เปิด 4 ข้อเสียเปรียบและผลกระทบสิ่งแวดล้อม MOU แรร์เอิร์ธ ไทย-สหรัฐ โอกาสหรือกับดักกัมมันตรังสี

Date:

26 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีพิธีลงนาม ‘ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์’ และถ้อยแถลงผลการหารือระหว่าง นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทย และ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการในพิธี ซึ่งนับเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนบทบาทของไทยในภูมิภาค ทั้งในมิติการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ 

ภาพ: The Reporters 

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย แถลงว่า ไทยและสหรัฐอเมริกาได้บรรลุ ‘แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน’ (Joint Statement on a Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) และได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วย ‘ความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน’

MOU ฉบับนี้ถือเป็นบันทึกความร่วมมือเรื่อง แร่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก (Critical Minerals) ฉบับแรกของไทย ซึ่งมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เพราะเป็นการเปิดประตูให้ไทยเข้ามามีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานของ ‘แร่แรร์อิร์ธ’ ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมไทยกำลังจับตาถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่อาจตามมา

MOU ไทย-สหรัฐฯ โอกาสหรือกับดักกัมมันตรังสี

ภาพ: กรีนพีซ

ธารา บัวคำศรี วิเคราะห์ว่า การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ‘ความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน’ ระหว่างไทยกับประเทศผู้ผลิตสำคัญ อาจมีนัยสำคัญต่อทิศทางอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธในภูมิภาค 

ภาพ: Pai Deetes 

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลนำเข้าในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยนำเข้าโลหะแรร์เอิร์ธ สแคนเดียม และอิตเทรียม (พิกัด 28053000) มากที่สุดจากมาเลเซีย ปริมาณรวมกว่า 239 ตัน โดยส่วนใหญ่มาจาก Lynas Malaysia Sdn. Bhd. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Lynas ในออสเตรเลีย หนึ่งในผู้เล่นสำคัญของอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธนอกจีน รองลงมาคือการนำเข้าจากจีนอีก 48.5 ตัน

ไทยมีโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธเพื่อทำแม่เหล็กถาวร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายโลกของบริษัทแม่ Neo ในแคนาดา โดย Neo มีสำนักงานย่อยในสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และจีน รวมถึงหน่วยงานด้านการขาย การวิจัยและพัฒนา และการผลิตใน 10 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน เอสโตเนีย สิงคโปร์ เยอรมนี สหราชอาณาจักร แคนาดา สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ การผลิตของ Neo ครอบคลุมสามกลุ่มหลัก คือ Magnequench, Chemicals & Oxides และ Rare Metals

สำหรับการส่งออก ไทยในปี 2568 (ถึงเดือนสิงหาคม) ส่งออกโลหะแรร์เอิร์ธ สแคนเดียม และอิตเทรียมมากที่สุดไปยัง ญี่ปุ่น 519 ตัน รองลงมาคือ เวียดนาม 189 ตัน และจีนกับเอสโตเนีย ประเทศละ 5 ตัน ข้อมูลนำเข้า–ส่งออกนี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธที่ซับซ้อน และจีนยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด

อย่างไรก็ดี บันทึกความเข้าใจ (MoU) ที่เปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธจากสหรัฐอเมริกามาตั้งฐานการผลิตในไทย อาจซ่อนความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม หากรัฐบาลไทยไม่กำกับดูแลอย่างเข้มข้น ประเทศอาจเผชิญ ‘มลพิษกัมมันตรังสี’ คล้ายกับกรณี Lynas แม้ไทยจะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ แต่หลายครั้งกลับเป็นเพียง เสือกระดาษ และยังมีช่องว่างด้านมาตรฐานสากล ทำให้การนำอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธเข้ามา อาจเป็นดาบสองคมต่อคนและธรรมชาติ

ความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมจาก REE ทั่วโลก

ภาพ: Pai Deetes 

การทำเหมืองและแปรรูปแร่แรร์เอิร์ธ (REE) ทั่วโลกก่อให้เกิดของเสียมากกว่า 90% ของปริมาณแร่ที่ขุดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ปนเปื้อนสารพิษและต้องกำจัดอย่างซับซ้อน ของเสียเหล่านี้อาจสร้างผลกระทบต่ออากาศ ดิน น้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน รวมถึงฝุ่นจากบ่อกากหรือการรั่วไหลของน้ำฝนและน้ำล้นเขื่อน ในบางกรณีรุนแรงถึงขั้นเขื่อนเก็บตะกอนพัง ทำให้ทอเรียม ยูเรเนียม โลหะหนัก และกรดฟลูออไรด์จำนวนมหาศาลรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อม

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา โรงงานแรร์เอิร์ธหลายแห่งทั่วโลกต้องปิดตัวลงเพราะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น เหมือง Mountain Pass ในสหรัฐฯ ที่ถูกสั่งปิดเมื่อปี 1998 หลังเกิดเหตุน้ำเสียปนทอเรียมรั่วกว่า 600,000 แกลลอน, เหตุ โคลนแดงในฮังการี ปี 2010 ที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีและกรดออกสู่แม่น้ำ และกรณีเหมือง Baotou ในมองโกเลียใน ประเทศจีน ซึ่งก่อให้เกิดบ่อกากกัมมันตรังสีขนาดมหึมาและสร้างปัญหาสุขภาพร้ายแรงในชุมชนโดยรอบ จีนจึงเริ่มเข้มงวดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี 2009 เพื่อจัดการผลกระทบจากอุตสาหกรรมนี้ 

บทเรียนแรร์เอิร์ธจากมาเลเซียที่ไทยต้องจับตา

มาเลเซีย ก็เคยเผชิญบทเรียนใหญ่จากโรงงาน ARE ของ Mitsubishi Chemical ที่บูกิตเมอราห์ ซึ่งก่อมลพิษจนชาวบ้านเจ็บป่วยและเสียชีวิตจำนวนมาก แม้โรงงานจะปิดไปกว่า 40 ปีแล้ว แต่ของเสียกัมมันตรังสียังคงฝังอยู่ใต้ผืนดินและเป็นปัญหาที่ไม่อาจลบเลือนได้จนถึงปัจจุบัน

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ชื่อของ ‘Lynas’ ถูกพูดถึงในฐานะบริษัทหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธของโลก บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นในออสเตรเลียตั้งแต่ปี 1983 โดยเดิมทำธุรกิจเหมืองทองคำ ก่อนหันสู่การผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธอย่างเต็มตัวในปี 2001 ภายใต้การนำของ Nicholas Curtis ซีอีโอผู้มองเห็นโอกาสในตลาดโลกที่จีนกำลังครอบงำอยู่เกือบเบ็ดเสร็จ

Lynas เคยมีใบอนุญาตสร้างโรงงานแปรรูปในออสเตรเลีย แต่สุดท้ายเลือกย้ายฐานไป มาเลเซีย ด้วยแรงจูงใจด้านต้นทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี รัฐบาลมาเลเซียยกเว้นภาษีให้นานถึง 10 ปี และมอบพื้นที่ตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเกอเบง (Gebeng) เมืองกวนตัน รัฐปะหัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเลจีนใต้

โรงงานที่ชื่อว่า Lynas Advanced Materials Processing (LAMP) เริ่มเดินเครื่องในปี 2012 เพื่อแปรรูปสินแร่จากเหมือง Mount Weld ในออสเตรเลีย ผ่านกระบวนการเผาและสกัดด้วยกรด ก่อนจะแยกสารแรร์เอิร์ธบริสุทธิ์ส่งออกไปยังตลาดโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จเชิงอุตสาหกรรม กลับมี ‘เงามืด’ ด้านสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นรอยร้าวระหว่างรัฐและประชาชน

พื้นที่โรงงานตั้งอยู่ในเขตพรุที่มีฝนตกชุกและน้ำท่วมบ่อย ห่างจากแม่น้ำบาลก์เพียง 3 กิโลเมตร น้ำทิ้งจากโรงงานหลายร้อยลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำสายนี้ ซึ่งไหลผ่านป่าชายเลนและพื้นที่อนุรักษ์เต่าทะเลชราติง ขณะที่ของเสียจากการผลิต โดยเฉพาะ กาก Water Leach Purification (WLP) ซึ่งมีสารกัมมันตรังสีสูงกว่าเกณฑ์ธรรมชาติหลายร้อยเท่า ถูกกักไว้ในบ่อเปิดที่ไม่มีระบบกักเก็บถาวร

หน่วยงานระหว่างประเทศอย่าง Oeko-Institut และ IAEA ต่างชี้ว่า Lynas ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยในระยะยาวได้ ทั้งในด้านการรั่วซึมของบ่อเก็บกาก ความเสื่อมของระบบกรองก๊าซ และการสะสมของเรเดียมในเครื่องจักร ขณะที่ประชาชนรอบโรงงาน โดยเฉพาะชาวบ้านในหมู่บ้านบาลก์และชุมชนประมงใกล้เคียง ยังคงกังวลว่าเหตุอุทกภัยในอนาคตอาจพัดพา ‘กากกัมมันตรังสี’ กระจายสู่สิ่งแวดล้อม

แม้บริษัทพยายามผลักดันแนวคิด ‘รีไซเคิลเชิงพาณิชย์’ เช่น นำกากไปใช้ในวัสดุก่อสร้างหรือปุ๋ย แต่ผลประเมินจากผู้เชี่ยวชี้ชัดว่า ระดับกัมมันตรังสีของกากเหล่านี้สูงเกินกว่าจะนำกลับมาใช้ได้อย่างปลอดภัย Lynas จึงถูกเรียกร้องให้สร้าง สถานที่เก็บกากถาวร (Permanent Disposal Facility) ซึ่งต้องปลอดภัยในระดับที่สามารถควบคุมได้หลายร้อยปี

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา Lynas จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธ แม้จะเป็นหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานสะอาด กลับแฝงความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง หากไม่มีระบบกำกับดูแลและมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดพอ

ธารา ระบุว่า กรณี Lynas เป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อรัฐบาลเริ่มเปิดทางความร่วมมือในอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธกับต่างประเทศผ่าน บันทึกความเข้าใจ (MoU) ล่าสุด เพราะอาจเป็นการเปิดช่องให้โรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธแบบเดียวกับ Lynas เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย หากรัฐบาลไม่กำหนดมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ไทยอาจต้องเผชิญ ‘มลพิษกัมมันตรังสี’ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย

แม้ประเทศไทยมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ แต่การบังคับใช้กลับเปรียบได้กับ ‘เสือกระดาษ’ ที่มีช่องว่างของมาตรฐานและระบบกำกับดูแลที่ต่างระดับ ซึ่งอาจไม่เพียงพอรองรับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมที่มีสารกัมมันตรังสีและสารเคมีพิษปริมาณสูง คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่า ‘ใครจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ’ แต่คือ ‘ใครจะเป็นผู้รับความเสี่ยง’ หากของเสียจากการผลิตตกค้างอยู่ในผืนดินและแหล่งน้ำของเราเอง

ภาพ: Pai Deetes 

ไทยได้อะไรจาก MOUแร่แรร์เอิร์ธ? เปิดข้อเสียเปรียบและผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้แสดงความกังวลต่อการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่สำคัญ ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยตั้งคำถามสำคัญว่า ‘ไทยได้อะไรจาก MOU นี้’ พร้อมชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบหลายด้าน และไม่ได้มีการกล่าวถึงการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ภาคเหนือกำลังเผชิญปัญหาน้ำปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน

ภัทรพงษ์ระบุว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ไม่จำเป็นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสันติภาพ โดยอ้างว่าข้อตกลงได้ถูกนำเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม แต่เมื่อย้อนตรวจสอบสรุปผลประชุม กลับไม่พบข้อมูลดังกล่าว อีกทั้งกรมเหมืองแร่ยังไม่เชี่ยวชาญด้านแรร์เอิร์ธ (Rare Earth) และไม่สามารถอธิบายกระบวนการทำเหมืองของเพื่อนบ้านได้ เขาจึงตั้งคำถามว่า รัฐบาลไทยยอมเซ็นข้อตกลงที่เสียเปรียบทั้งที่ยังไม่พร้อมได้อย่างไร

เขาเน้นว่า MOU ฉบับนี้บีบไทยหลายทาง เช่น สหรัฐมีสิทธิวิเคราะห์พื้นที่แร่หายากก่อน หากพบแร่ สหรัฐจะมีโอกาสลงทุนก่อน และเร่งกระบวนการอนุญาตการลงทุนของสหรัฐให้รวดเร็ว แม้ประเทศไทยสามารถยกเลิก MOU ได้ แต่โครงการที่ตกลงไว้ก่อนยกเลิกจะต้องดำเนินต่อไปตามข้อตกลง

“ทรัพยากรของประเทศไม่ใช่สิ่งที่เอาไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง ผมไม่เห็นด้วยกับการลงนาม MOU ฉบับนี้ เพราะฝ่ายไทยเสียเปรียบทุกทาง และไม่สามารถลงทุนแรร์เอิร์ธในสหรัฐได้เหมือนที่สหรัฐลงทุนในไทย” ภัทรพงษ์กล่าว

เขายังเตือนว่า การทำเหมืองแร่เป็นการทำลายระบบนิเวศและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากมีการให้สัมปทานเหมืองใกล้พื้นที่ป่าชุมชนที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิต หรือพื้นที่ทะเลและชายฝั่งที่มีโครงการจัดการโดยชุมชน อาจส่งผลให้ต้นไม้ตาย ไม่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ หรือทำให้อุณหภูมิในทะเลสูงขึ้นจนไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน ชุมชนอาจต้องรับผิดชอบผลกระทบและค่าปรับโดยไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ

ภัทรพงษ์เรียกร้องว่า ในช่วงที่รัฐบาลอนุทินเป็นรัฐบาลชั่วคราวก่อนยุบสภา ต้องงดพิจารณาการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศ ห้ามเปิดช่องให้สหรัฐบีบไทยอนุญาตเหมืองภายในประเทศ และเร่งออกกฎหมายลูกควบคุม MOU อย่างเข้มงวดจนกว่าจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.แร่ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมของชาติ

ขณะเดียวกัน ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ตั้งข้อสังเกตต่อ MOUดังกล่าว จำนวน 4 ข้อสำคัญ ได้แก่

1. MOU ครอบคลุมแร่สำคัญ (Critical Minerals – CTM) อย่างน้อย 60 ชนิด โดย Rare Earth Elements (REE) เป็นเพียงหนึ่งในนั้น จึงต้องทำความเข้าใจ MOU ในภาพรวมของแร่ CTM ทั้งหมด ไม่ใช่ REE เพียงอย่างเดียว

2. ไทยเป็นผู้นำเข้าแร่ CTM จากเมียนมาอย่างถูกกฎหมายตลอดแนวชายแดน แต่ตัวเลขทางการอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะยังมีการนำเข้าไม่เป็นทางการตามแนวชายแดน

3. กองกำลังชาติพันธุ์ตามแนวชายแดนไทย-พม่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียสำคัญ ทั้งเจ้าของพื้นที่เหมืองหรือผู้ทำเหมืองเอง และมีความสัมพันธ์กับนักธุรกิจไทย หน่วยงานรัฐ รวมถึงสหรัฐฯ ดังนั้น MOU อาจทำให้กองกำลังเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานแร่ CTM อย่างเป็นทางการ

4. ประชาชนในลุ่มน้ำกกสายรวกโขงเสี่ยงต่อปัญหามลพิษข้ามพรมแดนมากขึ้น เพราะ MOU ไม่มีการกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงไม่มีนโยบายแก้ไขปัญหาเหมืองในพม่าที่เป็นต้นเหตุ

ดร.สืบสกุลเสนอว่า รัฐบาลไทยและสหรัฐควรเปิดเผยแผนการดำเนินงานให้ประชาชนรับรู้ และยุติการนำเข้าแร่ CTM จากพม่า พร้อมเปิดเผยที่ตั้งเหมืองแร่ทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนทราบความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษในแม่น้ำกับเหมืองแร่

เขาสรุปว่า MOU แร่ CTM เป็นเกมปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจของมหาอำนาจโลก แต่ประชาชนไทยกำลังแบกรับภาระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ไม่ได้ก่อขึ้น และประชาชนในลุ่มน้ำกกสายรวกโขงกำลังสูญเสียอำนาจในการดูแลชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

สุขภาพของ ‘เขา’ คือสุขภาพของ ‘เรา’ เหตุผลจริงของการรักษาที่ชายแดน บทเรียนที่แม่สอดและอุ้มผาง กับข้อตกลงสุขภาพข้ามพรมแดนที่ยังมาไม่ถึง

เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คือหนึ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจและสังคมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาหลายหมื่นคนที่เข้ามาทำงานในโรงงาน การเกษตร การประมง...

คกน.-เครือข่าย เปิดเวที ‘ชาติพันธุ์กับรัฐธรรมนูญ’ บทเรียน 50 ปีสู่รัฐธรรมนูญที่คนเท่ากัน

1 ธันวาคม 2568 เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) และเครือข่ายจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘การต่อสู้ของพี่น้องชาติพันธุ์กับความสำคัญของรัฐธรรมนูญ’ โดยมีองค์กรภาคประชาชนจากไทย–เมียนมาร่วมแลกเปลี่ยน เพื่อทบทวนประวัติศาสตร์การต่อสู้ด้านสิทธิชุมชน...

เมียนมาพบพื้นที่ปลูกฝิ่นสูงสุดในรอบ 10 ปี ท่ามกลางความไม่มั่นคงยืดเยื้อ

3 ธันวาคม 2025 พื้นที่ปลูกฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบสิบปี ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งระบุถึงแนวโน้มการขยายตัวของพืชเสพติดในช่วงที่ประเทศยังเผชิญความขัดแย้งและเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง รายงาน ‘การสำรวจฝิ่นเมียนมา 2025’...