เงี้ยวเมืองแพร่ ‘กบฏหรือวีรบุรุษ’ ประวัติศาสตร์ของความย้อนแย้ง(4)​

Date:

28/07/2022

โครงเรื่องประวัติศาสตร์กระแสท้องถิ่นชาตินิยม ตราประทับความเป็น “กบฏ” ที่ต้องการปลดปล่อย​

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทำให้เกิดสำนึกของ “ความเป็นคนท้องถิ่น” นำมาสู่การสร้างประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่าง ๆ ​ เช่น อ้างการกำเนิด การมีตัวตนที่เก่าแก่ของเมือง หรือความสำคัญของเมืองตั้งแต่โบราณกาล เพื่อให้เห็นพลวัตของเมือง ๆ หนึ่ง ​ เมืองแพร่ตกอยู่ภายใต้กระแสนี้ และนำมาสู่การผลิตงานของคนกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองแพร่ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของเมือง และจุดเน้นที่สำคัญอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์นี้ก็คือ เหตุการณ์กบฏเงี้ยว พ.ศ. 2445 ที่แสดงออกมาในรูปการอธิบายปรากฏการณ์นั้น ๆ ใหม่ แต่เดิมเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากอธิบายหรือพูดถึงเพราะถือเป็นเรื่องเกือบต้องห้ามสำหรับคนเมืองแพร่ ภายใต้ความคิดครอบงำของเมือง “กบฏ” หรือ “เมืองที่ไม่จงรักภักดี” และการอธิบายเหตุการณ์ครั้งนี้มาจากมุมมองของรัฐผ่านหนังสือราชการฝ่ายเดียว ไม่มีการตอบโต้ หรืออธิบายเหตุการณ์นี้แตกต่างจากเอกสารภาครัฐมากนัก ดังชี้ให้เห็นก่อนหน้านี้ แม้งานนั้น ๆ จะผลิตโดยคนท้องถิ่นเองก็ตาม​

อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์มีพลวัต คลี่คลาย สืบเนื่องจนนำมาสู่การแพร่ขยายของกระแสประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่มีกลิ่นอายของท้องถิ่นนิยมที่มีสำนึกในความเป็นท้องถิ่นของตัวเองสูง รวมถึงการคลี่คลายและความสำคัญ รวมถึงบทบาทของเหตุการณ์กบฏเงี้ยว ที่ตอกย้ำ เรื่อง “ความจงรักภักดี” ต่อพระมหากษัตริย์ ลดทอนความสำคัญโดยลำดับ โดยมีวาทกรรมอื่น ๆ ขึ้นมาแทนเหตุการณ์นี้ เช่น ความเป็นไทย เป็นต้น จนนำสู่การสร้างการอธิบายใหม่ของเหตุการณ์กบฏเงี้ยวของคนในท้องถิ่น และผลิตงานออกมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2540 เป็นจุดเริ่มจุดหนึ่งของการก่อตัวของสำนึกท้องถิ่นนิยม แต่คนท้องถิ่นมักมีโจทก์สำคัญ คือ มองว่าการได้ชื่อว่าเมือง “กบฏ” ​ เนื่องมาจากการที่เจ้าหลวงในขณะนั้น คือ ​ เจ้าพิริยเทพวงศ์ ร่วมมือกับกบฏ หรือ “เงี้ยว” จึงนำมาสู่คำตอบ หรือการอธิบายว่า เจ้าหลวงมิได้กบฏ เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหาข้างต้น โดยทั่วไปแล้วคนในท้องถิ่นไม่สนใจบริบทของการเกิด หรือไม่เกิดกบฏ ​ และไม่ใส่ใจในประเด็นการร่วมมือหรือขัดขืนของเจ้าหลวงมากนัก ​ ​

งานในท้องถิ่นนอกจากเสนอเหตุการณ์และสาเหตุของการเกิดกบฏเงี้ยวแล้ว เรื่องหนึ่งที่คนในท้องถิ่นเสนอ เช่น “การหนี” หรือ “การปลด” เจ้าหลวงเมืองแพร่ ขณะนั้นคือ เจ้าพิริยะเทพวงศ์ออกจากตำแหน่ง โดยมีการเสนอออกเป็น 2 แนวคิดใหญ่ คือ 1. ถูกปลดและหลบหนีออกจากเมืองไป 2. เสนอว่าออกไปโดยความยินยอมพร้อมใจของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่ และมีกองเกียรติยศส่งออกนอกเมือง เช่น เรื่องเล่าของเจ้าหลวงเมืองแพร่(พิริยเทพวงษ์) ที่ครั้งหนึ่งได้ถูก ‘ตรา’ ว่าเป็น ‘กบฏ’ ถูก ‘สร้างใหม่’ ว่าได้รับเกียรติจวบจนวาระสุดท้ายก่อนออกจากเมืองแพร่ ออกไปโดยทหารเกียรติยศ หรือได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีแม่ทัพใหญ่ขณะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการตอบโต้วาทกรรมฝ่ายรัฐที่มองว่าเป็น “กบฏ” แต่ชาวบ้านถือว่าเจ้าหลวงเมืองแพร่ “ผู้บริสุทธิ์” (เช่น เสรี ​ ชมภูมิ่ง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด วรพร บำบัด สิริกร ไชยมา และชูขวัญ ถุงเงิน เป็นข้าราชการครู ​ เป็นต้น)​

ประวัติศาสตร์ “โจรเงี้ยวปล้นจังหวัดแพร่” หรือ ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จะให้ภาพการหนีของเจ้าหลวงเมืองแพร่ว่าเกิดจากการ ‘หนีราชการ’ ด้วย “…ทางราชการได้พิจารณาเห็นว่า เจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการ ประกอบทั้งเป็นเวลาที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างเกิดการจราจลด้วย จึงได้ให้พวกญาติติดต่อให้เจ้าพิริยะเทพวงศ์กลับมาเสีย เป็นเวลาหลายวันก็ไม่กลับมา จึงได้ประกาศถอดเจ้าพิริยะเทพวงษ์ จากตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครแพร่ลงเป็นไพร่ คือ ให้เป็น “น้อยเทพวงษ์” ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ร.ศ. 121…”​

แม้ว่าราชการจะมีมุมมองเรื่องกบฏเงี้ยวอีกอย่างหนึ่ง คือ ทำผิดระเบียบต่อราชการเจ้าหลวงจึงถูกปลด แต่ถ้าเป็นงานของท้องถิ่นจะมีกลิ่นอายของเรื่องเล่าเจือปน เช่นงานของ เลิศล้วน วัฒนนิธิกุล ​ เรื่อง ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ 800 ปี หรืองานของ เสรี ชมภูมิ่ง เรื่องเจ้าพิริยะเทพวงษ์ ผู้นิราศเมืองแพร่ท่ามกลางกองเกียรติยศ ในเมือง แป้ปื้น แห่งเมืองโก๋ศัย กลุ่มลูกหลานเจ้าเมืองแพร่ เช่น บัวผิว ​ วงศ์พระถาง, ร.ต. ดวงแก้ว รัตนวงศ์ และรัตน์ วังซ้าย เป็นต้น อธิบายว่าเจ้าหลวง กับรัชกาลที่ 5 ​ ร่วมมือกันในการทำให้เกิดกบฏเงี้ยว เพื่อให้เจ้าหลวงเป็นสายสืบอยู่ที่หลวงพระบาง และเพื่อป้องกันการแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ ทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ โดยให้เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์เป็นแพะรับบาป เจ้าหลวงก็ยินยอมตามแผนการมิได้มีข้อขัดแย้งอะไร โครงเรื่องเช่นนี้กลายเป็นคำอธิบายการเกิดกบฏเงี้ยวกระแสหลักอยู่ในเมืองแพร่ ซึ่งได้ยกคำสัมภาษณ์อย่างละเอียดลงก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงข้อสงสัยต่างๆ ดังความว่า​

“…เงี้ยวมาเกลี้ยกล่อมท่าน (เจ้าหลวง) ก็นำความนี้รายงาน รัชกาลที่ 5 ได้ทรงรับรู้…ทางกรุงเทพฯ ก็ได้เรียกเจ้าหลวงไปร่วมปรึกษาหารือ…ตกลงให้รับปากพวกเงี้ยวและให้ผัดเวลาออกไปอีก 2-3 เดือน…ให้ทางกรุงเทพฯจัดกำลัง…”และ “…ตามที่ รัชกาลที่ 5 และเจ้าหลวงฯ ได้วางแผนร่วมกันไว้…”​

นำมาสู่การอธิบายและตีความเหตุการณ์ครั้งนั้นใหม่ว่าเจ้าหลวงไม่ได้เป็นกบฏ แต่เป็นผู้จงรักภักดี และเสียสละ ท้ายสุดทิ้งทั้งทรัพย์สิน ลูกเมีย บ้านเมือง(เพื่อเป็นสายสืบและให้รัชกาลที่ 5 รวมหัวเมืองเหนือได้สำเร็จ) มิใช่กบฏ แต่เป็น “วีรบุรุษ” ฉะนั้นหากกล่าวว่าเมืองแพร่เป็น “เมืองกบฏ” จึงหาใช่ไม่ แต่เป็นเมืองของผู้จงรักภักดี และเมืองของ “วีรบุรุษ” ต่างหาก​

นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวอ้างอีกว่า ก่อนที่จะเกิดกบฏ เจ้าพิริยเทพวงศ์ และชายา เป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างมาก และโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าอยู่เสมอ เพื่อสร้างคำอธิบายให้ตอบรับการเหตุการณ์ข้างต้น ดังความที่ว่า​

“…ในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าหลวงเมืองแพร่นั้นเป็นผู้ที่รัชกาลที่ 5 ทรงรักและไว้ใจมาก โดยเฉพาะกับกรมหลวงดำรงราชานุภาพ…ก็ทรงชอบพอกับเจ้าหลวงฯ ทั้งพ่อ ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ กรมหลวงดำรงราชานุภาพฯ ได้ทรงอบรมสั่งสอนเจ้าหลวงฯ ทุกอย่าง…”​

คำอธิบายชุดนี้กำลังได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและถือว่าเป็นชุดคำอธิบายหลักของฝ่ายที่ต้องการแก้ต่างให้เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์และนำสู่การให้ภาพของเมืองแพร่ใหม่เพื่อตอบโจทย์ “ความเป็นกบฏ” ข้างต้น​

อย่างไรก็ตามคำอธิบายชุดนี้ยังมีกลิ่นอายของชาตินิยมที่เน้นความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตอบสนองต่ออำนาจรัฐมิได้มาจากมุมของท้องถิ่นเพื่อคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง​

คำลักษณะต่อมาคือการปัดความผิดออกจากตัวเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ กลุ่มนี้จะอธิบายว่าการคิดวางแผน หรือการมีส่วนในการกบฏ เป็นความคิดของคนใกล้ชิดเจ้าหลวง เช่น บอกว่าเกิดจากความคิดและการนำของเจ้านางบัวไหลซึ่งเป็นชายาของเจ้าพิริยเทพวงศ์ เพราะจากคำบอกเล่าและประวัติของเจ้าบัวไหลถือว่ามีความสำคัญ และเข้ามาแทรกแซงกิจการของเมืองแพร่ในหลายๆด้าน เช่น การขอให้ย้ายเจ้าอุปราชเมืองแพร่ไปไว้ที่ลำปางเป็นต้น และนำมาสู่การปัดความผิดเรื่องการก่อกบฏเงี้ยวให้เจ้านางบัวไหล​

“…การเข้าแทรกแซงภายในของเจ้าแว่นทิพย์ คอยยุยงเจ้าชื่นและเจ้าแม่บัวไหล (ภรรยาของเจ้าหลวง ฯ) ซึ่งมีความรู้สึกที่สั่นไหวเนื่องจากการเปลี่ยนระบบการปกครองทั้งอำนาจลดลง …”​

การอธิบายลักษณะนี้เพื่อยืนยันว่าการก่อกบฏเกิดจากคนอื่น เจ้าหลวงมิใช่กบฏ โดยสร้างคำอธิบายการเกิดกบฏเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ คนใกล้ชิดยุยง และอิทธิพลจากนอก คือ เจ้าเชียงตุง (แว่นทิพย์) การอธิบายในลักษณะนี้เจ้าหลวงเมืองแพร่จึงเป็นแต่ผู้รับเคราะห์ เจ้าหลวงมิได้มีส่วนรู้เห็น จึงสามารถปัดความรับผิดชอบในฐานะกบฏออกจากตัวเจ้าหลวงได้​

นอกจากการแทรกแซงของเชียงตุงแล้วผู้บงการตัวจริง ก็คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ที่ต้องการให้เงี้ยวก่อจลาจลครั้งนี้ ในคำอธิบายชุดนี้เจ้าหลวงเป็นแต่ผู้รับเคราะห์เช่นกัน ดังความว่า​

“… กบฏเงี้ยวเกิดเพราะอังกฤษกับฝรั่งเศสต้องการเฉือนแผ่นดินสยาม…”​

งานในการอธิบายกลุ่มนี้ยังปรากฏในงานของเสรีและทัศน์ทรง ชมภูมิ่งที่อธิบายว่าเกิดการแทรกแซงของ เชียงตุงและมหาอำนาจ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ไม่มีความชัดเจนนัก การอธิบายว่าเป็นคราวเคราะห์ของเจ้าหลวง การเกิดกบฏเกิดจากเงี้ยวฝ่ายเดียว เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์มิได้มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วน เพราะถูกบังคับให้ทำ จึงเป็นคราวเคราะห์ของเจ้าหลวงที่ต้องถูกกล่าวหาเป็นกบฏ แล้วต้องพลัดบ้านพลัดเมือง ดังความว่า​

“… เจ้าหลวงพิริยาเทพวงศ์ มิได้ทรยศต่อบ้านเมืองขององค์ท่านแต่ประการใด แต่ต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเดิมจนไปทิวงคตในถิ่นอื่นนั้น เป็นคราวเคราะห์กรรมขององค์ท่านเอง ที่ต้องถูกป้ายสีจนประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่า องค์ท่านทรยศต่อบ้านเมืองและประชาชนของท่านเอง..” ​ และ​

“… เงี้ยวพอมันเข้าเมืองได้แล้ว ก็เข้าควบคุมเจ้าหลวง คือเจ้าผู้ครองนคร…ขอให้ลงนามร่วมขับไล่คนไทยให้ออกจากจังหวัดแพร่ เพราะพวกเงี้ยวมันเกลียดคนไทย …เจ้านครไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอาวุธอะไรก็ไม่มีที่จะไปสู้รบกับมัน ทั้งหมดไปอยู่ที่ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ…ก็จำยอมลงนามเข้าร่วมไปก่อน”​

จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่อธิบายทำนองนี้ จะบอกว่าทำด้วยความจำใจเพราะถูกบังคับหรือเลยไปถึงเรื่องเคราะห์กรรม เพื่อบอกว่าเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์เป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้เป็นกบฏดังที่กล่าวหากันและนำสู่ฐานะของ “เจ้าหลวงผู้น่าสงสาร” หรือ “ผู้อาภัพ” ที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมือง​

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการรับรู้ในโครงเรื่องที่คนในเมืองแพร่สร้างในฐานะ “เจ้าหลวงผู้อาภัพ” “เจ้าหลวงผู้เสียสละ” “เจ้าหลวงวีรบุรุษ” ได้รับการรับรู้ในคนกลุ่มนี้อย่างกว้างขวาง เพราะมีการตีพิมพ์หนังสือในท้องถิ่น เช่น สาวความเรื่องเมืองแพร่, ศึกษาเมืองแพร่, อนุสรณ์เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายผู้ครองเมืองแพร่, เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์บิดาแห่งพิริยาลัย, ​ และ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าไข่มุก วงค์บุรีประชาศรัยสรเดช ณ ฌาปนสถานประตูมาร เป็นต้น​

ความทรงจำใหม่นี้เป็นการสร้างตาม ‘ความเชื่อ’ และสำนึกของคนท้องถิ่น โดยนำเอาความคิดของปัจจุบันไปตีความอดีต และสร้างภาพแทนความจริง ภายใต้อิทธิพลของอุดมการณ์ราชาชาตินิยมที่ต้องทำความดีภายใต้พระมหากษัตริย์ และผู้นำ เป็นผู้ผลักวิถีประวัติศาสตร์ แสดงให้ถึงความคิดความเห็นของคนกลุ่มต่างๆ ภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาทต่อการสร้างหรือเปลี่ยนความหมายของเหตุการณ์หนึ่งๆ เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ สถานภาพ และอำนาจของคน ‘ปัจจุบัน’​

วาทกรรมความเป็น “ไทย” ที่ได้ทำให้คนที่ไม่ใช่ไทยเป็น “อื่น” ภายใต้แนวคิด “ชาตินิยม” รวมถึงแนวคิด “วีรบุรุษ” “มหาบุรุษ” ก็เป็นแนวคิดประวัติศาสตร์ชาติกระแสหลักที่ทรงพลัง แสดงให้เห็นว่าแม้คนในท้องถิ่นจะพยายามสร้างโครงเรื่องประวัติศาสตร์เพื่อจัดตำแหน่งแห่งที่ของการรับรู้ประวัติศาสตร์เมืองแพร่ใหม่เช่นไร แต่โครงเรื่องประวัติศาสตร์ชาติ(นิยม)กระแสหลักก็ยังครอบงำประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นได้มากกว่า ​ ​
เขียนและเรียบเรียง : ชัยพงษ์ ​ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร​

บทความนี้เป็นการปรับมาจากหนังสือ ชัยพงษ์ สำเนียง. กบฏเงี้ยว การเมืองของความทรงจำ ประวัติศาสตร์ขบวนการเคลื่อนไหวของ “คนล้านนา”. กรุงเทพฯ : ​ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน), 2564. และบทความพิริยวงศ์อวตาร: ‘วีรบุรุษ’ ‘กบฏ’ การประดิษฐ์สร้างตัวตนใหม่ทางประวัติศาสตร์. ​ ศิลปวัฒนธรรม ​ ปีที่ 34 ฉบับที่ 9 (ก.ค. 2556) หน้า 114-129 ข้อผิดพลาดของงานชิ้นนี้ย่อมเป็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว​

#กบฏเงี้ยว​
#Lanner

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...