ละลานล้านนา: ‘เจี้ย’ เรื่องเล่าสั้นๆ ที่มากไปกว่านิทานพื้นบ้านล้านนาแค่การสะท้อนนัยยะทางการเมือง

Date:

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล

มีผู้กล่าวไว้ว่าหากพูดถึง “เจี้ย” หรือ “เจี้ยก้อม” กับคนล้านนาแล้ว ก็จะรู้กันดีว่าหมายถึงเรื่องเล่าขนาดสั้นๆ ทั้งนี้ก็เพราะเจี้ยเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน ผ่านการเล่าสู่กันฟังแบบปากต่อปาก จนแพร่หลายไปทั่วทั้งแดนล้านนา ซึ่งเรื่องที่เล่านั้นก็เป็นไปได้ทั้งเรื่องที่มีต้นเค้ามาจากเรื่องจริง หรือเป็นการแต่งขึ้นเพื่อสร้างความหรรษาในกลุ่มผู้ฟัง

ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าการเล่าเจี้ยเริ่มมีขึ้นในดินแดนล้านนาตั้งแต่เมื่อไร และไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่ที่แน่ชัดก็คือเจี้ยก้อมเป็นหนึ่งในการสร้างมุกตลกขำขันและความสนุกสนานของชาวล้านนา ซึ่งความสนุกสนานของเจี้ยก้อมอยู่ที่ผู้เล่าและผู้ฟังต่างมีพื้นฐานการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมร่วมกัน ผู้เล่าจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดมากมายนักก็สามารถเข้าสู่จุดหรรษาของเรื่องได้

ในอดีตคนล้านนามักเล่าเจี้ยหรือว่าเจี้ยก้อมในงานบุญต่างๆ บ้างก็เล่ากันในงานศพเพื่อคลายความเศร้าให้เจ้าภาพ ซึ่งการเล่าเจี้ยนี้ผู้เล่าก็จะอาศัยการจดจำเรื่องที่เคยได้ฟังมาเล่าต่อๆ กัน และใช้ภาษาปากของคนท้องถิ่นถ่ายทอด ซึ่งในแง่ของเนื้อหาสาระหรือสำนวนของเจี้ยนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป มีทั้งที่หยาบโลนและไม่หยาบโลน ขึ้นอยู่กับวงที่เล่า กล่าวคือ ถ้าเป็นการเล่าในวงเพื่อนฝูงก็มักจะตลกโปกฮา เป็นเรื่องผัวๆ เมียๆ เรื่อยไปจนถึงเป็นเรื่องสัปดน แต่เล่าฟังกันในวงครอบครัว มีลูกๆ หลานๆ นั่งฟัง เนื้อหาก็จะสุภาพขึ้น  

ปัจจุบันเจี้ยก้อมเป็นสิ่งหาฟังได้ค่อนข้างยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้พยายามรวบรวมไว้บ้าง ทั้งแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษรและแบบไฟล์เสียง นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเจี้ยก้อมในเชิงวิชาการด้วย ซึ่งการศึกษาชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือเรื่อง การวิเคราะห์นัยยะแฝงทางการเมืองการปกครองของล้านนาผ่าน “เจี้ยก้อม” โดย ถิรายุส์ บำบัด 

การศึกษานี้พบว่าเจี้ยก้อมที่เป็นเรื่องขำขันของชาวล้านนา ในอีกนัยหนึ่งเป็นตลกร้ายที่สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการเมืองการปกครองของล้านนา ทั้งในสมัยจารีตและในยุคการปฏิรูปการปกครอง (การเข้ามาของส่วนกลาง) ขณะเดียวกันก็ยังสะท้อนให้เห็นลักษณะของการต่อสู้ ขัดขืน ตอบโต้ ต่อผู้ปกครองหรือชนชั้นนำในสังคม โดยผู้ถูกปกครองหรือชาวบ้านคนธรรมดาสามัญ 

เจี้ยก้อมที่สะท้อนการเมืองการปกครองในยุคจารีตมักมีตัวละครที่เป็นมาจากชนชั้นนำทางการเมือง เช่น เจ้าพระยา เจ้าเมือง หรือมักเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีความ หรือการใช้อำนาจต่างๆ อย่างที่คนธรรมดาสามัญไม่อาจทำได้ ตัวอย่างเช่นเจี้ยก้อม 2 เรื่องต่อไปนี้

เสี้ยงเหมี้ยงค่ำพญา

เสี้ยงเหมี้ยงค่ำพญา บ้างก็เขียนว่า เซี่ยงเมี่ยงคำพระยา เป็นเรื่องราวการทดสอบไหวพริบกันระหว่างพระยาเจ้าเมืองและเสี้ยงเหมี้ยง  ซึ่งสาระสำคัญของเรื่องก็มีอยู่ว่า พระยาเจ้าเมืองอยากทดสอบว่าเสี้ยงเหมี้ยงจะสามารถหลอกตนที่เป็นเจ้าเมืองได้หรือไม่ โดยได้ทำการทดสอบเสี้ยงเหมี้ยงอยู่หลายครั้งหลายครา เป็นต้นว่า เมื่อพระยาเจ้าเมืองเจอเสี้ยงเหมี้ยงระหว่างทาง ก็บอกให้เสี้ยงเหมี้ยงหลอกตนลงจากหลังม้าให้ได้ ซึ่งเสี้ยงเหมี้ยงก็ตอบว่าตนไม่สามารถหลอกพระยาเจ้าเมืองให้ลงจากหลังม้าได้ แต่สามารถหลอกให้ขึ้นม้าได้ เมื่อได้ยินดังนั้นพระยาเจ้าเมืองก็ลงจากหลังม้าเพื่อจะพิสูจน์ว่าเสี้ยงเหมี้ยงจะหลอกให้ตนขึ้นม้าได้อย่างไร และนั่น เป็นอันหมายความพระยาเจ้าเมืองแพ้เสียแล้ว

อีกครั้งหนึ่งเสี้ยงเหมี้ยงต้องการหลอกให้เจ้าเมืองกินมูลของนกแร้ง จึงเอามูลนกไปฟั่นทำเป็นดินสอ แล้วถวายให้เจ้าเมืองนำไปใช้เขียนหนังสือ แต่เมื่อเจ้าเมืองจะใช้ ดินสอมูลนกแร้งนั่นก็เขียนไม่ออก เสี้ยงเหมี้ยงจึงแนะนำว่าให้ชุบน้ำลายเสียก่อน ก็เป็นอันว่าพระเจ้าเมืองเสียรู้แก่เสี้ยงเหมี้ยงอีกครั้ง

หรือในครั้งหนึ่ง พระยาเจ้าเมืองอยากเอาชนะเสี้ยงเหมี้ยง จึงท้าให้เสี้ยงเหมี้ยงเอาลูกควายมาวิ่งแข่งกับควายตัวผู้โตเต็มวัยของตน ซึ่งเสี้ยงเหมี้ยงก็เอาลูกควายที่ยังไม่หย่านมมาวิ่งแข่ง และเมื่อลงสนาม ลูกควายก็วิ่งไล่ดูดอัณฑะของควายเจ้าเมือง จนควายตัวผู้นั้นต้องวิ่งหนีออกไปสนาม เป็นว่าเสี้ยงเหมี้ยงก็ได้ชัยชนะอีกครั้ง

เรื่องราวการชิงไหวพริบระหว่างเสี้ยงเหมี้ยงดำเนินไปอีกหลายครั้งหลายครา ทำนองเดียวกับเรื่องของศรีธนญชัยที่แพร่หลายอยู่ในส่วนกลาง แต่ในการท้าทายกันครั้งสุดท้ายนี้ สืบเนื่องมาจากเจ้าเมืองสั่งให้ทหารจับเสี้ยงเหมี้ยงขังกรงแล้วถ่วงน้ำ แต่เขาก็ซ้อนกลเอาคนอื่นเข้าไปอยู่ในกรงแทน แล้วรอดชีวิตกลับมาได้ ซึ่งเมื่อกลับมาแล้วก็ได้มาหลอกเจ้าเมืองว่าที่เมืองบาดาลอยู่สุขสบายดี พระยาเจ้าเมืองฟังแล้วก็หลงเชื่อ สั่งให้ทหารจับตนเองใส่กรงแล้วถ่วงน้ำเพื่อจะได้ไปเมืองบาดาล จากนั้นเสี้ยงเหมี้ยงก็กล่อมชายาของเจ้าเมืองว่าให้ยกเมืองแก่ตนเสีย ซึ่งชายาเจ้าเมืองก็ยินยอมยกเมืองให้เสี้ยงเหมี้ยงปกครองต่อไป

น้อยกระต่าย

น้อยกระต่าย ก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการชิงไหวชิงพริบระหว่างเจ้าเมืองและชาวบ้านเช่นเดียวกับเสี้ยงเหมี้ยงค่ำพระยา โดยสาระสำคัญของเรื่องน้อยกระต่ายมีอยู่ว่าแม่หม้ายคนหนึ่งมีควายอยู่สองตัว เป็นควายแม่ลูก แต่แล้วควายแม่ลูกนี้ก็ไปติดควายตัวผู้ที่เป็นควายของเจ้าเมือง ทำให้ตู่เอาควายของแม่หม้ายไปเป็นของตัวเองด้วย โดยอ้างว่าเป็นลูกของควายตัวผู้ของตน 

เมื่อถูกเอาควายไป แม่หม้ายคนนั้นจึงไปขอให้น้อยกระต่ายช่วยเหลือ เพราะเขาเป็นผู้ที่มีไหวพริบดี น้อยกระต่ายก็รับปากและบอกแม่หม้ายว่าวันรุ่งขึ้นให้รอที่บ้านเจ้าเมือง แล้วเขาจะไปช่วยเอาควายคืนให้ 

ในวันต่อมาแม่หม้ายก็ไปที่บ้านเจ้าเมือง ทั้งแม่หม้ายและเจ้าเมืองต่างนั่งรอน้อยกระต่ายกันจนสาย น้อยกระต่ายก็ยังไม่ปรากฏตัว และเมื่อน้อยกระต่ายมาถึงบ้าน เจ้าเมืองก็ถามว่าทำไมจึงมาช้านัก น้อยกระต่ายจึงหลอกว่าตนมาช้าเพราะไปดูช้างตัวผู้ตกลูกมา เจ้าเมืองได้ยินอย่างนั้นก็หลงกล แล้วพูดออกมาว่า “ช้างผู้ไพเกิดลูกจะใด” น้อยกระต่ายจึงซ้อนกลว่าก็เหมือนควายตัวผู้ของเจ้าเมืองนั่นแล ในที่สุดเจ้าเมืองก็ยอมคืนควายให้แก่หญิงหม้าย

ขณะเจี้ยก้อมสะท้อนลักษณะการเมืองในยุคปฏิรูปการปกครอง มักจะมีเนื้อหาที่เป็นการตอบโต้ต่อตัวแทนของภาครัฐจากส่วนกลาง ซึ่งเจี้ยก้อมเรื่องที่สะท้อนให้เห็นการตอบโต้นี้อย่างชัดเจนก็เช่นเรื่อง หัวโน

หัวโน

หัวโน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบโต้ “นายอำเภอ” เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นทั้งตัวแทนและภาพแทนของอำนาจรัฐจากส่วนกลาง โดยสาระสำคัญของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเป็นคนขับรถและเล่นพนันเก่ง ต่อเขาได้เป็นคนขับรถของนายอำเภอ ทำหน้าที่พานายอำเภอไปที่ต่าง ๆ เมื่อนายอำเภอนอนโรงแรมชั้นหนึ่ง เขาก็จะนอนที่นั่นด้วย เมื่อนายอำเภอสั่งอาหารเช้าอย่างดีมากิน เขาก็จะสั่งเช่นเดียวกัน และนั่นก็สร้างความสงสัยให้นายอำเภอ เพราะด้วยเงินเดือนคนขับรถ ไม่น่าจะเพียงพอต่อการนอนโรงแรมหรูกินอาหารเช้าอย่างดีได้

นายอำเภออดรนทนไม่ได้จึงเรียกคนขับรถมาสอบถาม และก็คำตอบว่าได้เพราะคนขับรถเล่นพนันเก่ง เมื่อเสร็จจากงานขับรถก็ไปเล่นหวย เล่นทีไรก็ได้เงินมาตลอด นายอำเภอไม่ค่อยเชื่อเลยสั่งสอนไปเกี่ยวกับโทษของการพนัน คนขับรถเห็นนายอำเภอไม่เชื่อ ก็เถียงกลับ และเมื่อเห็นว่านายอำเภอไม่เชื่อหนักเข้าก็เลยชวนให้นายอำเภอมาพนัน โดยบอกว่า “เอาจะอี้ ถ้านายอำเภอใคร่รู้ วันพูกเก้าโมงเมื่อเช้า หัวนายอำเภอจะโน นายอำเภอจะเชื่อก่อ พนันกันบ่ะ มะใส่กันคนละ 200 ถ้าหัวนายอำเภอโน นายอำเภอต้องเสียหื้อผม 200 ถ้าบ่โน ผมเสียหื้อนายอำเภอ 200”

รุ่งเช้านายอำเภอก็ตื่นมาก็จับหัวตัวเองเป็นอย่างแรก เมื่อเห็นว่าหัวเป็นปกติ ไม่ได้ปูดโปนหรือโนขึ้นมา ก็เรียกหาคนขับรถให้มาดูหัวของตนเป็นปกติ เมื่อคนขับรถมาก็เถียงว่านายอำเภอหัวโน แต่นายอำเภอก็ปฏิเสธพร้อมกับบอกคนขับรถแหวกผมบนหัวของตัวเองดู เมื่อจับหัวนายอำเภอเสร็จ คนขับรถก็ยอมเสียค่าพนันให้นายอำเภอ ซึ่งนายอำเภอก็สงสารแล้วบอกว่าจะคืนเงินให้ แต่คนขับรถปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่าวันนี้ได้เงินพนันมาเยอะมากแล้ว

ได้ยินดังนั้นนายอำเภอก็ยิ่งสงสัย คนขับรถจึงอธิบายว่าหลังจากพนันกับนายอำเภอแล้ว เขาได้ไปพนันกับคนที่โรงแรมฝั่งตรงข้ามว่าให้คอยดูนะ นายอำเภอจะยอมให้เขาจับหัว ซึ่งทุกคนต่างไม่เชื่อ เขาก็เลยชวนทุกพนันกันคนละ 100 เล่นกัน 4 คน และตอนนี้เขาก็ได้เงินพนันมาแล้ว 400 บาท ให้นายอำเภอไป 200 แต่เขาก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดีนั่นเอง

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของเจี้ยหรือเจี้ยก้อมที่วนเวียนอยู่ในวิถีชีวิตของชาวล้านนา หากแต่ส่วนที่อยากนำเสนอให้ได้รับรู้กันว่านอกจากจะเป็นเรื่องเล่าเพื่อความสนุกสนานบันเทิงแล้ว เจี้ยหรือเจี้ยก้อมยังถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อการแสดงออกทางการเมืองของชาวล้านนา 

อ้างอิง

หทัยวรรณ ไชยะกุล. (2539). การสร้างมุขตลกในเรื่องขำขันของล้านนา. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาและวรรณกรรมล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ถิรายุส์ บำบัด. (2567). การวิเคราะห์นัยยะแฝงทางการเมืองการปกครองล้านนาผ่าน “เจี้ยก้อม”. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2567).

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ปวีณา หมู่อุบล
ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

กฎหมายเปิดเเต่สิทธิยังติดขัด วงสนทนาเครือข่ายยุติการตั้งครรภ์ในเชียงใหม่ กับกำแพงอคติที่ต้องฝ่าไป

เรื่อง: วรรณวิษา พะเลียง ภาพ: พิมลวรรณ ปานทุ่ง 23 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิทำทาง ร่วมกับสองสถานบริการทำแท้งปลอดภัยในจังหวัดเชียงใหม่...

นักศึกษากว่า 250 คนในรัฐฉาน ถูกบังคับเลือกตั้งล่วงหน้าใต้กติกาที่ออกแบบโดยทหารเมียนมา

28 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation-SHRF) เผยแพร่แถลงการณ์โดยระบุว่า...

10 ปีไม่เป็นผล ‘กลุ่มรักษ์บ้านแหง’ ต้องสู้ต่อ หลังศาลปกครองสูงสุด ‘ยกย้อน’ คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีชาวบ้าน 386 คน ยื่นฟ้องเพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์

27 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือ...

ภาพไวรัลรถไฟบรรทุกรถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปหาดใหญ่ ถูกสร้างด้วย AI ย้อนรอยต้นฉบับจากคลิปปี 64

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19.30 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พระราม เดินดง...