คนล้านนา

ขยายภาพ ‘2475’ นอกพระนคร ส่องเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ‘2476’ ระหว่างเจ้านายและข้าราชการในล้านนา

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล ในวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี บนหน้าสื่อโซเชียลมีเดียของประชาชนภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเรา ๆ ก็คงจะมีบทความประวัติศาตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ขนาดสั้นบ้างยาวบ้างแสดงขึ้นมาให้ได้อ่านกันไม่มากก็น้อย  แต่บทความเหล่านั้นโดยส่วนมากก็คงจะเป็นลำดับเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และเรื่องราวของบุคคลสำคัญผู้มีบทบาทเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นต้นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่หลายคนเรียกว่า “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” หรือสมาชิกคนหนึ่งคนใดของกลุ่ม “คณะราษฎร”   ข้อสังเกตมีอยู่ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรามักได้อ่านหรือเห็นผ่านตากันนั้นมักเป็นสิ่งที่ได้รับรู้กันมาแล้วผ่านแบบเรียนวิชาสังคมศึกษา และเรื่องราวเหล่านั้นก็พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ในวันดังกล่าว...

ก๊อนเก๊าเล่าล้านนา: สามัญชนคนเมืองล้านนาอย่าง “ย่าบุญ” ตะแหลวเมืองล้านนาบนหน้าปัดวิทยุในความทรงจำ

“…..ปุ๋นดีงืดล้ำ อึ่งขบงูต๋าย บ้านเมืองวุ่นวาย ป้อจายนุ่งซิ่น ปู๊เมียผีต๋าย ซ้ำมาเยี๊ยะปลิ้น แป๋งปามาน ใส่ต๊อง ปล๋าแห้งในไฟ    จักไปอยู่ต๊อม ตั้งเหยี่ยนส้อม บนดอย นกแอ่นฟ้า    ต๋ายเปื้อคมหอย งัวแม่มอย ไล่ขบเสือแผ้ว…..” ถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นคำประพันธ์ประเภท “คร่าว” หรือบทร้อยกรองของล้านนาที่ผู้เขียนยกขึ้นมาตอนต้นของบทความนี้ หากถูกอ่านด้วยน้ำคำ สำเนียงและเสียงในภาษาของคนเมืองอย่างถูกวรรคถูกตอนแล้ว คงอาจสร้างความคุ้นเคยในน้ำเรียงเสียงปากส่วนผู้ที่มักอ่านคร่าวบทสั้นๆนี้ผ่านผ่านทางหน้าปัดวิทยุ ในหลายช่วงเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงข่าวเช้า ในพื้นที่เมืองเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง เมื่อราวสองถึงสามทศวรรษที่ผ่านมา นี่จึงเป็นบทตั้งต้นก่อนเข้ารายการวิทยาของผู้ประกาศท่านหนึ่งซึ่งมักจะมีเอกลักษณ์ในการนำเสนอเนื้อหาสาระและข่าวสาร...

ประติมากรรมยักษ์วัดอุโมงค์ กับคำถาม “อำนาจ” ใน “หลักวิชาการอนุรักษ์” ที่ยังฉงนคำตอบ ?

“ยืนยันว่าการบูรณะเป็นไปตามหลักวิชาการ” คำตอบเช่นนี้ได้ยินเสมอจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ดูแลแหล่งมรดกวัฒนธรรม ปรากฏการณ์สำคัญในวงการศิลปวัฒนธรรมเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในดินแดนเชียงใหม่ เมื่อเกิดกรณีการบูรณะประติมากรรมยักษ์จำนวน 2 ตนภายในวัดอุโมงค์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนต่างรู้จักกันอย่างดี เหตุการณ์ดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2567 ผศ.ดร. สุรชัย จงจิตงาม อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ออกมาร้องเรียนถึงประเด็นที่เกิดขึ้น เมื่อพบว่าประติมากรรมยักษ์ภายในวัดอุโมงค์ ซึ่งเป็นศิลปกรรมที่อายุเก่าแก่และมีคุณค่าทางวัฒนธรรม  ได้ถูกบูรณะไปจนมีสภาพใหม่อย่างปัจจุบัน ทำให้เกิดการร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้อย่างไร นำมาสู่คำตอบที่ว่าเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์ ในฐานะผู้แลพื้นที่ศาสนสถานที่เป็นโบราณสถานไม่ได้เป็นผู้บูรณะเองแต่อย่างใด แต่ผู้ที่ออกคำสั่งดังกล่าวคือผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้เดินทางมาชมวัดอุโมงค์ เห็นสภาพของประติมากรรมดังกล่าวชำรุดและเห็นนักท่องเที่ยววิจารณ์กันว่าทำไมไม่มีคนดูแลรักษาซ่อมแซม จึงได้ประสานงานกับกรมศิลปากรเป็นผู้บูรณะซึ่งมีหน่วยงานย่อยอย่างสำนักศิลปากรที่ 7...

ก๊อนเก๊าเล่าล้านนา : ประเพณีเลี้ยงผีครูเดือนเก้า(เหนือ) และเรื่องเล่าผีครูช่างซอล้านนา

ศิลปินพื้นบ้านล้วนผ่านการอบรมสั่งสอนให้คอยสั่งสมประสบการณ์ให้แฝงฝังไว้ในตน ตลอดจนควรมีความมุ่งมั่นฝึกฝนจนเกิดความชำนิชำนาญด้านสติปัญญาและความสามารถทั้งการขับร้องท่องลำนำแนวเพลงปฏิพาทย์ ทั้งเพลงหมอลำในภาคอีสาน เพลงอีแซวในภาคกลางหรือเพลงบอกในภาคใต้ ในขณะที่คนภาคเหนือหรือคนเมืองล้านนาก็มี “เพลงซอ” ที่ถูกขับขานผ่านเสียงของ “ช่างซอ” ซึ่งมีความหมายในทำนองของการเป็นผู้ชำนาญการถ่ายทอดเนื้อหาสาระผ่านโครงสร้างท่วงทำนองดนตรีที่ตายตัวแต่ต่างกันไปในแต่ละรูปแบบของทำนองพื้นบ้าน ดังนั้น  “ซอ” นั้น ก็มิใช่เครื่องดนตรีประเภท “สี” ที่มีอยู่ในความรับรู้ของผู้คนทั่วไปในภูมิภาคอื่นๆหรือในภาษิตที่รู้จักกันดีอย่าง “สีซอให้ควายฟัง”แบบคนภาคกลาง มากไปกว่านั้น “ซอ” หรือ “เพลงซอ” ยังคือ “ดนตรี” ที่เป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีหน้าที่ภายใต้โครงสร้างทางสังคมในฐานะศิลปะการแสดง...

ก๊อนเก๊าเล่าล้านนา: เจ้าและไพร่ในล้านนา ณ ช่วงเวลาการปฏิรูปมณฑลพายัพถึงก่อน พ.ศ.2475

สังคมล้านนาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีโครงสร้างทางสังคมเป็นลำดับชั้นบนลงล่างเฉกเช่นเดียวกันกับสังคมศักดินาทั่วไปที่มีเจ้าผู้ครองนคร เจ้านาย ขุนนาง ไพร่ ทาสและพระสงฆ์เป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งผู้คนในลำดับชั้นต่าง ๆ ที่ว่ามานี้ล้วนต่างมีความสัมพันธ์ตามบทบาทและหน้าที่ตามแต่ละส่วนของสังคมที่พวกเขาอยู่อาศัย เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายจึงถือได้ว่าเป็นกลุ่มคนซึ่งมีสถานะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในลำดับชั้นสูงสุด โดยเป็นชนชั้นผู้ปกครองซี่งมีอำนาจในการจัดการและบริหารบ้านเมือง การพิจารณาตัดสินคดีความต่าง ๆ ตลอดจนเป็นเจ้าแผ่นดินที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรป่าไม้ การจัดเก็บภาษีอากร ตลอดจนที่กะเกณฑ์ จัดสรรและการใช้แรงงานจากเหล่าบรรดา “ข้าคน” ที่เป็นไพร่หรือทาสในสังกัด แน่นอนว่าเจ้าผู้ครองนครที่นอกเหนือจะมีฐานะเป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์ยังทรงมีฐานะประดุจ “เจ้าชีวิต” ของทุก...