เรื่อง: กองบรรณาธิการ
ภาพจำของโศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519 คือภาพความรุนแรงอันโหดเหี้ยมที่เจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มชาตินิยมขวาจัดร่วมกันสังหารนักศึกษาและประชาชนกลางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาพเหล่านั้นฝังลึกในความทรงจำของสังคมไทย ความสั่นสะเทือนของเหตุการณ์ดังกล่าวแผ่ขยายไปทั่วประเทศ รวมถึงจังหวัดเชียงใหม่ที่ในเวลานั้นก็มีการประท้วงเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
การประท้วงเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม จนถึงช่วงสายของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ (อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ในปัจจุบัน) มีการชุมนุมของนักศึกษา ประชาชน และชาวนาหลายร้อยคน โดยมีเป้าหมายเดียวกันกับผู้ชุมนุมที่กรุงเทพฯ คือการขับไล่จอมพล ถนอม กิตติขจร ซึ่งกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519 หลังลี้ภัยไปต่างประเทศ
เว็บไซต์ บันทึก 6 ตุลา ระบุว่า ในวันที่ 4 ตุลาคม 2519 มีนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประมาณ 700 คน เดินขบวนต่อต้านจอมพลถนอม และชุมนุมต่อเนื่องที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเพื่อเรียกร้องให้เขาออกนอกประเทศ
จากคำบอกเล่าของ ชีรชัย มฤคพิทักษ์ รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ปี 2517-2518) หนึ่งในแกนนำนักศึกษาในภาคเหนือขณะนั้น เล่าว่า การชุมนุมที่เชียงใหม่มีขนาดเล็กกว่า ‘14 ตุลา 16’ มาก เพราะผู้คนหวาดกลัวจากกระแสการปราบปรามอย่างรุนแรงที่ปะทุขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่มีการลอบสังหารผู้นำชาวนาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ปี 2517-2518 อย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้นำชาวนาผู้เสียชีวิตจากการลอบสังหารกว่า 46 คน
“ตอนนั้นเราทำเวทีคู่ขนานกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลา ที่ศาลากลางเชียงใหม่ คนขึ้นเวทีหลักคือผม จาตุรนต์ ฉายแสง และนเรศ สุมาลี เราประเมินว่าสถานการณ์ใกล้จุดวิกฤติ อาจนำไปสู่การรัฐประหารก็ได้ ขณะเดียวกันชาวนาที่เคลื่อนไหวกับสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ ก็ถูกลอบสังหารจำนวนมาก นักศึกษาหลายคนถูกข่มขู่หรือวางระเบิด มันเป็นช่วงเวลาที่ความรุนแรงคุกคามไปทุกทิศ”
ชีรชัยเสริมว่า วันที่ 5 ตุลาคม 2519 หลังจากสถานีวิทยุของรัฐรายงานข่าวการชุมนุมของนักศึกษาเชียงใหม่ กลุ่มชาตินิยมขวาจัดหลายพันคน ทั้งกลุ่มกระทิงแดง นวพล และลูกเสือชาวบ้าน ได้ออกมารวมตัวกันที่วัดเจดีย์หลวง ซึ่งอยู่ห่างจากศาลากลางเพียง 350 เมตร การเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายทำให้บรรยากาศกลางเมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความหวาดกลัว นักศึกษาและชาวนาที่ชุมนุมอยู่เริ่มเกรงว่าจะถูกใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมเหมือนในกรุงเทพฯ
เช่นเดียวกับผู้ร่วมเหตุการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น มนัส จินตนะดิลกกุล เล่าว่า การเคลื่อนไหวในเชียงใหม่ไม่ใช่ปฏิกิริยาเพียงชั่วคราว แต่เป็นส่วนของการทำงานระยะยาวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ของนักศึกษาและชาวนา เขาเล่าว่าในหมู่ผู้เคลื่อนไหวมีการคุยกันเรื่องความเสี่ยงหากรัฐเล่นแรงถึงขั้นปราบแรงงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีผลต่อสาธารณูปโภคทั้งระบบ (ไฟฟ้า ประปา รถไฟ ฯลฯ) ดังนั้นเมื่อเกิดการแขวนคอคนงานการไฟฟ้าสองคน เป็นสัญญาณว่าคราวนี้รัฐและองคาพยพพร้อมใช้ความรุนแรงแล้ว
มนัส เสริมว่า เมื่อมีการประเมินเช่นนี้แล้ว ในภาคเหนือจึงมีการเตรียมตัวสำหรับการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยืนปราศรัย แต่วางแผนพื้นที่ชุมนุมให้เป็นที่โล่ง มีมุมหลบ และจัดเครือข่ายสื่อสารท้องถิ่น เช่นหน่วยเยาวชน ‘มังกรน้อย’ เพื่อส่งข่าวเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายหรือการปราบปรามจากเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มขวาจัด
คืนวันที่ 5 ตุลาคม มีการประชุมแกนนำที่ศาลากลางฯ ในการประเมินสถานการณ์ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ ‘แยกย้าย’ เป็นทางเลือกเชิงป้องกัน พร้อมเตรียมแผนสำรองไว้ว่า หากเกิดรัฐประหารหรือการปราบปราม ฝ่ายประชาชนจะหลบหนีเข้าป่า แผนการเหล่านี้สะท้อนทั้งความหวาดกลัวและการเตรียมพร้อมเชิงรุกของฝ่ายประชาชน เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ที่ตึงเครียด เนื่องจากแกนนำทราบข่าวถึงเค้าลางความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แล้ว
ชีรชัย เสริมว่าต่อว่าในช่วงสายของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เวลา 10.00 น. กลุ่มลูกเสือชาวบ้านส่งตัวแทน 10 คนเข้าพบแกนนำผู้ชุมนุม พร้อมขีดเส้นตายให้ยุติการชุมนุมภายในเที่ยงวัน หากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินการสลายด้วยกำลัง ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนั้น จาตุรนต์ ฉายแสง หนึ่งในแกนนำนักศึกษา ตัดสินใจประกาศยุติการชุมนุมในเวลา 10.45 น. เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากในเวลานั้นเองการล้อมปราบที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในกรุงเทพฯ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง
เมื่อการยุติการชุมนุมเกิดขึ้นหลายคนตัดสินใจหลบหนี นักศึกษาและชาวนาบางส่วนกลับบ้าน บางคนหนีเข้าป่าเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) บางคนก็ถูกจับกุมตั้งแต่เช้ามืด ขณะเดียวกัน แกนนำในเชียงใหม่หลายรายถูกควบคุมตัว ส่วนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อน เพื่อหนีการคุกคาม
ในเวลา 18.00 น. ที่กรุงเทพฯ คณะทหารภายใต้ชื่อ ‘คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน’ นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้มีการยึดอำนาจและประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เกิดการปราบปรามขบวนการนักศึกษาและประชาชนอย่างกว้างขวางและรุนแรงยิ่งขึ้น มีรายงานการจับกุม คุมขัง ซ้อมทรมาน บังคับลี้ภัย และสังหารแกนนำในหลายพื้นที่
ขบวนการแรงงานและภาคประชาชนต้องถอยร่น พื้นที่สาธารณะในการแสดงความคิดเห็นถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เหตุการณ์ 6 ตุลา จึงไม่เพียงเป็นบาดแผลของประวัติศาสตร์ที่เกิดในกรุงเทพฯ หากแต่ทิ้งร่องรอยความรุนแรงไว้ทั่วประเทศรวมถึงเชียงใหม่ ที่ผู้คนจำนวนมากต้องหายไปในความเงียบงันโดยรัฐ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...