ตามหาโพรงนกชนหินบนสันเขาฮาลาบาลา ฉบับลูกข้าวนึ่ง

Date:

“จะเดินไปดูโพรงมันจริง ๆ เหรอ ตัวโพรงนกชนหินก็ไม่อยู่แล้วนะ ถามจริง!” ก๊ะนะถามย้ำประมาณ 5 รอบพร้อมกับปรายตาดูสภาพที่สวมเพียงรองเท้าแตะของพวกเรา

“โอเค ไปก็ไป” ก๊ะนะยืนยันกับแบปา พรานผู้ดูแลโพรงนกชนหิน
“นกชนหินนี่มันจะน่าตาเหมือนนกเงือกที่พาพวกลูฟี่ขึ้นไปบน Skypier (เกาะแห่งท้องฟ้าในมังงะเรื่องวันพีช) มั้ยวะมึง” ชาวเหนือที่อาศัยอยู่ในภูมิศาสตร์และภูมิประเทศที่ต่างออกไปเกิดความมึนงงกับความหายากและไม่คุ้นหูของนกเงือกชนิดดังกล่าวเลยขอเรียกทริปสั้น ๆ นี้ว่า ‘ทริปลูกข้าวนึ่ง’ 

ลูกข้าวนึ่งเดินย่ำเท้าลงไปบนซากเฟิร์นที่ทับถมกันอยู่ตามทางเดิน ระดับความสูงจากน้ำทะเลจาก 600 เมตร กลิ่นดิน กลิ่นฝนชื้น ๆ อบอวลให้ได้กลิ่นเป็นระยะ อากาศครึ้มแดดครึ้มฝน เหงื่อที่ออกไม่สุด พืชตระกูลเฟิร์น และว่าน ชนิดต่าง ๆ เป็นเครื่องการันตีได้อย่างชัดเจนว่าเราได้ถึง..

“ทาก!!!” เสียงตะโกนเกือบลั่นป่าของเราบอกเพื่อนที่ร่วมลุยป่ามาด้วยกัน แน่ล่ะ มนุษย์เด๋อด๋าจากป่าดิบเขาจากภาคเหนือ มาเจอป่าดิบชื้นในดินแดนใต้เกือบสุดขอบเส้นภูมิศาสตร์ไทยอย่างฮาลาบาลาย่อมตื่นตระหนกเป็นธรรมดา ทากไม่น้อยกว่า 5 ตัวเบียดเสียดกันอยู่ตามรองเท้าบ้าง บางตัวดีดขึ้นมาอยู่ตามเสื้อบ้าง บางตัวยังผอมเพรียว บางตัวเริ่มอวบอ้วน โอเค ไม่ใช่แค่เฟิร์นแล้ว ที่การันตีในเรื่องพื้นที่ น้อง ๆ ลูก ๆ ทากพวกนี้ต่างหาก ลายเซ็นสำเนาถูกต้องของป่าดิบชื้นที่แท้ 

ฮาลาบาลา เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งประกอบด้วยป่าสองผืน ได้แก่ ป่าฮาลา ในพื้นที่อำเภอเบตง อำเภอจะแนะ จังหวัดยะลา และป่าบาลา ในพื้นที่อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ครอบคลุมแนวเขาสันกาลาคีรี ฮาลาบาลาเป็นป่าที่ติดอันดับเรื่องความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง มีตัวชี้วัดคือการพบนกเงือกมากถึง 10 ชนิด จาก 13 ชนิดในไทย ที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และถือเป็นบ้านหลังใหญ่ของนกชนหินนกเงือกโบราณที่มีสายพันธุกรรมเก่าแก่ยาวนานถึง 45 ล้านปีที่ เป็นหนึ่งในนกเงือก 13 ชนิด

“ระวังลื่นนะ” แบปา ตะโกนบอกมาจากหน้าสุด เมื่อต้องเดินอ้อมต้นไม้ที่ล้มทับขวางทางเดิน ซึ่งมีมอสสภาพอุดมสมบูรณ์ขึ้นอยู่เต็มลำต้น ตอนนั้นคิดในใจ “ถ้าอยู่กาดคำเที่ยงเชียงใหม่นะ ขายได้ฉ่ำ”

อับดุลรอยิ มามะ หรือ แบปา 

“ช่วงการดูนกเงือกเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี รับสองร้อยกว่ากลุ่ม วันละสามสี่คนนี่แหละ ขึ้นตั้งแต่ตีสี่ ลงอีกทีตอนบ่ายสอง เพื่อขึ้นไปดูการป้อนอาหารมื้อแรกของแม่นก แต่ระยะที่เราส่องนกต้องอยู่ในบังไพร หรือ ที่กำบัง ห่างจากโพรงอย่างน้อย 55 เมตร ไม่งั้นมันจะตกใจเรา ซึ่งส่วนใหญ่นกชนหินจะกินลูกไทรเป็นอาหาร” อับดุลรอยิ มามะ หรือ แบปา ชายวัยกลางคนแขนขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตามแบบฉบับพรานที่เชี่ยวชาญกับป่าผืนนี้ เสมือนสวนหลังบ้าน เดินไปพลาง เล่าไปพลาง ถึงกิจวัตรประจำวันในฤดูกาลแห่งการดูนกของนักท่องเที่ยว และนักถ่ายภาพที่เดินทางมาจากหลายที่ หลายประเทศเพื่อมาดูนก ณ ป่าฮาลาบาลา

ความรู้คืออำนาจของชุมชน

“เวลาที่ทำงานเป็นผู้ส่งเสียงกับชาวบ้านในชุมชนละแวกป่าฮาลาบาลา ชาวบ้านมักจะบอกอยู่เสมอว่าผลิตภัณฑ์จากชุมชน (ยาหม่อง ยาดม) นั้นขายไม่ได้หรอก คือเราต้องใช้เวลา ต้องอยู่กับมัน พอเราทำแล้วมันจะเห็นผล เราก็ต้องค่อย ๆ ทำ ชาวบ้านก็จะเห็นแล้วว่า เออ มันขายได้ เพราะเราพยายามบอกเสมอในสิ่งที่เราทำ เราบอกให้ชาวบ้านรู้คุณค่าของป่าที่เขามี และต้องดูแล เพราะถ้าจะเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับป่า คนที่อยู่ใกล้ป่านี่แหละจะโดนก่อน แต่จะมีข้อดีคือเราสามารถใช้ประโยชน์จากป่าอย่างเกื้อกูลกัน ใช้ไม้ยังไง ไม้ไม่เคยหมดจากป่า สิ่งไหนกินได้ไม่ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้เฒ่าผู้แก่จะบอกเราได้ มันเรียนรู้ผ่านวิถีชีวิต อย่างเรื่องการดูนกก็ทำเป็นระบบมากขึ้น เรื่องขยะก็ต้องจัดการ ไม่เอาเปรียบกันและกัน และความยั่งยืนชุมชนก็ต้องได้ประโยชน์ด้วย คนก็อยู่กับป่าได้”

สาปีนะห์ แมงสาโมง หรือ ก๊ะนะ พูดขึ้นมาพร้อมเสียงเหนื่อยหอบจากการเดินป่าฮาลาบาลาด้วยคัทชูสีเหลืองคู่โปรด(เพราะไม่ได้เตรียมรองเท้าเดินป่ามา) เหงื่อเริ่มผุดซึมออกมาตามใบหน้าส่วนที่โผล่พ้นจากฮิญาบสีชมพูของเธอซึ่งตอนนี้ดูชุ่มเหงื่อได้ที่

สาปีนะห์ แมงสาโมง หรือ ก๊ะนะ

ก๊ะนะเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ เธอจึงได้ศึกษาเรื่องพันธุ์พืช พันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ ผ่านประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้สั่งสมมาจากโรงพยาบาลอภัยภูเบศรที่เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร นอกจากนี้ในฐานะที่ทำงานข้อมูลและการทำงานวิจัยก็ยังมีโอกาสติดตามหัวหน้าของเธอไปลงพื้นที่เดินป่ามาทั่วประเทศ เพื่อให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของพืชแต่ละชนิดในแต่ละภูมิภาคว่ามีสรรพคุณอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะปักหลักฐานทำงานกับชุมชนรอบป่าฮาลาบาลามาร่วม 15 ปีแล้ว มีประสบการณ์ด้านการทำงานเกี่ยวกับสมุนไพรพื้นบ้านที่เชื่อมโยงกับชุมชนอย่าง โครงการธนาคารต้นไม้เพื่อการอนุรักษ์พืชสมุนไพรพื้นบ้านสาขาชุมชนวังกระบือ ต.โล๊ะจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่จะสามารถส่งต่อความรู้ในเรื่องสมุนไพรให้กับชุมชนใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับพืชท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดเป็นเกราะกำบังสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน คนอยู่ได้ ธรรมชาติก็อยู่ได้

“ทำยังไงก็ได้ ให้คนอยู่ได้ สัตว์อยู่ได้” แบปาพูดด้วยเสียงใจเย็น
“แต่ทุกวันนี้รายได้เราอยู่ได้มั้ย” ก๊ะนะพูดต่อทันทีแบบไม่มีช่องไฟ
“ไม่ได้” แบปาตอบพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ 

“เศรษฐกิจเป็นตัวกำหนด แต่ทุกวันนี้ชุมชนรอบป่าไม่ได้ตัดไม้ขายนะ ไม่ได้เอานายทุนเข้ามา แต่นี่คือสิ่งที่เราอยู่ได้ แต่ถ้าถามว่าลูกหลานเรามาเดินป่าแบบนี้มั้ย ก็ไม่ คือมันเหนื่อยลูก จะมีใครจะมาเดินแบบนี้มั้ย แบปาเดินแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 15 ตอนนี้ใกล้จะ 50 แล้ว

คนรุ่นใหม่ก็ทำงานอยู่ในเมืองแหละ วันหยุดเขาจะไปคาเฟ่กัน คาเฟ่คือเซฟโซน เขาว่าไม่มีเสียงพ่อแม่บ่น ก็มีเงินไม่เยอะหรอก ไม่มีใครมาเห็นค่าว่านกชนหินที่มาดูกันเนี่ยมันหายากมากเลยนะ ไม่มีใครทำอะไรแบบนี้หรอกมันเหนื่อย” ก๊ะนะเสริม

“บอกเขาไปเลย นี่ วันนี้มีคนมาดูแค่โพรง ขนาดมีแค่โพรงนะ ยังมาดู”

สื่อความหมายธรรมชาติ ..ยังยิ้มอยู่

ด้าน นูรฮีซาม บินมามุ หรือ ซัม จากกลุ่มยังยิ้ม กลุ่มเยาวชนเล็ก ๆ ที่ทำกิจกรรมสื่อความหมายธรรมชาติ ค่าเดินป่า สำรวจนก ร่วมกับเยาวชนในพื้นที่อำเภอแว้งและละแวกใกล้เคียง เล่าว่านกชนหินนั้นราคาแพงมาก เนื่องจากนกชนหินมีลักษณะที่โหนกสั้นชั้นเดียว ซัมบอกให้ลองนึกภาพกระบอกไม้ไผ่ เวลาเราตัดแล้วเราจะเห็นว่ามันเป็นทรงกระบอกกลวงอยู่ด้านใน ซึ่งนกเงือกชนิดอื่น ๆ เป็นแบบนั้น แต่หัวของนกชนหินคือตันเลย มันจึงมีน้ำหนักมาก ขายได้ราคาสูง เนื่องจากคนจะล่าเอาโหนก หรือ งาสีเลือดไปขาย จนทำให้เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์

ภาพ: Sum Nara Nara

“คนปกติอย่างพวกเราจะไม่มีโอกาสได้รู้หรอกว่าโพรงนกอยู่ตรงไหน ยกเว้นพรานที่อาศัยอย่างเกื้อกูลอยู่กับป่าที่บูโดก็เหมือนกัน ทีนี้มีโครงการของมูลนิธิวิจัยนกเงือก โดยคนเริ่มโครงการคือศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ ซึ่งแกทำที่เขาใหญ่มาก่อน แต่ว่ามีชาวบ้านไปรายงานว่ามีที่ใต้เยอะมาก ซึ่งคนที่เจอก็คือพรานป่า โจทย์สำคัญคือการเปลี่ยนพรานในฐานะของผู้ค้าเป็นผู้ดูแลโดยใช้กลยุทธ์ จ้างพรานที่เจอโพรงมาทำงานด้วยกันไปเลย โดยการสำรวจโพรงนกทุกวัน บันทึกว่าวันนี้นกป้อนอาหารกี่รอบ มื้อแรกตอนไหน หรือมีลูกกี่ตัว แล้วก็บันทึกข้อมูลทุกวันเลยนะ สมมติวันละสองร้อยบาท คูณไปว่าสามสี่เดือนได้เท่าไหร่ อย่างนกเงือกจะอยู่ในรังสี่เดือน แต่นกชนหินจะพิเศษกว่าเพื่อนคืออยู่ห้าเดือน ถ้าเทียบกับการล้วงลูกนกไปขายได้มาแค่สามสี่พันบาท ขายก็จบไป แต่ถ้าทำงานวิจัยร่วมกันได้เยอะกว่าเดิมอีก อย่างแบปาเอง ก็เป็นหนึ่งในพรานที่เราทำงานด้วย”

นูรฮีซาม บินมามุ หรือ ซัม (ภาพ: halal life)

ถ้านับจากปีนี้ 2567 กลุ่มยังยิ้มก็เดินทางมาร่วม 11 ปี แม้จะผ่านมาหลายฤดู แต่ซัมก็ยังบอกกับเราว่า “ยังยิ้มอยู่”

“ผมโชคดีอย่างหนึ่งคือการมีเครือข่าย มีกลุ่มคนที่ช่วยสนับสนุน ยังมีคนรุ่นใหม่ มีเยาวชนวนเวียนเข้ามาสนใจเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่อำเภอแว้ง เท่าที่เราถอดบทเรียนว่าเด็กที่มาร่วมกิจกรรมกับยังยิ้ม จะมีอยู่สามขั้นการเรียนรู้ ขั้นที่หนึ่งคือ จากไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตามเพื่อนมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในแว้งนี่แหละ 90% เข้ามาปุ๊บ ถ้าเขาเข้าใจ อินกับเนื้อหา เขาก็เก็บไว้ในใจ และแคร์มัน ขั้นที่สองเขาจะเริ่มมาร่วมกิจกรรมบ่อยขึ้น หรือมาเป็นอาสาสมัคร และขั้นตอนที่สาม เขาสามารถเป็นนักสื่อสารธรรมชาติได้ อันนี้เป็นวัตถุประสงค์สูงสุดของเรา นานเข้ารู้สึกชอบ พอรู้สึกชอบก็พัฒนาตัวเองมาตลอด ถ้าพูดภาษาง่าย ๆ ก็คือ จากที่ไม่รู้กลายเป็นรู้ พอรู้แล้วสานต่อ สื่อสารได้ 11 ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งนกชนหินถูกประกาศเป็นสัตว์สงวน เรื่องนี้ก็เป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จของเรา(ยังยิ้ม)เหมือนกัน”

นกชนหินถูกประกาศเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของประเทศ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2565 จากการรณรงค์อย่างต่อเนื่องผ่านแคมเปญ “ขอให้นกชนหินเป็นสัตว์ป่าสงวนอันดับที่ 20 ของไทย”​ ตั้งแต่ปี 2562 โดย องค์กรสิ่งแวดล้อมและเหล่านักอนุรักษ์ ผ่านแพลตฟอร์ม change.org ที่มีประชาชนเข้าชื่อสนับสนุนกว่า 26,000 รายชื่อ มีการเรียกร้องให้มีการเร่งประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ นกชนหิน เป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 20 ของไทย และมีแผนปฏิบัติการเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรนกชนหินในระยะยาวได้ เนื่องจากลักษณะที่หายาก เป็นที่ต้องการของตลาดมืดและมีราคาสูงจึงทำให้ถูกล่าและเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ (Critically endangered species) ซึ่งในปัจจุบันคาดการณ์ว่าเหลืออยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 100 ตัว

แวดล้อม-แวดเรา

“ถ้าพูดถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ถ้าถามว่ายากไหม ตอบเลยว่ายาก ในความหมายที่ว่าทำให้มันบรรจบกันแบบไม่มีปัญหาเลยน่ะยาก ผมว่ามันเกี่ยวข้องกับความจริงใจด้วยนะ ทั้งรัฐ และประชาชน แต่บางพื้นที่ก็หนักอย่างกรณีพี่น้องบางกลอย ที่แก่งกระจาน พื้นที่ไม่เหมือนกัน จะมีสิ่งที่รับรอง หรือรองรับอะไรก็ต้องว่ากันไปตามแต่ละกรณี ต้องหาจุดร่วมกันให้ได้” ซัม กล่าว

แม้ทริปสั้น ๆ ปุ๊บปั๊บในครั้งนี้ลูกข้าวนึ่งอย่างเรา ๆ จะเห็นโพรงนกอย่างที่คาดไว้ แม้ลึก ๆ จะอยากเจอนกชนหินก็เหอะ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น คือการที่ได้เห็นวิถีที่เชื่อมโยงคนเข้ากับป่าได้อย่างกลมเกลียวผ่านการดูแลนกเงือกสายพันธุ์นี้ เห็นกลุ่มคนที่ยังมีความฝันว่าซักวันนกชนหินจะสยายปีกบินทั่วผืนป่าฮาลาบาลา

ซึ่งหากย้อนกลับมาที่ถิ่นข้าวนึ่งภาคเหนือของประเทศ วิถีเกื้อกูลระหว่างคนกับผืนป่าก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก ใต้สุดรักษาป่ายังไงเหนือสุดก็รักษาป่ายังอย่างนั้น เฉกเช่น คนปกาเกอะญอรักษาสมดุลของระบบนิเวศด้วยการทำไร่หมุนเวียน ผูกโยงชีวิตไว้กับธรรมชาติ ในขณะเดียวกันแผนและการพัฒนาจากรัฐส่วนกลางที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันนั้นขาดความเข้าใจบริบทพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด อย่างการออก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อให้การอนุรักษ์พื้นที่อุทยานแห่งชาติเกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน การจำกัดเสรีภาพ เช่น เรื่องการจับกุมคุมขังที่กระทบต่อเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย, การเข้าค้นสถานที่ที่กระทบต่อเสรีภาพในเคหสถานหรือเรื่องการเวนคืนที่ดินที่กระทบต่อสิทธิในทรัพย์สิน หรือการยุคฟอกเขียว BCG / neutral carbon policy คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจก หรือจำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ ที่กำหนดให้บริษัทสามารถปล่อยได้ต่อปี หากปล่อยมลภาวะน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ก็สามารถนำส่วนต่างไปจำหน่ายให้กับบริษัทอื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรมได้ ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตถูกนำมาใช้เป็นแรงจูงใจและเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของตลาดเพื่อโน้มน้าวให้โรงงานอุตสาหกรรมและผู้ผลิตรายใหญ่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ

สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าคนที่อยู่กับป่าและผู้มีอำนาจที่คอยออกนโยบายที่ส่งผลแก่คนในพื้นที่นั้นเปรียบได้เหมือนทางสองแพร่งที่ไม่มีวันบรรจบกัน เพราะฉะนั้นเรื่องของป่าที่เกิดในพื้นที่ภาคใต้นั้นก็เป็นเรื่องเดียวกับป่าที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ภายใต้ฟ้าเดียวกัน

More like this
Related

นักกิจกรรมเชียงใหม่จัด Run2Free ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ร้องหยุดจองจำผู้เห็นต่าง ไม่ลืมเพื่อนในเรือนจำ

25 ตุลาคม 2568 กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ จัดกิจกรรม ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ X ยืนหยุดขัง Run2Free’...

บทเรียนจากหอยมินามาตะ ถึงปลาน้ำกก รัฐยืนยันปรุงสุก-กินได้ แต่ระยะยาวปลอดภัยแค่ไหน?

เรื่อง: สุพศิน สุทธิวรวิทย์ 12 กันยายน 2568  กรมประมงร่วมกับสำนักงานประมงอำเภอแม่อาย รายงานผลตรวจสัตว์น้ำจากแม่น้ำกก จังหวัดเชียงใหม่ โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากหลายจุดในพื้นที่อำเภอแม่อาย...

แรงงานภาคเหนือ ยื่นข้อเสนอถึงกระทรวงแรงงาน ‘Decent Work’ เรียกร้องยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

24 ตุลาคม 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือเข้ายื่นหนังสือข้อเสนอ Decent Work หรือ งานที่มีคุณค่า...

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...