แสงไต้ เทียนไข น้ำมันก๊าด ‘อีเล็กตีสตี’ ในจดหมาย “สีโหม้” และกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

Date:

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล

ผลงานชิ้นนี้อยู่ภายใต้ซีรีส์คอนเทนต์ ‘พลังงาน / คน / ภาคเหนือ’ จากความร่วมมือระหว่าง Lanner และ JET in Thailand

ปัจจุบันการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนในภาคเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการหุงหาอาหาร การติดต่อสื่อสาร การประกอบอาชีพ หรือการคมนาคม ล้วนแต่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าทั้งสิ้น ความสำคัญของไฟฟ้ามีมากถึงขั้นที่บางครั้งเมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง ชีวิตของใครๆ หลายคนก็ดูเหมือนหยุดชะงักไปทันที และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าสภาพสังคมและการใช้ชีวิตในช่วงก่อนที่จะมีไฟฟ้านั้นเป็นอย่างไร  ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตของชาวเหนือตั้งแต่เมื่อไหร่ และอย่างไร

แรกเริ่มเดิมทีก่อนมีไฟฟ้าในล้านนา 

ย้อนกลับไปในสังคมล้านนาช่วงก่อนปี 2341 แสงสว่างยามค่ำคืนมีที่มาจากเชื้อเพลิงหรือแหล่งพลังงานที่หาได้ตามธรรมชาติ เช่น ยางไม้ และไขมัน (จากทั้งพืชและสัตว์) โดยนำมาผ่านกรรมวิธีการแปรรูปให้เป็นขี้ไต้ น้ำมัน หรือเทียนไข แล้วนำมาใช้ร่วมอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ตะคัน หรือเชิงเทียน 

หลังจากปี 2431 เริ่มมีการนำเข้าน้ำมันก๊าดจากต่างประเทศ เช่น รัสเซีย ทำให้คนล้านนาหันมาใช้น้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิงในการให้แสงสว่างแทนสิ่งของอย่างเดิม เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้งานง่าย ไม่มีเขม่าควัน และที่สำคัญคือให้แสงสว่างยาวนานกว่า 

น้ำมันก๊าดกลายเป็นที่สินค้าที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวล้านนา ถึงขั้นที่ เมื่อปี 2496 ได้มีการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันก๊าดแทนเทียนในงานแห่เทียนเข้ามาพรรษมา ดังที่ หนังสือพิมพ์คนเมือง ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม ได้พาดหัวข่าวให้เป็นที่รับรู้ทั่วกันว่า “…คณะข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนในอำเภอสันทราย มีมติร่วมกันว่าปีนี้จะไม่จัดหล่อเทียนพรรษาเช่นอำเภออื่นๆ แต่ได้พร้อมใจกันสละทรัพย์ซื้อน้ำมันก๊าดเป็นจำนวนมากไปถวายตามวัดต่างๆ เป็นจำนวน 13 วัด…”[1]

กล่าวได้ว่าในช่วงเวลาก่อนที่คนล้านนาจะเข้าถึงพลังงานไฟฟ้าเฉกเช่นปัจจุบัน คนล้านนาต่างพึ่งพาวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น อาทิ ยางไม้ ไขมันพืชและสัตว์ ในการสร้างแสงสว่างยามค่ำคืน ขณะเดียวกันก็ได้เปิดรับเอาสิ่งของใหม่ ๆ อย่าง น้ำมันก๊าด เข้ามาปรับใช้ในบริบทสังคมของตนเอง เพื่อให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น 

อีเล็กตีสตี ในจดหมายของสีโหม้

ข้อค้นพบที่น่าสนใจประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องพลังงานกับคนล้านนา คือ แม้ในยุคสมัยที่พลังงานไฟฟ้ายังไม่เข้าถึงพื้นที่ภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2437 เริ่มปรากฏหลักฐานที่ยืนยันมีถึงการมีอยู่และการรับรู้เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ตามคำบอกเล่าด้วยตัวหนังสือในจดหมายของ ‘สีโหม้’ 

สีโหม้ หรือสีโหม้ วิชัย เป็นบุตรชายของหนานวิชัยและนางวันดี ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์และมีความใกล้ชิดกับมิชชันนารี โดยเฉพาะครอบครัวของหมอชีค หรือนายแพทย์มาเรียน อะลอนโซ ชีค (Marian Alonzo Cheek) 

ในช่วงปี  2433 – 2434 ภรรยาของหมอชีคเกิดอาการเจ็บป่วยและต้องเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเดินทางพร้อมกับลูกสาวเล็กๆ อีก 2 คน หนานวิชัยจึงได้มอบหมายให้สีโหม้ร่วมเดินทางไปสหรัฐอเมริกากับครอบครัวของหมชีค เพื่อช่วยดูแลเด็กน้อยทั้งสอง การร่วมเดินทางสู่ดินแดนสหรัฐฯ ทำให้สีโหม้ได้รับการจดจำว่าเป็น ‘คนเมืองคนแรกที่ได้ไปอเมริกา’ 

ในช่วงระหว่างที่อยู่สหรัฐอเมริกา สีโหม้มักเขียนจดหมายถึงพ่อและแม่ที่เชียงใหม่อยู่เสมอ โดยเรื่องราวส่วนใหญ่เป็นการเล่าถึงสภาพบ้านเมือง สิ่งของ และความเจริญต่าง ๆ ที่พบเจอในดินแดนใหม่แห่งนี้ พร้อมกับนำมาเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมของกรุงเทพ ฯ และเชียงใหม่

ทั้งนี้ ในบรรดาจดหมายทั้งหมดที่สีโหม้เขียน มีอยู่ฉบับหนึ่งที่กล่าวถึง นวัตกรรมในเมืองซานฟรานซิสโกซึ่งที่ชื่อว่า ‘อีเล็กตีสตี’ (Electricity) สีโหม้เปรียบเทียบนวัตกรรมใหม่นี้ว่าเสมือนกับ ‘พลุ’ ที่ “…ยามกลางคืนก็ยังติด ดูสว่างเหมือนกลางวัน…” และอธิบายถึงการทำงานของอีเล็กตีสตีเอาไว้ว่า “…มันเป็นสาย สายลวดน้อยในโคมแก้วนั้น กันเถิงเวลาต้องไปเปิดที่หลอดมัน แล้วไฟจะลงแจ้ง…”[2] 

ภาพตัวอย่างเนื้อความในจดหมายของสีโหม้ วิชัย 

คำแปล: แซนแฟนซิสโก๋นี้ติเสียตี้แผ่นดินบ่อเปียงถนน เมืองกว้างขวางผ่อสุดเจ้นต๋า มีตึกใหย่ตึกสูงก่อนัก มีโฮงจักตี้ธำของต่างๆ ก่อนักนับบ่อแป๊ แต่ก่อนนั้นเขากั๋วแผ่นดินไหวนักจิ่งบ่อมีตึกสูง ที่มา: คอลัมน์ล้านนาคำเมือง

แม้คนล้านนาจำนวนหนึ่งจะได้รู้จักกับอีเล็กตีสตีผ่านคำบอกเล่าของสีโหม้ แต่อีเล็กตีสตีหรือพลังงานไฟฟ้าก็ยังไม่ได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของชาวล้านนา จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงระหว่างปี 2469 – 2488 อันเป็นช่วงเวลาที่กิจการไฟฟ้าเริ่มขยายตัวออกจากพื้นที่กรุงเทพ 

ภาพสีโหม้ วิชัย ถ่ายเมื่อปี 2478 ขณะอายุได้ 67 ปี ที่มา: ทายาทสีโหม้ วิชัย

กำเนิดองค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค: จากแรกมีไฟฟ้าในสยาม สู่แรกมีไฟฟ้าในล้านนา

สำหรับประวัติศาสตร์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย มักระบุว่าตรงกันว่า ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2427  จากการที่เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)  ได้สั่งซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สายเคเบิ้ล และหลอดไฟมาจากประเทศอังกฤษ แล้วนำติดตั้งไว้เพื่อใช้งานที่พระบรมมหาราชวัง จากนั้นก็ส่งผลให้เกิดความนิยมใช้ไฟฟ้าแพร่หลายไปในวังและบ้านของชนชั้นนำสยาม รวมทั้งขยายไปสู่สถานที่ตั้งของหน่วยงานราชการและสถานประกอบการเอกชนต่างๆ 

ความนิยมดังกล่าวนำไปสู่การลงทุนทำกิจการไฟฟ้าเพื่อการค้าขึ้น  กิจการไฟฟ้าแรกของประเทศคือ บริษัทไฟฟ้าสยาม เป็นการลงทุนของชนชั้นนำสยามกลุ่มหนึ่ง นำโดย กรมหลวงสรรพสาตร์ศุภิจ (พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์), พระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค), หลวงพินิจจักรภัณฑ์ (แฉล้ม อมาตยกุล) และหุ้นส่วนชาวต่างชาติ โดยสถานที่ตั้งของบริษัทและโรงไฟฟ้าอยู่ที่บริเวณวัดเลียบ ตรงข้ามกับโรงเรียนสวนกุหลาบ ทำให้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “โรงไฟฟ้าวัดเลียบ” 

บริษัทไฟฟ้าสยามหรือโรงไฟฟ้าวัดเลียบผลิตกระแสไฟฟ้าโดยเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงหลัก เพราะสามารถหาได้ง่ายเนื่องจากแกลบเป็นวัสดุเหลือจากโรงสีข้าวที่มีเรียงรายริมแม่นำเจ้าพระยา ทั้งนี้ โดยสถานภาพแล้ว โรงไฟฟ้าวัดเลียบถือเป็นธุรกิจเอกชนขนานแท้ ไม่ใช่กิจการของรัฐบาลสยามในขณะนั้น แม้ว่าผู้ก่อตั้งหรือผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งจะเป็นชนชั้นมูลนาย ดังเนื้อความที่อยู่ในหนังสือของกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการกระทรวงต่างประเทศที่มีไปถึง ดร.ฟริตสชี ชาวต่างชาติผู้ทำหน้าที่จัดซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าให้แก่โรงไฟฟ้าสยามความว่า “…การกัมปนีไฟฟ้าสยามต้องถือว่าเปนแต่กำปนีไปรเวศ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยกับคอเวอนเวมนต์สยาม…”[3]

ทั้งนี้ ในช่วงแรก การจำหน่ายกระแสไฟฟ้ายังคงจำกัดอยู่เฉพาะที่ใจกลางกรุงเทพฯ และกลุ่มที่เข้าถึงบริการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น คือ ชนชั้นสูงชาวสยาม เจ้านายในราชสำนัก และบรรดาชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในบริเวณกรุงเทพชั้นใน ณ ช่วงเวลานี้ไฟฟ้าถูกใช้เพียงเพื่อให้แสงสว่างเท่านั้น และยังเป็นบริการที่มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวัตถุให้แสงสว่างอื่น ๆ อย่างเทียนไขและตะเกียงน้ำมันก๊าด โดยอัตรค่าไฟฟ้า ณ เวลนั้น จะคำนวณจากอัตราค่าติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า อาทิ โคมไฟ สวิตช์ ก่อนครั้งหนึ่ง และเรียกเก็บค่าบริการกระแสไฟฟ้าเป็นรายเดือนตลอดการใช้บริการ

สำหรับการคิดค่าไฟฟ้ารายเดือน บริษัทจะคิดค่าบริการโคมไฟดวงละ 2 บาท อัตราการค่าบริการโคมไฟส่องสว่างตามท้องถนนก็ใช่อัตราค่าบริการเท่ากัน เพียงแต่มีรัฐบาลเป็นผู้จ่าย

ภาพโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ที่มา: หนังสือแสงแห่งสยาม

บริษัทไฟฟ้าสยามดำเนินกิจการได้ประมาณ 3 ปี ก็ประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งด้านการเงิน เทคโนโลยี และการจัดการ เป็นเหตุให้มีเจ้าหนี้เป็นจำนวนมาก คณะผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นจึงตัดสินใจเลิกกิจการ เนื่องจากไม่มีเงินทุนจะดำเนินกิจการต่อไปได้ รัฐบาลจึงจำต้องเข้ามารับซื้อกิจการต่อพร้อมกับใช้เงินคืนแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายโดยไม่เต็มใจนัก ทั้งนี้ เพราะในสมัยรัชกาลที่ 5 รัฐยังมองไม่เห็นความจำเป็นของการที่รัฐจะเข้าเป็นผู้ดำเนินกิจการไฟฟ้า ด้วยเพราะยังไม่ตระหนักว่าไฟฟ้ามีบทบาทสำคัญ และเป็นกิจการที่ยังไม่ก่อให้เกิดกำไร เนื่องจากไฟฟ้ามีราคาแพงและมีคุณประโยชน์เพียงการให้แสงสว่าง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ในระยะนั้นคนในสังคมทุกกลุ่มสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติแม้จะไม่มีไฟฟ้าใช้ ดังนั้นเมื่อจำต้องเข้าไปรับเอากิจการบริษัทไฟฟ้าสยามมาแล้ว รัฐบาลก็มองหานักลงทุนมารับช่วงกิจการไปทำต่อ ซึ่งก็ได้นักลงทุนชาวเดนมาร์กเข้ามาดำเนินกิจการไฟฟ้าแทน ภายใต้ชื่อบริษัทสยามอิเล็กตริซิตี้ คอมปานี ลิมิเต็ด

ภาพหุ้นส่วนบริษัทสยามอิเล็กตริซิตี้ คอมปานี ลิมิเต็ด ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม

กระทั่งในตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 6 ราวปี 2454 – 2456 รัฐบาลสยามได้จัดตั้งกิจการไฟฟ้าของตนเองขึ้น คือ โรงไฟฟ้าสามเสน ซึ่งนับได้ว่าเป็นกิจการไฟฟ้าแห่งแรกที่เป็นแห่งแรกของรัฐ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งโรงไฟฟ้านี้คือการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของรัฐบาลที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของไฟฟ้าและผลกำไรที่บริษัทของชาวตะวันตกได้รับจากกิจการไฟฟ้า เพราะในช่วงขณะนั้นมีการใช้ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลาย ขณะที่รัฐเองก็มีภาระค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องจ่ายค่าไฟให้กับหน่วยงานราชการและถนนสายต่างๆ จึงต้องการลดภาระค่าไฟที่ที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทเอกชนต่างชาติซึ่งผูกขาดกิจการไฟฟ้าไว้เพียงผู้เดียว 

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าสามเสน เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2454  มีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมสุขาภิบาล กรมพระนครบาล โรงไฟฟ้านี้ได้เปิดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าครั้งแรกในปี 2457 โดยจ่ายให้แก่โรงบรรจุผิ่นหลวงและการประปาเป็นที่แรกหลัก จากนั้นก็ขยายไปสู่กิจการอุตสาหกรรมของเอกชน เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ บริษัทห้างร้าน โรงหนัง โฮเต็ล (โรงแรม) และที่พำนักอาศัยส่วนบุคคลของผู้มีฐานะ เช่น บ้านขุนนาง บ้านชาวจีน

ภาพรวมการใช้ไฟฟ้าในส่วนกลางได้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น มีกิจการไฟฟ้าทั้งที่ดำเนินงานโดนเอกชนและเป็นรัฐวิสหากิจ และบริบทเช่นได้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2484 อันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สาธารณูปโภคหลายชนิดได้ถูกระเบิดทำลายเสียหาย รวมทั้งโรงไฟฟ้าสามเสนและโรงไฟฟ้าวัดเลียบ 

สำหรับกิจการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนั้น เริ่มมีการขยายตัวตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2470 โดยมีการจัดตั้งกิจการไฟฟ้าในจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากความต้องการของส่วนภูมิภาคที่ยื่นความจำนงต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อขออนุญาตดำเนินการด้านไฟฟ้า เมื่อกิจการไฟฟ้าเริ่มแพร่ขยายมากขึ้น รัฐจึงมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายมากำกับดูแลและควบคุม

จึงมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชน พุทธศักราช 2471 ซึ่งกำหนดให้กิจการสาธารณูปโภคที่สำคัญ เช่น การรถไฟ รถราง การขุดคลอง การประปา การชลประทาน และการไฟฟ้า เป็นกิจการที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ โดยห้ามมิให้บุคคลทั่วไปประกอบกิจการเหล่านี้ เว้นแต่จะได้รับสัมปทานจากรัฐเสียก่อน

อย่างไรก็ดี กิจการไฟฟ้าในส่วนภูมิภาคนั้น รัฐจะให้สุขาภิบาลในแต่ละท้องที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อน และหากสุขาภิบาลที่ใดยังไม่พร้อม (ในด้านทุนทรัพย์) รัฐบาลก็จะให้สัมปทานแก่เอกชน ซึ่งภายหลังการออกพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่ามีเอกชนมาขอสัมปทานเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลก็ให้อนุญาตเป็นรายๆ ไป โดยมีหลักเกณฑ์คือพิจารณาให้รัฐบาลจัดทำก่อน และเอกชนในท้องถิ่นค่อยเป็นลำดับต่อมา 

สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือ ปรากฏรายชื่อเอกชนที่เข้ามาสัมปทานกิจการไฟฟ้าในหลายจังหวัด เช่น พิษณุโลก มีทุนเอกชน 2 ราย คือนายลักกับนายเป้า และขุนธุราหิรัญรักษ์, อุตรดิตถ์ มีทุนเอกชน 3 ราย คือนายลักกับนายเป้า นายรามราคามาล และนายคุนเฮง และที่นครสวรรค์ มีทุนเอกชน 3 ราย คือนายทองคำ วิวะรินทร์ ขุนเรืองไทยพิทักษ์ และนายนาวาโทพระศรีมหาราชา

ในกรณีของเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีทุนเอกชน 2 รายที่พยายามขอสัมปทานกิจการไฟฟ้า ได้แก่ บริษัทไฟฟ้า เชียงใหม่ จำกัด ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส ร่วมกับชาวล้านนา และบริษัทของนาบิ อิโดะ พ่อค้าญี่ปุ่นที่เป็นคนในบังคับฝรั่งเศส แต่ไม่รับอนุญาตทั้ง 2 ราย เพราะรัฐบาลอนุมัติให้เทศบาลเชียงใหม่เป็นผู้ดำเนินการ ในบทความเรื่อง เชียงใหม่เมื่อวาน ของ บุญเสริม สาตราภัย กล่าวว่ากิจการโรงไฟฟ้าแห่งแรกของเชียงใหม่เป็นของเทศบาลเชียงใหม่ ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเครื่องดีเซล และตั้งอยู่ข้างสถานีรถไฟเชียงใหม่ ใกล้กับถังน้ำขนาดใหญ่ของสถานีรถไฟ 

ภาพถังขนาดใหญ่ บริเวณที่ตั้งโรงไฟฟ้าแห่งแรกของเชียงใหม่ (มุมบนซ้าย) ที่มา: หอภาพถ่ายล้านนาในอดีต

กิจการโรงไฟฟ้าในเชียงใหม่ที่ตั้งอยู่ข้างสถานีรถไฟนั้นได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามปกติเพราะสภาวะสงครามทำให้ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ทางโรงไฟฟ้าจึงได้จำกัดช่วงเวลาให้ประชาชนใช้ไฟ โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 17 นาฬิกา เรื่อยไปจน 21 นาฬิกา หรือสามทุ่ม และหากไฟฟ้าปิดแล้วแต่ยังมีผู้ต้องการใช้แสงสว่าง จำต้องหาตะเกียงน้ำมันก๊าดมาจุดโดยต้องใช้ผ้าหุ้มรอบโป๊ะไฟเอาไว้ เพราะต้องพรางแสงไฟป้องกันไม่ให้เครื่องบินทิ้งระเบิดมองเห็น[4] 

กระทั่งในช่วงปี 2490 สภาพสังคมและเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นหลังจากสงคราม รัฐบาลได้เริ่มวางแผนกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการเร่งขยายกิจการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นใหม่และปรับปรุงกิจการไฟฟ้าเดิมให้ดียิ่งขึ้น จากนั้นจึงจัดตั้ง องค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขึ้นในปี 2497 เพื่อให้เป็นหน่วบงานรับผิดชอบการดำเนินกิจการจำหน่ายไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค โดยมีบทบาทที่สำคัญ ได้แก่ กระจายพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่ที่ยังเข้าไม่ถึงไฟฟ้า โดยกำหนดให้ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัท ชื่อ “บริษัทไฟฟ้า”, ลงทุนซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์ติดตั้งร่วมกับภาคเอกชน หรือรับซื้อกิจการไฟฟ้าของเอกชนที่มิอาจดำเนินการต่อได้ ถ้าเป็นการไฟฟ้าจังหวัด ให้เรียกว่า บริษัทไฟฟ้าจังหวัด[5] ทั้งนี้ก็เพื่อการอำนวยให้แต่ละท้องถิ่นได้มีไฟฟ้าใช้

โดยสรุปแล้วจึงอาจกล่าวได้ว่า เส้นทางการมีไฟฟ้าใช้ในภาคเหนือเริ่มต้นจากการมีไฟฟ้าใช้ที่ในส่วนกลางก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ได้มีการกระจายการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้าออกสู่ส่วนภูมิภาค โดยมีการจัดตั้งองค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคขึ้นเพื่อทำให้เกิดการกระจายอำนาจการผลิตไฟฟ้าออกจากส่วนกลางสู่ภูมิภาคอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งในระยะนั้นทั้งเอกชนและรัฐต่างเป็นผู้มีบทบาทในการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้า ส่งผลให้หลายพื้นที่ในส่วนภูมิภาค รวมทั้งภาคเหนือ ได้มีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างแพร่หลาย 

แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงปลายทศวรรษ 2490 ถึงตอนต้นทศวรรษ 2500 โฉมหน้าการผลิตพลังงานไฟฟ้าของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ในแง่ที่อำนาจการผลิตไฟฟ้าซึ่งเคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐและทุนเอกชนในแต่ละท้องถิ่น ได้ถูกรวบเข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของส่วนกลางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังปี 2512 คือภายหลังการก่อตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ด้วยทั้งปัจจัยความมั่นคงทางพลังงาน สงครามเย็น ความมั่นคงของรัฐชาติ การสนับสนุนของอเมริกา ซึ่งส่งผลต่อการวางนโยบายของรัฐ ณ ช่วงเวลานั้น


อ้างอิง

[1] หนังสือพิมพ์ “คนเมือง” ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม 2496 ใน อนุ เนินหาด. เชียงใหม่ พ.ศ. 2496 สังคมเมืองเชียงใหม่ เล่มที่ 17. เชียงใหม่. วนิดา เพรส. หน้า 131.

[2] กมลธร ปาละนันท์. โลกทัศน์ของสีโหม้ วิชัย ในยุคเปลี่ยนผ่านของสังคมล้านนา พ.ศ. 2432 – 2481. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2561. หน้า 64.

[3] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, ร.5 น.5 .10/1, เรื่อง กำปนีไฟฟ้าล้มละลาย มีเรื่องห้างบรัชร้องขอเงินที่ติดค้าง, 23 กันยายน 2435.

[4] เสมียนนารี. หน้าตาเมืองเชียงใหม่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2. ออนไลน์. https://www.silpa-mag.com/history/article_92636 

[5] การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค. รวมประวัติความเป็นมา. ออนไลน์. https://www.pea.co.th/about-pea/history-detail#nav-tab-84 

[6] วิภารัตน์ อ่องดี. พัฒนาการของกิจการไฟฟ้าในประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2427 – 2488. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 2534.

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ปวีณา หมู่อุบล
ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

10 ปีไม่เป็นผล ‘กลุ่มรักษ์บ้านแหง’ ต้องสู้ต่อ หลังศาลปกครองสูงสุด ‘ยกย้อน’ คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น กรณีชาวบ้าน 386 คน ยื่นฟ้องเพิกถอนประทานบัตรเหมืองแร่ลิกไนต์

27 พฤศจิกายน 2568 ศาลปกครองเชียงใหม่ อ่านผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง หรือ...

ภาพไวรัลรถไฟบรรทุกรถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปหาดใหญ่ ถูกสร้างด้วย AI ย้อนรอยต้นฉบับจากคลิปปี 64

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เวลา 19.30 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พระราม เดินดง...

ล้านนาเนี่ยน: พี่เป้ ไรเดอร์

“เราขับแกร็บ เราอยู่บนถนน เราเลี่ยงไม่ได้ จะเลี่ยงก็ต้องเลือกรับงานไม่ไปทางที่รถติด เพราะค่ารอบระบบก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา ตอนนี้ค่ารอบเริ่มต้นที่ 19 บาท” “มันทำให้เราเสียเวลากับค่ารอบที่มันถูก จากปกติถ้ารถไม่ติด...

สิทธิวิจารณ์ท้องถิ่นอยู่ตรงไหน? เมื่ออบต.ศรีถ้อย แจ้งหมิ่นฯ ชาวบ้านพญากองดี หลังโพสต์ถนนพัง–ถูกเรียกค่าน้ำมัน 20,000 บาท

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีกรณีชาวบ้านหมู่ 6 ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย...