Raise In Peace: เมื่อความตาย “พูดได้” ร้องขอไม่ได้!

Date:

เรื่องและภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

ทำไมความตาย จึงกลายเป็นมิติที่พูดในชีวิตประจำวันได้น้อยมาก และถูกทำให้กลายเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องชวนแสนเศร้าหมองหม่น

“เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

วงจรวิถีชีวิตที่กล่าวได้ว่าอย่างไรเสียก็หนีห่างไม่ได้ จึงต้องมีการวางแผนครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่าง “คุ้มค่า” ตั้งแต่เกิดไปจนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ไฉน ความตาย ถึงไม่แม้จะกล่าวถึง ?

เมื่อการเกิดไม่สามารถเลือกได้ด้วยตนเอง ขอใช้สิทธิ์ที่จะ “เลือกตาย” เองได้หรือไม่ ? แล้วถ้าหากว่าสามารถเข้าถึงการการุณยฆาต (Euthanasia) ได้จะเป็นเช่นไร ?

สนทนาไปกับอาจารย์ ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา ที่จะมาเล่าประเด็นมิติต่าง ๆ ของความตายที่ร้อยเรียงยึดโยงเชื่อมกัน แต่ไม่อาจนิยมที่จะกล่าวถึงในวิถีชีวิตประจำวันได้ อันเนื่องจากความตายถูกทำให้ “แยกส่วน” จากผู้คนในยุคปัจจุบัน

อาจารย์ ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทําไมประเด็น “ความตาย” จึงไม่เป็นที่กล่าวถึงในชีวิตประจำวัน?

เหตุผลแรก เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วที่จะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นตราบเท่าที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับ “ความตาย” มันจึงเป็นรูปธรรมมากเมื่อเทียบกับที่เราต้องเผชิญ และเมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันที่จะคาดเดาได้ ความกลัวจึงเกิดขึ้นเราจึงไม่อยากจะพูดถึง แต่หากสังเกตเห็นในอดีตเมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วผู้คนยังยอมรับและพูดถึงความตายได้มากกว่า 

“ปัจจุบันแม้แต่คนที่รักหมดลมหายใจเราก็ไม่รู้แล้วว่าเขาเอาร่างคนที่เรารักไปทําอะไร อยู่ที่ไหน รู้ตัวอีกทีก็อยู่บรรจุอยู่ในโลง แล้วก็มานั่งฟังสวดแล้วก็เผาไปมันเหมือนกับความผูกพัน (Bond) ทั้งหมดที่เรามีต่อคนที่เรารักถูกตัดไปหมดสิ้น แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไรเลย แต่ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่ากลไกในสังคมมันแยบยลมากในการทําให้ความตายถูกมองเห็นได้น้อยลง เรามีโอกาสสัมผัสความตายของคนใกล้ชิดเราน้อยลงมาก”

เหตุผลที่สอง คือ สภาวะทางสังคมในชีวิตประจำวันเป็นกลไกที่แยกเราออกมาอย่างแยบยลโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ผู้คนถูกบีบคั้นด้วยแรงเศรษฐกิจที่ต้องมุ่งตรงไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะเสียเวลาย้อนหลังหรือแม้กระทั่งในยุคที่มีความเป็นเมือง เพราะคนตายดูเสมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีค่า (Value) เมื่อเทียบกับความเป็นเมืองที่มุ่งเน้นพัฒนา (Develop) อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วจึงเห็นมิติที่ซับซ้อนมากขึ้นในประเด็นความตายที่ถูกกดทับและถูกปิดไว้ 

“มันจึงซับซ้อนเพราะว่ามีทั้งกลไกทาง ทุนนิยม คล้ายกับ Organizers เมื่อตายแล้วมาหาเราสิ เดี๋ยวเราจัดการให้ทุกอย่าง ทําให้ความตายมองถูกทำให้ไม่เป็นที่มองเห็นเป็นจํานวนมาก ฉะนั้นจึงเป็นสองกลไกสําคัญที่ทําให้เราไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องตายหรือว่าอยากจะพูดก็ไม่รู้จะพูดกับใคร”

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

เมื่อการุณยฆาต (Euthanasia) เป็นหนึ่งในวิธีการร่นระยะเวลาความตาย ไฉนถึงไม่มีการกล่าวถึงหรือผลักดันในประเด็นนี้ ?

อาจารย์ ภาวิกา ครุ่นคิดกับคำถามอยู่ครู่นึงก่อนที่เธอจะกล่าว “จริง ๆ แล้วสังคมไทยเราก็พูดประเด็นนี้อยู่นะ เพียงแต่ว่าไม่ได้พูดเป็นคำว่า การุณยฆาต (Euthanasia) ออกมาโดยตรง เพียงแต่วิธีการสื่อสาร (Communication) มันแตกต่างกันออกไปตามพื้นที่ บริบทต่าง ๆ  แต่เนื้อแท้แก่นของมันก็คือการพูดในประเด็นความตายนั่นล่ะ”  

ในส่วนประเด็นการผลักดันที่ถามว่าทำไมถึงเคลื่อนไม่ได้ ไม่มีพื้นที่…

ประเด็นหนึ่งคือ การุณยฆาต มีความเปราะบาง มีความไปแตะกับประเด็น “ศีลธรรม จริยธรรม” มันมีความขัดแย้งกับหลักศาสนาแนวคิดแบบพุทธ เพราะมันเลี่ยงไม่ได้ว่ามันเป็น การฆ่า ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นการฆ่าชีวิตตนเองก็ตาม เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่มีความหมิ่นเหม่ศีลธรรม จริยธรรมสูงมาก 

“ซึ่งมันก็เกิดขั้วการปะทะกันของกลุ่มคนหนึ่งที่เขารู้สึกว่า สิ่งที่เขาต้องเผชิญที่ผ่านมาทุกข์ทรมานมาก (Suffering) และมันเป็นเรื่องของความทุกข์ที่เรียลมาก ๆ ในประเด็นนี้ทำไมถึงนำมาพูดไม่ได้”

ส่วนประเด็นต่อมาคือ การเติบโตในประเด็นเรื่องสิทธิ ไม่ใช่เฉพาะสิทธิ์ในเรื่องความตายนะ ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่าสังคมไทยมีการตื่นตัว (Wake up) เรื่องสิทธิเยอะมาก ๆ เช่น การสมรสเพศเดียวกัน การครอบครองที่ดิน สิทธิชุมนุม ฯลฯ แต่พอเป็นมันเรื่องของความตาย มันมีขอบเขต (Border line) พอมาถกเถียงประเด็นนี้จริงจังในด้านศีลธรรมกับสิทธิ ไม่มีใครกล้าฟันธงได้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นบาปหรือไม่ มันก็จะเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (Dilemma) ทางศีลธรรมขึ้นมาอีก แต่ในท้ายที่สุดมันก็ต้องบีบคั้นให้เราต้องพูดอยู่ดี ซึ่งอีกหน่อยเราก็ต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมผู้สูงวัยไม่ว่าจะเป็นการอยู่คนเดียว การแก่ตัวลง การตายอย่างเดียวดาย อยากให้มองไปในประเด็นระบบสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐมากกว่า ที่มันไม่ได้มีกลไกสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ที่ในอนาคตที่เราจะต้องเผชิญ

อาจารย์ ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เช่นนั้นแล้ว สามารถสรุปออกมาได้หรือไม่ว่าเห็นด้วยกับการการุณยฆาต?

“อื้ม… โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้หมายถึงว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย” เธอกล่าว 

เพียงแต่ว่าประเด็นนี้ควรจะมีพื้นที่ในการหยิบขึ้นมาพูดในที่แสงส่องถึง เพื่อให้เกิดพื้นที่สำหรับพูดคุยและถกเถียงกันมากขึ้น เพราะการ การุณยฆาต (Euthanasia) เป็นเพียงแค่ทางเลือกทางหนึ่งเท่านั้น 

“ไม่มีใครที่จะกำหนดหรือเป็นคนบอกได้ว่าเขาคนนั้นควรที่จะตายหรือไม่ ร่างกายเป็นของเขา ความเจ็บปวดเป็นของเขาคนอื่นมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่าเขาควรที่จะหยุดรับความทรมานต่อไป และการ การุณยฆาต นั้นควรจะเป็นการคัดกรองอย่างที่สุดแล้ว และยืนยันด้วยเจ้าของชีวิตแล้วว่าต้องการรับการการุณยฆาต ซึ่งไม่ใช่ใครก็ได้ที่ควรเข้ารับ”

“เพราะความเจ็บปวดไม่ได้มีเพียงแต่ กายภาพ เท่านั้น แต่มีในเรื่องของสภาวะจิตใจหรือประเด็นของความป่วยไข้ เช่น โรคซึมเศร้า โรคทางจิตเภทต่างๆ ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับมันโดยตลอดหรือแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จ (Achieve) ทุกอย่างไม่มีห่วงหรือใด ๆ ต่อไป กลไกการเยียวยารักษาก่อนเข้ารับการุณยฆาตจึงเป็นสิ่งที่พึงต้องร้องขอและสามารถทำได้.”

อาจารย์ ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดังนั้นหากถามว่าเราควรจะพูดเรื่องการการุณยฆาตมั้ย? 

“แน่นอนว่า ควร”

“เพราะว่าเราต้องมีสถานการณ์หลากหลายที่ต้องเผชิญอีกมากมาย อย่างที่ย้ำตลอดว่า การการุณยฆาต (Euthanasia) ไม่ใช่ทางเลือกเพียงทางเลือกเดียว แต่เป็นเพียงหนึ่งในทางเลือก มันไม่สามารถไปตอบโจทย์ทุกโจทย์ได้ เพราะในหลาย ๆ โจทย์มันอาจจะยังคงเข้าท่า (Make sense) มากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็ อาจจะมีทางเลือกอื่น ๆ อย่างการเยียวยารักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่อาจจะเข้ามาตอบโจทย์ในหลาย ๆ โจทย์ได้เช่นกัน และเมื่อมีทางเลือกหลาย ๆ ทาง คนก็อาจจะไม่มองไปถึงการการุณยฆาตก็ได้.”

เมื่อความย้อนแย้งของศาสนากล่าวถึงเรื่อง “การดับสูญ” แต่เมื่อมีคนตัดสินใจจบชีวิตลงกลับตีตราว่าเป็น “คนบาป”

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

เมื่อสักครู่อาจารย์ได้มีการเกริ่นในประเด็นความหมิ่นเหม่ศีลธรรม จริยธรรม และศาสนาที่ทำให้พูดในประเด็นการการุณยฆาต (Euthanasia) เสียงดังไม่ได้ ซึ่งตรงกับคำถามนี้ที่จะถามอาจารย์ ภาวิกา อย่างพอดิบพอดีว่ามีความคิดเห็นอย่างไร?

อาจารย์ ภาวิกา หัวเราะอยู่ครู่นึง ก่อนที่เธอจะกล่าวออกมาอย่างขัดเขิน “เป็นคำถามที่ยากพอสมควร เพราะเราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน และส่วนหนึ่งอาจจะไม่ได้ศึกษาในประเด็นศาสนามาลึกพอ จึงอยากจะเน้นย้ำมาก ๆ ว่าขอตอบเป็นในแง่ของความคิดเห็นส่วนบุคคล ที่ใครใคร่นำบทความไปอ่านต่อสามารถที่จะแลกเปลี่ยนชวนคิดและหาคำตอบ มุมมอง ต่าง ๆ กันได้” 

โดยแก่นแท้ของศาสนาพุทธ มันปรับเข้ากับยุคสมัย (Applicable) หมายความว่า มันไม่ได้ถูกจำกัดโดยกาลเวลา มันจึงมีความงดงามเป็นที่เคารพ ที่แม้กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป แต่แก่นเนื้อของคำสอนยังคงทันสมัยอยู่เสมอ แต่ของบางอย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าสังคมไทยชอบเติมลูกเล่น (Gimmick) เข้าไป  

“จนเราก็ไม่รู้ว่าอันไหนคือแก่นจริง ๆ กันแน่?” 

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

“เพราะฉะนั้นพี่ก็ไม่กล้าพูดหรอกว่า อันนี้คือแก่นของศาสนา แต่เข้าใจว่าถ้าตอบให้โยงที่สุด ๆ มันก็เป็นไปได้นะว่าการฆ่ามันเป็นเรื่องผิด ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ยิ่งในสังคมที่มีความซับซ้อนมาก ๆ สิ่งที่คนกลัวกันก็คือ การฆ่าแฝงในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นการเปิดช่องให้การตายของใครสักคน ถูกทำให้กลายเป็นการตายในกรอบที่ถูกต้องก็ได้”

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

ในแง่ของความตาย (การตายดี) จึงกล่าวได้ว่ามี “ต้นทุนและราคา” ในการเข้าถึง ประชาชนทุกชนชั้น จะสามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิต เข้าถึงการตายที่ตนเป็นคนเลือกเองได้อย่างไร?

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

“อืม…” เธอครุ่นคิดอย่างหนัก มือเท้าคางพลางคิ้วขมวดอยู่ครู่นึง เพื่อกำลังทบทวนคำถามก่อนที่จะเอ่ยสั้น ๆ ว่า

“ถ้าต้นทุนและราคา ที่กล่าวหมายถึง กลุ่มคนเปราะบาง (Vulnerable Group) หรือกลุ่มคนที่ต้องดิ้นรน (Survival) จริง ๆ ภาครัฐก็ไม่ถึงกับไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่เขาอาจจะถือว่ามันไม่ได้เป็นประเด็นเร่งด่วน” 

อาจารย์ ภาวิกา เล่าประสบการณ์ที่ได้ลงพื้นที่บริเวณหัวลำโพง และพบกลุ่มคนไร้บ้าน (Homeless) ซึ่งเธอได้เห็นความตายในฉบับที่แสนโดดเดี่ยวเดียวดายที่เกิดขึ้นตามท้องถนน

“มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่เราเห็นใครสักคนหนึ่งตาย อยู่ตรงนั้น และค่อนข้างจะลำบาก เราจะเห็นความเหลื่อมล้ำจากการตายของคนกลุ่มนี้แบบ ชัด ชัดมาก ๆ นะ ไม่ต้องพูดไปถึงเรื่องของการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพเลยด้วยซ้ำ” 

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ สังคมจะตีกลับต่อการตายของพวกเขา และตั้งคำถามกลับทันทีว่า..

“เรามองคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทุกคนแตกต่างกันขนาดนี้เลยหรอ?”  เธอกล่าว

อาจารย์ ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดังนั้นแล้วในงาน “มรณาครวิถี” ที่จัดในวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องสมุดเนียลสัน เฮย์ ถ.สุรวงศ์ ที่ผ่านมา จึงมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้เกิดเวทีในการพูดคุยและทำความเข้าใจสภาพปัญหา แล้วให้ภาคประชาสังคม (NGOs) กับ ภาควิชาการ ได้เข้ามาระดมความคิด หารือเพื่อที่มีส่วนร่วมในการที่จะวางนโยบายหรือหาทางช่วยเหลือ เธอกล่าวอย่างหนักแน่น

“เพราะกลุ่มคนเหล่านี้อย่าว่าแต่เรื่องของความตายเลย ทุกวันมันคือการดิ้นรน มื้อชนมื้อ การดิ้นรนเพื่อหาปัจจัยสี่พื้นฐาน พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งตัวเลือกที่จะเลือกว่า อยากยื้อชีวิต หรือเลือกที่จะจบชีวิต ไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย…”

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อเขาตายไป ก็กลายเป็นศพไร้ญาติ สังคมก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน ประกอบพิธีก็ไม่ได้ตามหลักความเชื่อ ไม่มีใครรู้จัก ว่าพวกเขาคือใคร ทำไมเขาถึงตายไป ซึ่งมันสะท้อนว่า เมื่อตอนที่เขามีชีวิต เขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ริมขอบมาก ๆ ตกไปก็ไม่มีใครรู้ ว่าเขาตายที่ไหน เมื่อไหร่ ซึ่งมันเป็นตัวบ่งบอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” มันจึงขาดโครงข่ายทางสังคมบางอย่างที่ทำให้เรามีศพไร้ญาติจำนวนมาก และยังขาดเรื่องทุนในการประกอบพิธีอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครที่จะสามารถซึมซับ (Absorb) ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เพราะภาครัฐก็ถือว่าไม่ใช่คนของประเทศ หากพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ ซึ่งก็ต้องเป็นเรา ภาคประชาชน ที่ต้องคุยกับแกนนำของคนไร้บ้านว่าทำอย่างไรได้บ้าง รวมกันเป็นชุมชนเล็ก ๆ (Community) เพื่อหาวัดที่อาจจะคิดเงินถูกหน่อยในการประกอบพิธี 

“ซึ่งสวัสดิการของคนทั่วไป หรือระบบสงเคราะห์ในประเทศเราแทบจะไม่มีใครทราบเลย ว่าอย่างเวลาเราตาย เราก็ได้ค่าสงเคราะห์ สามพันบาท นะแต่คนก็ไม่ทราบกัน ซึ่งแม้แต่สวัสดิการในเรื่องของศพ ก็ดันเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ที่ต้องดิ้นรนกันเอง”

ภาพ: ภัทรภร ผ่องอำไพ

เกี่ยวกับผู้เขียน  
ภัทรภร ผ่องอำไพ โดยผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนานักสื่อสารทางสังคม (Journer) ภายใต้โครงการ Journalism that Builds Bridges (JBB) สะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 5 สำนักข่าว คือ Prachatai, The Isaan Record, Lanner, Wartani และ Louder เพื่อร่วมผลิตเนื้อหาข้ามพื้นที่ และสื่อสารประเด็นข้ามพรมแดน สนับสนุนโดยสถานทูตของเนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และนิวซีแลนด์ รวมถึงยูเนสโกและโครงการร่วมที่นำโดย United Nations Development Programme (UNDP) ดูโครงการเพิ่มเติมได้ที่ https://journalismbridges.com

More like this
Related

เชียงใหม่รวมพลังเครือข่าย “เปิดโลกคนไร้บ้าน” ขับเคลื่อนระบบคุ้มครองคนไร้ที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ที่ลานประตูท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ คณะทำงานคนไร้บ้านเมืองเชียงใหม่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย...

ไร้ความคืบหน้า ประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ร้องรัฐเร่งแก้ปัญหามลพิษเหมืองเมียนมา

21 ตุลาคม 2568 สืบสกุล กิจนุกร โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก-สายรวก-โขงจากเหมืองแร่ในเมียนมา โดยระบุถึงนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล...

สภาฯ ผ่านฉลุยร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ 309 เสียง เตรียมส่งต่อวุฒิสภา กมธ.ชี้เป็น ‘อาวุธใหม่’ ทวงคืนอากาศบริสุทธิ์ให้คนไทย

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติ ‘เห็นชอบ’ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... ในวาระที่...

เจียงใหม่กำลังจะ “โฮะ” แหมรอบ!

กับ Chiang Mai HO Zix เทศกาลดนตรีตี้รวมศิลปินออริจินัลเชียงใหม่ไว้นักที่สุดกว่า 40 วง 4...