จัดกลุ่มข้อเสนอไว้ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

[1] กลุ่มที่มองว่ายวนเป็นคำที่มาจากอิทธิพลของภาษาบาลีสันสกฤต ซึ่งปัญญาชนในกลุ่มนี้ ได้แก่ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่เชื่อว่า โยน แผลงมาจาก โย-นะ ในภาษาบาลี และกรมพระสมมติอมรพันธุ์ ที่สันนิษฐานว่า โยนก มาจากภาษาอินเดียที่แปลว่า ทิศเหนือทิศต้นน้ำ และความเหนือกว่าในเชิงเปรียบเทียบ

[2] กลุ่มที่มองว่ายวนเป็นคำที่มาจากอิทธิพลภาษาพม่า ได้แก่ ธำรงศักดิ์ ทําบุญ และจิตร ภูมิศักดิ์ โดยมีข้อเสนอว่ายวนเป็นคำที่พม่าใช้เรียกคนล้านนา

[3] กลุ่มที่มองว่ายวนเป็นคำที่ได้นชรับอิทธิพลมาจากภาษอื่น ๆ ได้แก่ หมอดอดด์ หรือนายแพทย์วิลเลียม คลิฟตัน ดอดจ์ ที่เสนอว่า ‘ยวน’ เพี้ยนมาจาก ‘ยาง’ ที่เป็นชื่ออาณาจักรของคนะเหรี่ยง ขณะที่ปัญญาชนฝ่ายสยามอย่าง ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนนาคพันธุ์) ก็ว่า ‘ยวน’ เพี้ยนมาจากคำว่า ‘ยาง’ เช่นกัน แต่อธิบายเพิ่มเติมว่ายางนี้เป็นชื่ออาณาจักรโบราณของกลุ่มละว้า ด้านพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) เสนอว่า ‘ยวน’ เพี้ยนมาจากภาษาจีนคำว่า ‘ยุนชาง/ยุนฮาง’ ซึ่งแปลว่าคนสยามต่างประเทศ

และ [4] กลุ่มที่มองว่ายวนเป็นคำดั้งเดิม ได้แก่ มานิต วิลลิโภดม ที่เห็นยวนเป็นคำเดิมที่มาจากชื่อเหมืองหลวงเก่าคือ ‘โยนกนคร’ และสุจิตต์ วงษ์เทศ ที่อธิบายไว้ว่าเป็นชื่อดินแดนและประชากรแบถล่มแม่น้ำกกและอิงที่แผ่ขยายเข้ายังพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิงและวัง

ทั้งนี้ อีกหนึ่งนักวิชาการกลุ่มที่เชื่อว่ายวนเป็นคำดั้งเดิมคือ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดี ได้อธิบายว่า ยวน เป็นคำเดียวกันกับ ‘โยน’ หรือ ‘โยนก’ เช่นเดียวกับชื่อแคว้น ‘โยนกนาคนคร’ ที่ปรากฏในเรื่อง สิงหนวัติ หรือตำนานประวัติศาสตร์เมืองเชียงแสน 

โดยเนื้อหาจากสิงหนวัติ ระบุว่าราว พ.ศ. 900 เวียงโยนก หรือแคว้นโยนกนาคนคร คือเมืองที่เจริญขึ้นแทนเมืองสุวรรณโคมคำซึ่งถล่มลงไปกลางแม่น้ำของ (แม่น้ำโขง) ต่อมาเวียงโยนกก็ได้ล่มสลายลงเช่นกัน จากเหตุที่คนในเมืองพากันไปกิน ‘ปลาไหลเผือก’ ทำให้ฟ้าดินพิโรธ เมืองจึงล่มสลายไปอีก และจากนั้น กลุ่มคนที่รอดตายจำนวนหนึ่งก็ได้ช่วยกันปรึกษาหารือเลือกหัวหน้าผู้นำคนใหม่ที่บริเวณเวียงเปิกสา (หรือเวียงปรึกษา) ปัจจุบันสันนิษฐานกันว่าอยู่ที่บริเวณนอกคูเมืองเก่าเชียงแสน

การสร้างเวียงเปิกสาถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของเมือง ‘หิรัญนครเงินยาง’ ที่ต่อมาได้ขยายตัวออกจากพื้นที่ลุ่มน้ำกกไปยังเมืองเชียงแสน เชียงของ ฝาง เทิง พร้าว พาน เชียงตุง กล่าวคือ เป็นอาณาบริเวณของพระญามังรายก่อนที่จะมาตีนครหริภุญไชย (ลำพูน) กล่าวคือ สะท้อนว่ายังมีการสืบเชื้อสายของประชากรจากเวียงโยนกที่หลงเหลือ และได้กลายเป็นที่มาของคำว่า โยน ยวน และไทยวน

ดังนั้นแล้ว ก็อาจจะกล่าวว่าได้ว่า ‘ยวน’ เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งสำหรับคนล้านนา ทว่าเป็นชื่อที่ ‘คนอื่น’ นิยมใช้เรียกมากกว่าคนล้านนาเอง ดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าคนล้านนาที่อยู่ในล้านนา (หรือภาคเหนือในปัจจุบัน) จะนิยมใช้คำว่า ‘เมือง’ มากกว่า ขณะที่ชาวล้านนา ซึ่งถูกวาดต้อนจากเชียงแสนไปอยู่ที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี จะนิยมเรียกตัวเองว่า ‘ยวน’ หรือ ‘ไทยยวน’ 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ อาจสรุปได้ว่า ‘ยวน’ ก็คือคนล้านนานั่นแล แต่เป็นคนล้านนาที่สืบเชื้อสายจากมากกลุ่มคนที่ตั้งรกรากอยู่ลุ่มแม่น้ำกก ก่อนจะค่อยๆ แผ่ขยายเข้ามายังลุ่มแม่น้ำปิงที่ต่อมาคือศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา ซึ่งประชากรของที่นี่ก็ได้ปะทะสังสรรค์กับอิทธิพลทางภาษาและความคิดอันหลากหลายตลอดสายธารของกาลเวลา กระทั่งกลายมาเป็น ‘คนเมือง’ เช่นในปัจจุบัน

แต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นที่น่าสังเกตอีกว่าในกรณีเรื่องยวนพ่าย มีการใช้ทั้งคำว่า ‘ยวน’ และ ‘ลาว’ ในการเรียกล้านนา ตัวอย่างเช่น ในบทที่ 83 ใช้คำว่า ‘ลาว’ 

“…แต่นี้จักตั้งต่อ กลกานท แลพ่อ 

โดยเมื่อพระแสดงฤทธิ ร่อนแกล้ว 

เสด็จมาผ่าผลาญลาว ลักโลภ 

ที่ยุทธิษฐิรแล้ว สู่บรฯ…”

แต่ในบทที่ 88 ใช้คำว่า ‘ยวน’

“…อยู่ไทธิเบศรเจ้า จอมปราณ

พราวพบพลคชเสน เกลื่อนแก้ว 

ครั้นพระผ่าผลาญพล ยวนย่อย ไปแฮ 

ทันที่น้ำลิบแล้ว เลิศไชย…” 

ดังนั้นแล้ว วรรณกรรมที่ว่ายวนพ่าย แท้ที่จริงแล้วใครพ่าย?

รายการอ้างอิง

ประคอง นิมมานเหมินท์, ศาสตราจารย์พิเศษ ดร., แง่คิดเกี่ยวกับโคลงยวนพ่าย ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ “600 ปี ติโลกราชกับมิติทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ล้านนาในยุคปัจจุบัน”. เชียงใหม่; สำนักส่เงสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2552.

‘ยวนพ่ายโคลงดั้น’ (1) : เลิกเรียก ‘ลิลิต’ และปริศนาใครแต่ง พระยุพราชหรือพระมหาเถระ?

‘ยวนพ่ายโคลงดั้น’ (2) : วรรณคดีที่ต้องทบทวนว่า ‘ยวน’ หรือ ‘สยาม’ พ่าย?

การเมืองเรื่องคําว่า ‘ยวน’ ในตํานานพื้นเมืองเชียงใหม่

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง