ดี เอ็น เอ (DNA) และการศึกษาประวัติศาสตร์คนไท

Date:

เรียบเรียง: ณัฏฐวรรธน์ คล้ายสมมุติ

(ภาพจากหนังสือ A Pictorial Journey on the Old Mekong Cambodia Laos and Yunnan. White Lotus Press, 1998 แสดงให้เห็นกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายบริเวณสองฝั่งโขงในพิธีกรรมแม่น้ำโขง)

เนื้อหาการบรรยายครั้งนี้จากโครงการบรรยายพิเศษระดับปริญญาตรีครั้งที่ 1 จัดโดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2566 หัวข้อการบรรยายครั้งนี้คือ ดี เอ็น เอ (DNA) และการศึกษาประวัติศาสตร์คนไท โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิภู กุตะนันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

(ภาพ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร)

ก่อนเข้าสู่เรื่องเกี่ยวกับคนไต-ไท และการศึกษา DNA ควรอธิบายก่อนว่ามนุษย์มาจากไหน ช่วงก่อนมาถึงมนุษย์สมัยใหม่ในปัจจุบันมนุษย์ถูกจัดอยู่ในประเภท Homo-Sapiens มีต้นกำเนิดอยู่แถบทวีปแอฟริกาในปัจจุบัน ปรากฏหลักฐานจากฟอสซิลและหลักฐานจาก DNA จากหลักฐานทั้งสองอย่างนี้มีความสอดคล้องกัน แต่ในปัจจุบันสปีชีส์ของมนุษย์ต่างจากยุคก่อนหรือในปัจจุบันเรียกว่ามุษย์สมัยใหม่ ในประเทศไทย DNA ที่เก่าที่สุดและคาดว่าสืบเชื้อสายมาจากทวีปแอฟริกาคือกลุ่มกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมานิที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งยังคง DNA แบบดั่งเดิมไว้ การศึกษาพันธุศาสตร์มีลักษณะการแสดงออก 3 อย่างคือ 1 ผมหยิก 2 ผิวดำ 3 ความสูงไม่มากนัก เป็นลักษณะที่พบได้ทั้วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือในหมู่เกาะอันดามัน จึงสันนิฐานได้ว่าเป็นกลุ่มแรกที่ยังคง DNA โบราณไว้อยู่ แล้วสืบเชื้อสายออกจากแอฟริกาเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รูปแบบการดำรงชีวิตคือการทำเกษตรกรรมแบบเก็บของป่าล่าสัตว์

การอพยพของกลุ่มไต-ไทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คนกลุ่มไต-ไท เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูล Austroasiatic สันนิฐานว่ามีต้นกำเนิดมาจากจีนตอนใต้ กลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นบริเวณกว้าง ในยูนนาน กว่างตุ้ง และกว่างซี หรืออาจเลยไปถึงมณฑลกุ้ยโจวทางใต้ของแม่น้ำแยงซี มีบางกลุ่มอพยพลงมาทางใต้ มาตั้งถิ่นฐานบริเวณชายแดนจีน-ไดเวียต เมื่อราชวงศ์ลี่ของไดเวียตมีการควบคุมกลุ่มคนไทจนเกิดการต่อต้านขึ้น คนไทส่วนหนึ่งได้อพยพไปทางตะวันตกและกระจายกันไปในทิศทางต่างๆในบริเวณชายแดนจีน เวียดนาม ลาว และพม่า ซึ่งชี้ชัดว่ามีกลุ่มคนไทเข้าไปตั้งชุมชนหรือเมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำต่างๆ กลุ่มที่อพยพตามลําน้ำโขงและน้ำอู และมีคนไทในบริเวณภาคเหนือของพม่าและในยูนนานได้อพยพเข้าตั้งถิ่นฐาน ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำคง (สาละวิน) แม่น้ำเขียว (แม่น้ำอิรวดี) แม่น้ำมาว (แม่น้ำชเวลี) และสาขาของแม่น้ำเหล่านี้ คนไทในรัฐชานของพม่าเรียกตนเองว่า ไทใหญ่ ในขณะเดียวกันมีการอพยพของกลุ่มคนไทอาณาจักรอาณาจักรลาวบริเวณตะวันตกเฉียงใตของยูนนานลงมายังภาคเหนือของประเทศลาว[2]

สาเหตุการอพยพคือการเสื่อมอํานาจลงของอาณาจักรยูนนานเมื่อ ค.ศ. 902 และการกอตั้งอาณาจักรพุกามแทนที่อาณาจักรศรีเกษตรในดินแดนพม่า ภาพที่โดดเดนของเอเชียตะวันออกเฉียงใตตอนบน คือ การอพยพเคลื่อนย้ายของคนไทจากยูนหนานและภาคเหนือของเวียดนามลงสู่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง สังคมไต-ไทสามารถขยายตัวออกไปด้วยการขยายเครือขายวงศญาติซึ่งถูกส่งออกไปสร้างบ้านแปงเมืองหรือชุมชนใหม่ รัฐไต-ไทช่วงแรกเริ่มเกิดการจําลองรูปแบบการปกครองมาจากหมู่บ้านกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป คนไต-ไทแต่ละกลุ่มอาจมีมากในลุ่มแมน้ำบางแห่ง ปลายคริสตศตวรรษที่ 13 ได้มีชุมชนไต-ไทอยู่หลายแห่งซึ่งปรากฏคําวา เมิ่ง / เมือง เมื่อราชวงศ์หยวนเริ่มเสื่อมอํานาจลงในประเทศจีน และบรรดาชุมชนไต-ไทในยูนนานไม่ทนต่อการขูดรีดของข้าราชการฝ่ายปกครองของจีน จึงมีการสถาปนาอำนาจของกลุ่มคนไทในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบน[3]  ส่วนรูปแบบการดำรงชีวิตของผู้คนกลุ่มไต-ไท คือการทำเกษตรกรรมแบบเพาะปลูก มีระบบการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ[4]

ช่วงเวลาต่อมารัฐของไต-ไทได้กลายเป็นรัฐราชอาณาจักรขนาดใหญ่อย่าง ล้านช้าง ล้านนา อยุธยา มีการแย่งชิงราชสมบติกันอยู่เสมอ การกำเนิดและคุณสมบัติหลักของความเป็นเจ้าในรัฐไต-ไท ด้อยความสำคัญลงในภายหลัง แต่ขยับไปสู่พิธีกรรมมมากกว่า เหตุผลสำคัญคงมาจากการที่รัฐไต-ไทไม่ได้เกิดสูญญากาศ แต่เกิดขึ้นท่ามกลางประชาชนหลากหลายชาติพันธ์ุ ข้ออ้างกำเนิดเพื่อเข้าสู่อำนาจสูงสุดจึงฟังไม่ขึ้นนัก โดยเฉพาะคนที่มิใช่ไท-ไต-ลาว-ไทย-อาหม ตรงกันข้ามพิธีกรรมดูน่าเชื่อถือมากกว่า[5] การขยายอำนาจทางการเมืองของพวกไต-ไทในคริสต์ศตวรรษที่ 12-15 (หรือพุทธศตวรรษที่ 17-20) ในภูมิภาคอุษาคเนย์ จึงเป็นการขยายอำนาจทางการเมืองของภาษาไต-ไท มากกว่าการขยายอำนาจของ “ชนเผ่า” ไต-ไทโดยพร้อมเพรียง แม้แต่ในช่วงเวลาต่อมาในศตวรรษที่20 มีเหตุผลทางการเมืองในประเทศสยามช่วงนั้นที่อธิบายความกระตือรือร้นของวงวิชาการไทย ซึ่งในขณะนั้นกำลังสถาปนาอำนาจรัฐรวมศูนย์ที่มี “ไทย”เป็นวัฒนธรรมและชาติพันธุ์กระแสหลัก ฉะนั้น จินตนาการเกี่ยวกับการกำเนิดและการอพยพเคลื่อนย้ายของชนชาติไต-ไท-ไทย-ลาว จึงเป็นการสอดรับกับแนวคิดใหม่ที่แพร่หลายมาจากตะวันตกอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง “เชื้อชาติ”[6]

DNA กับการศึกษาชาติพันธุ์ไท

DNA ย่อมาจากคำว่า Deoxyribonucleic Acid เป็นสารพันธุกรรมที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดลักษณะของสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อๆไป แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือส่วนที่ควบคุมพันธุกรรมได้เรียกว่า “ยีน” และส่วนที่สองเป็นส่วนที่ไม่ได้ควบุมพันธุกรรมมักเป็นชื่อที่ได้ยินคำนี้ค่อนข้างบ่อยจากข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรม และ DNA มักไปเกี่ยวข้องกับการตรวจโรคด้วย กล่าวได้ว่า DNA มีลักษณะจำเพาะมากสำหรับปัจเจกบุคคล การศึกษาพันธุศาสตร์เชิงมานุษยวิทยา อาศัยความจำเพาะลักษณะนี้ในการศึกษา ซึ่งมิใช่ลักษณะจำเพาะทางปัจเจกบุคคล แต่ศึกษาลักษณะจำเพาะทางสังคมมากกว่า ส่วนโครงสร้างของ DNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ 2 สาย เชื่อมกับพันธะไฮโดรเจนระหว่างเบสคู่สมโดย A คู่กับ T และ C คู่กับ G เสมอ เกิดเป็นโครงสร้างเกลี่ยวคู่ (double helix) มีทิศทางเวียนขวาคล้ายบันไดเวียน คุณสมบัติสำคัญของ DNA สามารถเพิ่มจำนวนได้โดยมีลักษณะเหมือนเดิม และยังสามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกได้[7]

วิธีการศึกษา DNA ไม่สามารถใช้ปัจเจกบุคคลมาอธิบายแทนกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดได้ แต่ต้องอาศัยลักษณะทางชาติพันธุ์เดียวกัน ผ่านภาษาและวัฒนธรรม จากนั้นนำเบสคู่สมโดย A คู่กับ T และ C คู่กับ G มาคำนวณทาง DNA และนำผลการคำนวณเหล่านี้มาตั้งสมมุติฐานในเรื่องของการอพยพของคนไทย ซึ่งมี 5 สมมุติฐานคือ 1 คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต 2 คนไทยมาจากอาณาจักรน่านเจ้า 3 คนไทยมาจากจีนตอนใต้ 4 คนไทยมาจากอินโดนีเชีย และ 5 อยู่ในดินแดนประเทศไทยในปัจจุบัน ข้อสมมุติฐานข้อ 1 กับ ข้อ 2 ถูกล้มเลิกไปนานแล้ว และข้อ 4 ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเหลือเพียงสองข้อสมมุติฐานคือข้อที่ 3 และ ข้อที่ 5 และนำ DNA เข้าไปทดสอบ ควบคู่ไปกับการพิจารณาหลักฐานทางโบราณคดี ภาษาศาสตร์ และประวัติศาสตร์

การทดสอบสมมุติฐาน มีสามแบบในการศึกษาคือ แบบแรก สันนิฐานจาก Demic Diffusion หมายถึง กลุ่มคนที่อพยพลงมานำภาษา วัฒนธรรม และ DNA เข้ามาดินแดนแถบนี้ แบบที่สอง Culture Diffusion หมายถึง คนไทมาจากจีนตอนใต้มิได้อพยพมาแบบไหลบ่า อพยพมาเฉพาะชนชั้นผู้นำ ชนชั้นปกครอง แต่นำเอาภาษาไต-ไท เข้ามา ภาษาไต-ไทจึงเป็นภาษาที่มีลักษณะของภาษาทางอำนาจและวัฒนธรรม[8] และแบบสุดท้ายคือ Admixture คือการผสมกันระหว่างกลุ่มคนดั่งเดิมกับคนที่อพยพเข้ามา ทั้งสามแบบนี้จะถูกนำมาใช้ในการทดสอบจาก DNA ว่าคนไทยมาจากไหน

ผลการศึกษาดีเอ็นเอกับประวัติศาสตร์คนไท

จากการศึกษาพบว่าคนไทยในแต่ละภูมิภาคมีลักษณะของ DNA ที่แตกต่างกัน คนเมืองที่มีกลุ่มประชากรหลักอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย มีลักษณะของ DNA คล้ายกับชาวไดในสิบสองปันนาประเทศจีนตอนใต้ คนอีสานมี DNA ที่ผสมผสานระหว่างกลุ่มประชากรที่พูดภาษามอญ-เขมร กับ DNA ของคนไทในสิบสองปันนา ซึ่งมีความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง คนลาวอีสานเพศหญิงมี DNA เหมือนคนไทยในสิบสิงปันนา ขณะที่ผู้ชายในภาคอีสานมี DNA เหมือนคนมอญ-เขมร เหตุผลน่าจะมาจากพื้นฐานการอพยพของคนลาวอีสานน่าจะเป็นการอพยพมาทั้งชายและหญิง แต่กลุ่มคนดั่งเดิมที่อยู่ในภาคอีสานคือคนกลุ่มมอญ-เขมร มาตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน เมื่อมีการแต่งงานจึงทำให้เกิดรูปแบบ DNA ที่มีลักษณะนี้[9] คนไทยภาคกลางและภาคใต้มี DNA คล้ายกับชาวมอญ และชาวอินเดียตอนใต้ แสดงถึงการผสมผสานทางพันธุกรรมจากเอเชียใต้สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ สามารถประมาณอายุได้ 600-700 ปี

ส่วนคนไทยกลุ่มอื่นๆ อย่างกลุ่มไทใหญ่หรือคนไต ผลการศึกษาพบว่าผลของ DNA ไม่เหมือนกับคนไทกลุ่มอื่นๆแต่มี DNA คล้ายกับกลุ่มกระเหรี่ยงคือกลุ่มที่พูดภาษาไซโนธิเบตัน (จีน-ทิเบต) กลุ่มละว้าเป็นกลุ่มพูด  Austroasiatic และไทใหญ่คือกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไทกระไดทั้งสามกลุ่มนี้มีการผสมผสานทาง DNA ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีโอกาศการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจึงทำให้ DNA ของคนไทใหญ่นั้นแตกต่างกัน นอกจากนี้ กลุ่มไทยังมีลักษณะที่ต่างออกไปเนื่องจากมีการผสมกับชาติพันธ์ุอื่นอย่าง คนไทดำในจังหวัดเพชรบุรีมีลักษณะของ DNA ที่พูดภาษา Austroasiatic มากกว่ากลุ่มไทดำในจังหวัดเลย ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าภาษาและภูมิศาสตร์ต่างกันยังสามารถบ่งบอกถึงลักษณะของ DNA ได้ด้วย ส่วนกลุ่มภูไทในภาคอีสานที่อพยพมาจากสิบสองจุไท กลุ่มแสกที่กระจัดกระจายแยู่ในที่ต่างๆและกลุ่มญ้อ ทั้งสามกลุ่มนี้มี DNA คล้ายกับกลุ่มในแอ่งที่ราบสกลนคร ซึ่งแตกต่างกับกลุ่มชาวลาวอีสานทั่วไป และกลุ่มแสกก็มี DNA ที่ต่างออกไปจากกลุ่มภูไทและกลุ่มญ้ออีก ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในกลุ่มชาติพันธุ์ไท เป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างคนกลุ่มหนึ่งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก่อให้เกิดการไหลของยีน หากยีนผสมกันอยู่เรื่อยๆในท้ายที่สุดคนสองกลุ่มนี้ก็จะมียีนที่เหมือนกันซึ่งแต่เดิมยีนของทั้งสองกลุ่มเคยแตกต่างกันมาก่อน 

ท้ายที่สุด เราจะเห็นได้ว่ารากเง้าของคนไทยคือความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรมอีกมากมาย คนไทยมิได้อยู่นิ่งๆมา 3000 ปี และจะยังคงอยู่เช่นนั้นต่อไป คนไทยเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลาจากการรับเอากลุ่มชาติพันธ์อื่นๆเข้ามาผสมผสานมากมาย มิใช่เกิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กว่าจะเป็นชาติไทยทุกวันนี้มันมีคนหลายกลุ่มเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ[10]


 เนื้อหาหลักจากการบรรยายโครงการบรรยายพิเศษระดับปริญญาตรีครั้งที่ 1 จัดโดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2566 หัวข้อการบรรยายครั้งนี้คือ ดี เอ็น เอ (DNA) และการศึกษาประวัติศาสตร์คนไท โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วิภู กุตะนันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

[2] วินัย พงษ์ศรีเพียร, “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบนในปรวรรตประวัติศาสตร์,”.

[3] วินัย พงษ์ศรีเพียร, “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบนในปรวรรตประวัติศาสตร์,” หน้า34-37.

[4] นิธิ เอียวศรีววงศ์, ความไม่ไทยของคนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน)

[5] นิธิ เอียวศรีววงศ์, ความไม่ไทยของคนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน) หน้า 13-31.

[6] นิธิ เอียวศรีววงศ์, ความไม่ไทยของคนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน)  หน้า 40-42.

[7] สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท), https://www.ipst.ac.th/knowledge/24446/20220425-dna-day.html#:~:text=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%20DNA,%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99 (เข้าถึงเมื่อ 30/10/2566).

[8] นิธิ เอียวศรีววงศ์, ความไม่ไทยของคนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน) 

[9] วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์, “วิภู กุตะนันท์ พบคำตอบ “คนไทยมาจากไหน” บนเกียวดีเอ็นเอ”, The momentum, https://themomentum.co/theframe-wibhu-kutanan/, (เข้าถึงเมื่อ 30/10/2566).

[10] นิธิ เอียวศรีววงศ์, ความไม่ไทยของคนไทย (กรุงเทพฯ: มติชน) .

ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการ
ทีมข่าวที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลาย บ้างก็มาจากทะเล บ้างก็มาจากภูเขา แต่สุดท้ายก็ลงเอยที่ภาคเหนืออยู่ที่ Lanner นี่แหละ...

More like this
Related

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เห็ด’ CAC ชวนร่วมกิจกรรมปิดท้าย ‘FUNGI IN YOUR HEADLIGHTS’

พบศิลปิน อานนท์ นงเยาว์ และ NooN Collectiveเสาร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ ณ...

‘บ้านหนองเต่า’ รักษาป่า รักษาวิถีชีวิต ท่ามกลางปัญหาสิทธิที่ดิน

เรื่อง: รัญชิดา อาริกุล ‘บ้านหนองเต่า’ ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกะเหรี่ยง หรือ...

คนฮอดเดือดร้อน น้ำหนุนจากเขื่อนภูมิพลท่วมซ้ำทุกสิบปี พืชผลทางการเกษตรเสียหายยกสวน

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 สถานการณ์น้ำหนุนในพื้นที่ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะบริเวณสะพานจามเทวี...