คณะก่อการล้านนาใหม่และราษฎรหยุด APEC 2022 แสดงจุดยืนหน้ากงสุลสหรัฐอเมริกา เชียงใหม่ ลั่นอเมริกาต้องรับผิดชอบการละเมิดสิทธิและกดดันรัฐบาลไทย

Date:

ภาพ : ภูวิวัชร์ อินต๊ะวงค์

29 พฤศจิกายน 2565 คณะก่อการล้านนาใหม่ กลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022 คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กป.อพช.ภาคเหนือ และประชาชน ได้ร่วมแสดงจุดยืนไม่เอาความรุนแรงของรัฐบาลประยุทธ์กรณีการชุมนุมราษฎรหยุด APEC 2022 ณ สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องให้สถานทูตประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อกดดันรัฐบาลไทยให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 และประเทศสหรัฐอเมริกาต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ APEC 2022

เวลา 10.20 น. คณะก่อการล้านนาใหม่และราษฎรหยุด APEC 2022 ได้มีการขึ้นป้ายแสดงออกบริเวณวงเวียนเจดีย์ขาว ติดกับสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา  โดยมีข้อความเขียนว่า “BloodyAPEC ต้องมีคนรับผิดชอบ” ”Police Everywhere Justice Nowhere”  “A.C.A.B” และสวมหน้ากากพายุ บุญโสภณ-นักกิจกรรมกลุ่มดาวดิน สามัญชน ที่ถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ดวงตาจนสูญเสียดวงตา จากการใช้ความรุนแรงในสลายการชุมนุมของวันที่18 พฤจิกายน 2565 บริเวณถนนดินสอ  กรุงเทพมหานคร

10.50 น. มีการเคลื่อนขบวนไปที่หน้าสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ในขณะนั้นได้มีผู้แทนของกงสุลสหรัฐอเมริกามารอรับหนังสือ โดย พชร คำชำนาญ ตัวแทนจากคณะก่อการล้านนาใหม่และราษฎรหยุด APEC 2022 ได้มีการอ่านแถลงการ ใจความว่า 

ภาพ : ภูวิวัชร์ อินต๊ะวงค์

เราขอเรียกร้องผ่านทางสถานทูต ให้ประเทศของท่านที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (APEC) ต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นในการประชุม APEC2022 ด้วยการกดดันรัฐบาลไทย ให้ทำตามข้อเรียกร้องของ กลุ่มราษฏรหยุดเอเปค โดยเรามีข้อเรียกร้องดังนี้

1. สํานักงานตำรวจแห่งชาติต้องออกมาแสดงการยอมรับผิดและออกมาขอโทษกับกรณีที่เกิดขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565

2.ให้สํานักงานตำรวจแห่งชาติและส่วนที่เกี่ยวข้อง ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และชดใช้ค่าเสียหายทั้งร่างกายและสิ่งของที่สูญเสียไป

3. สํานักงานตำรวจแห่งชาติและส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการหาตัวผู้สั่งการและผู้กระทำความผิดในการสลายการชุมนุมเกินกว่าเหตุ จากการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 18 พ.ย 65 และมาลงโทษ ทั้งทางวินัยและทางอาญา

4. ปฏิรูปการควบคุมการชุมนุมให้สนับสนุนการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมแก่ประชาชน โดยรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชนอีก โดยอย่างน้อยต้องมีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมทุกนาย ทุกครั้ง และเจ้าหน้าที่ทุกคนทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบ ต้องถูกระบุตัวตนได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการที่เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเป็นผู้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงเสียเอง และให้ยึดหลักการสิทธิมนุษยชนในการชุมนุมตามหลักสากลและปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ที่เอื้อต่อประชาชนในการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม 

ภาพ : ภูวิวัชร์ อินต๊ะวงค์

ทั้งนี้เราขอยืนยันว่า การชุมนุมของเราเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามหลักสากลโดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ในขณะนั้นคือ

1. ประยุทธ์ต้องยกเลิกนโยบาย BCG รวมถึงระเบียบกฎหมายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ ที่พยายามนำเสนอให้ที่ประชุมเอเปครับรอง ด้วยเป็นแนวคิดที่กำลังเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนชั้นนำในประเทศเท่านั้น แต่กลับจะสร้างผลกระทบมหาศาลให้กับประชาชนไทยและประชาคมโลกในอนาคต

โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model หรือ BCG) ซึ่งรัฐบาลไทยพยายามอย่างยิ่งในการผลักดันให้ประเทศในเขตเศรษฐกิจ APEC รับรองเพื่อให้บรรลุ ‘เป้าหมายกรุงเทพ ฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG’ นั้น ได้ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ “(ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว: BCG Model) พ.ศ. 2564 – 2570” โดยผู้บริหารและขับเคลื่อน BCG คือการทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐ กลุ่มอดีตข้าราชการระดับสูง ร่วมกับเครือข่ายของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของประเทศ จึงไม่แปลกใจที่แผนการที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน BCG นั้นจะเน้นไปที่ประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่และรัฐราชการเป็นหลัก สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อประชาชน กล่าวคือ

1)นโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เป็นการเปิดทางให้กับการโจรกรรมพันธุกรรม ทำให้นายทุนสามารถเข้ามาผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์หรือการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น จีเอ็มโอ ได้อย่างง่ายดาย ผ่านการผลักดัน พ.ร.บ.ความหลากหลาย พ.ศ. …  รวมถึงความพยายามในการแก้ไขแก้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 เพื่อผูกขาดเมล็ดพันธุ์

2) นโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นการเปิดทางให้กับการปลูกพืชพลังงานและการทำ   โรงไฟฟ้า นำมาซึ่งการลดการปลูกพืชอาหาร เกิดปัญหาความมั่นคงด้านอาหาร และปัญหาด้านมลพิษในสิ่งแวดล้อม เป็นอันตรายต่อประชาชน รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรงไฟฟ้าชีวมวลมหาศาล และการนำเข้าขยะพลาสติก และ       

3) นโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐสามารถผลักดันนโยบายการค้าคาร์บอนเครดิตโดยอ้างวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทุนอุตสาหกรรมที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการปล่อยคาร์บอนนั้นไม่ต้องถูกควบคุม แต่ผลักภาระมาที่ชาวนา แรงงาน และคนจนทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับแย่งชิงที่ดินของประชาชนไปเข้าสู่โครงการปลูกป่าเพื่อเป็นพื้นที่คาร์บอนเครดิตของกลุ่มทุน โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่สีเขียวมากถึง 55 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ ในขณะที่ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้มีแนวนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่า 40 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ ตามแผนของคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ซึ่งก็ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนอยู่แล้ว

2. ประยุทธ์ไม่มีความชอบธรรมที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับผู้นำกลุ่มเอเปค และจะต้องยุติบทบาทในการเป็นประธานการประชุมเอเปคโดยทันที เพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อประชาชนและต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ          

3. ประยุทธ์ต้องยุบสภาและเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง พร้อมกับจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง อันจะทำให้ได้มาซึ่งผู้นำการบริหารประเทศที่สง่างามและคู่ควรกับการเป็นเจ้าภาพในการประชุมเวทีประชาคมโลกต่อไปในอนาคต

“เราไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่เราคือผู้ได้รับผลกระทบด้วย”

โดยหนึ่งในผู้ชุมนุมที่อยู่ในเหตุการณ์การการสลายการชุมนุม กล่าวว่า วันนั้นตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลากเข้าไปใช้ความรุนแรง และโดนทุบตี ถูกกระบองฟาด ขณะที่เพื่อนถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ดวงตา และมีพี่น้องที่ร่วมชุมนุมบาดเจ็บอีกหลายคน โดยเจตจำนงของเราวันนั้นคือการแสดงออกไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น และตัวผู้เล่าเองก็ถูกดำเนินคดีอีกหลายคดี 

ในเวลา 11.00 น. คณะก่อการล้านนาใหม่และราษฎรหยุด APEC 2022 ยังคงยืนยันหลักการว่า พวกเราได้ใช้สิทธิเสรีภาพในนามประชาชน พวกเราควรจะมีสิทธิในการแสดงออก มีสิทธิ์ในฐานะประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒา จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ฟอกขาวตัวเองและฟอกเขียวให้นายทุน  ผ่านการใช้ประเทศเขตเศรษฐกิจ APECและในอีกหลายๆ ประเทศเป็นเครื่องมือของตัวเอง และยืนยันการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่18 พฤจิกายน 2565 ที่ผ่านมาเป็น การสลายการชุมนุม: การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 1. การสลายการชุมนุมขัดต่อพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ภายหลังการยกเลิกพรก.ฉุกเฉินในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

 2. การสลายการชุมนุมฝ่าฝืนหลักความได้สัดส่วนและความจำเป็น 

 3. การใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักสากล

 4. ตำรวจขัดขวางและโจมตีสื่อมวลชน

 5. การละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เช่นการพูดจาที่ส่อไปในการล่วงละเมิดทางเพศกรณีที่ผู้ชุมนุมหญิงถูกเจ้าหน้าที่คฝ.พูดใส่ตน

และเสร็จสิ้นกิจกรรมในเวลา 11.15 น.

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...