เรื่อง: ปรัชญา ไชยแก้ว
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งของไทย กว่า 70,000 คน สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ข้อเสนอนี้นำโดยภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1) และ (6)
กระทรวงมหาดไทยระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ลดภาระของรัฐในการดูแลผู้หนีภัยระยะยาว ตอบสนองความต้องการแรงงานในหลายภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน และยังยกระดับมาตรฐานด้านสาธารณสุข เนื่องจากผู้ที่จะได้รับอนุญาตต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพ
UNHCR ชื่นชมไทยในฐานะมาตรฐานใหม่ของภูมิภาค
จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงชื่นชมการตัดสินใจของไทย โดยระบุว่า มติ ครม. ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการยึดมั่นในหลักการด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคตของประเทศ”
“ผู้ลี้ภัยนอกจากจะสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการบริโภคและการสร้างงาน ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของ GDP และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของไทย” – UNHCR
UNHCR ยังย้ำว่านโยบายนี้ต่อยอดบทบาทของไทยที่ให้ที่พักพิงผู้ลี้ภัยมานานกว่า 50 ปี และอาจกลายเป็น “มาตรฐานใหม่ในภูมิภาค” สำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งยังเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นๆ ที่เผชิญความท้าทายลักษณะเดียวกัน
เสียงจากนักสิทธิฯ “ก้าวแรกที่ดี แต่ยังอีกไกล”
ประภาพร (เชอร์รี่) เจ้าหน้าที่เสมสิกขาลัย ชาวไทย–เมียนมา เล่าว่า เมื่อได้ยินข่าวมติ ครม. ทุกคนต่างรู้สึกดีใจ เพราะนี่คือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่รอคอยมานานกว่า 30–40 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์ปี 1988 ที่ทำให้ชาวเมียนมาจำนวนมากต้องหนีเข้ามาพำนักในไทย
“จริงๆ แล้วแคมป์ทั้ง 9 แคมป์ไม่ได้อยู่กันแค่ชั่วคราว แต่คนอยู่มากว่า 30–40 ปีแล้ว การให้สิทธิทำงานคือการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให้เขาได้พึ่งพาตนเอง ไม่ใช่แค่รอความช่วยเหลือจากภายนอก” เชอร์รี่กล่าว

อย่างไรก็ตาม เธอย้ำว่ามติ ครม. ครั้งนี้ยังเป็นเพียง “ไฟเขียวขั้นต้น” ในทางปฏิบัติยังเต็มไปด้วยคำถาม เช่น การคัดกรองคนกว่า 70,000 คนในค่ายจะทำอย่างไร ใครจะได้สิทธิออกมาทำงาน จะกำหนดประเภทงานแบบไหน และจะดูแลอย่างไรไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติ
“มันยังเป็นจุดเริ่มต้นมากๆ ในรายละเอียดปฏิบัติเรายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ต้องรอติดตามว่าผู้กำหนดนโยบายจะทำให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร”
อคติและสายตาของสังคมไทย หลัง มติ ครม.
แม้มติ ครม. จะถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แต่ประภาพร (เชอร์รี่) สะท้อนว่ายังไม่อาจลบล้างอคติที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญในสังคมไทย
“เท่าที่สังเกต มันยังมีอยู่สองฝั่งค่ะ บางคนมองว่าดี เพราะอย่างน้อยรัฐก็มีการจัดการให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตัวเองได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามว่า ‘ทำไมต้องให้สิทธิ’ หรือบอกว่า ‘ควรส่งกลับบ้าน’ ซึ่งสะท้อนว่าความเข้าใจต่อสถานการณ์ผู้ลี้ภัยยังมีข้อจำกัดมาก”
เชอร์รี่เล่าว่า เธอยังเห็นคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยทัศนคติปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน โดยต้นตอของอคติส่วนหนึ่งมาจากภาพรวมของสถานการณ์ของสงครามในเมียนมาที่ความรุนแรงยังดำเนินต่อไปและไม่มีวี่แววจะยุติ
“ตราบใดที่เมียนมายังยิงกัน ยังมีสงครามอยู่ ผู้ลี้ภัยก็จะไม่หมดไป ปัญหานี้ไม่ใช่ของไทยประเทศเดียว แต่คือโจทย์ของทั้งภูมิภาคว่าเราจะช่วยกันสร้างสันติภาพในเมียนมาได้ยังไง เพื่อแก้ที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง”
ข้อเสนอถึงรัฐ–นายจ้าง–สังคมไทย และการย้ำให้เข้าใจ “ทำไมถึงมีผู้ลี้ภัย”
เชอร์รี่ย้ำว่า ทุกนโยบายที่ออกมาล้วนมีความหมาย แต่หัวใจสำคัญคือการทำให้ สอดคล้องกับความเป็นจริงและปฏิบัติได้จริง เช่น ระบบการคัดกรองแห่งชาติ (National Screening Mechanism – NSM) แม้จะถูกประกาศแล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถใช้ได้จริงกับผู้ลี้ภัยเมียนมากลุ่มใหม่ นโยบายจึงควรได้รับการต่อยอดและทำให้นำไปใช้ได้จริง
“ในค่ายมีคนที่มีความสามารถมากมาย ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่มีครู ช่างฝีมือ คนที่มีทักษะอื่นๆ ถ้าได้โอกาสจริงๆ พวกเขาก็สร้างคุณค่าได้มากกว่าการเป็นลูกจ้าง” เชอร์รี่ กล่าว
เชอรี่ยังอ้างถึงงานวิจัยล่าสุด “การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการให้สิทธิในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยในประเทศไทย: กรณีศึกษาจังหวัดตาก เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร” โดยเครือข่าย MRN ซึ่งยืนยันว่า การเปิดสิทธิทำงานไม่เพียงช่วยให้ผู้ลี้ภัยพึ่งพาตนเองได้ แต่ยังสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจระดับมหาศาล แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และเพิ่มรายได้รัฐอย่างยั่งยืน
เธอยังเน้นกับสังคมไทยว่า จำเป็นต้องเข้าใจ “เหตุผลที่ผู้ลี้ภัยยังคงอยู่” หลายคนไม่ได้อยากทิ้งบ้านเกิด แต่ไม่มีทางเลือกเพราะภายในเมียนมายังเต็มไปด้วยสงคราม โรงเรียนปิด เศรษฐกิจตกต่ำ และภัยพิบัติที่ซ้ำเติมชีวิตประจำวัน
“อยากให้คนไทยเข้าใจว่า ทำไมถึงยังมีผู้ลี้ภัยอยู่ถึงทุกวันนี้ เขาไม่ได้อยากออกมาเอง แต่เพราะอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ สงครามเกิดขึ้นทุกวัน เครื่องบินรบถล่มทุกวัน มันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการลี้ภัยเพื่อเอาชีวิตรอด”
สำหรับเชอร์รี่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการยอมรับว่าผู้ลี้ภัยจะไม่หายไป ตราบใดที่เมียนมายังไม่สงบ และในฐานะเพื่อนบ้าน ไทยและภูมิภาคจึงต้องร่วมกันหาทางส่งเสริมสันติภาพในเมียนมา ควบคู่ไปกับการดูแลสิทธิของผู้ลี้ภัยที่ยังคงอยู่ในดินแดนไทย

กองบรรณาธิการ Lanner เกิดและโตที่เชียงใหม่ มีความฝันบ้า ๆ ว่าอยากเป็นชาวประมง สอดส่องชีวิตผู้คนด้วยเลนส์ 576 ล้านพิกเซล และกลั่นกรองออกมาเป็นงานเขียน พบเจอได้ตามกิจกรรมทางการเมือง ที่ ลานท่าแพ