ขยายภาพ ‘2475’ นอกพระนคร ส่องเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ‘2476’ ระหว่างเจ้านายและข้าราชการในล้านนา

Date:

เรื่อง: ปวีณา หมู่อุบล

ในวันที่ 24 มิถุนายนของทุกปี บนหน้าสื่อโซเชียลมีเดียของประชาชนภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเรา ๆ ก็คงจะมีบทความประวัติศาตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ขนาดสั้นบ้างยาวบ้างแสดงขึ้นมาให้ได้อ่านกันไม่มากก็น้อย 

แต่บทความเหล่านั้นโดยส่วนมากก็คงจะเป็นลำดับเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และเรื่องราวของบุคคลสำคัญผู้มีบทบาทเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นต้นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่หลายคนเรียกว่า “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” หรือสมาชิกคนหนึ่งคนใดของกลุ่ม “คณะราษฎร”  

ข้อสังเกตมีอยู่ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรามักได้อ่านหรือเห็นผ่านตากันนั้นมักเป็นสิ่งที่ได้รับรู้กันมาแล้วผ่านแบบเรียนวิชาสังคมศึกษา และเรื่องราวเหล่านั้นก็พูดถึงเฉพาะเหตุการณ์ในวันดังกล่าว และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลางเป็นสำคัญ

ด้วยข้อสังเกตดังกล่าว ผู้เขียนจึงใคร่จะทดลองขีดเขียนอะไรบางอย่างเพื่อขยายภาพการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ให้กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อย โดยเน้นไปที่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสยามเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2476 พร้อมกับใช้เลนส์ที่มีกลิ่นอายของท้องถิ่น (ล้านนา) นิยมนิด ๆ ในการมอง  เพื่อสะท้อนภาพให้เห็นและได้รู้จักกับเจ้านายและข้าราชการล้านนาผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งแรก จนได้เป็นผู้แทนราษฎรชุดแรกของภาคเหนือในบางมิติ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสยามเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2476

การเลือกตั้งครั้งแรกของสยามเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 ภายหลังเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ซึ่งการเลือกตั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เนื่องจากรัฐบาลคณะราษฎรได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นจึงจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร โดยให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนตำบลในจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง การที่ราษฎรโดยทั่วไปยังไม่สามารถเลือกตั้งผู้แทนโดยตรงนั้นเพราะราษฎรโดยส่วนยังไม่คุ้นชินกับการเลือกตั้งมากนัก

ในการเลือกตั้งครั้งแรกมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 4,278,231 คน แต่ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิเป็นจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คือมีเพียง 1,773,532 คน แต่ถึงแม้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิเพียงเท่านั้นก็ถือได้ว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูงสำหรับยุคแรกรุ่งอรุณของประชาธิปไตย  

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอขยายความเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงสมัครเป็นผู้แทนตำบลและผู้แทนราษฎร เพื่อให้สามารถจินตนาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าผู้แทนตำบลและผู้แทนราษฎรในยุคนั้นเป็นใคร และมีตำแหน่งที่อย่างไรในทางสังคม โดยจะแสดงให้เห็นคุณสมบัติดังกล่าวในตารางเปรียบเทียบดังนี้

คุณสมบัติผู้แทนตำบลผู้แทนราษฎร
เป็นผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย
อายุ 20 ปีบริบูรณ์
อายุ 23 ปีบริบูรณ์
ไม่เป็นผู้วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ
ไม่เป็นบุคคลที่มีความประพฤติเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดยาเสพติดให้โทษ
ไม่เป็นภิกษุสามเณร นักพรต หรือนักบวช ในขณะที่มีการเลือกตั้ง
ไม่เป็นผู้ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ในขณะมีการเลือกตั้ง
ไม่ถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
มีความรู้ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้
ไม่เป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะเหนือการเมือง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 10 
ที่มา: กระทรวงมหาดไทย, รายงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่ม 1, พระนคร: โรงพิมพ์กระดาษไทย, 2500.

เจ้านายและข้าราชการท้องถิ่นกับสถานะผู้แทนราษฎรในดินแดนล้านนายุคแรก

ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทางอ้อมปี พ.ศ.  2476 เสร็จสิ้น ปรากฏว่าทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, ลำพูน และอุตรดิตถ์ ได้มีผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนครบทุกจังหวัด ตามรายนามดังนี้

จังหวัดเขตชื่อ
เชียงราย1พระดุลยธรรมปรีชาไวท์ (ยม สุขานุศาสน์)
เชียงใหม่12พระพินิจธนากร (บุญเพ็ง ยุกตะนันท์)หลวงศรีประกาศ (ฉันทร์ วิชยาภัย)
น่าน1เจ้าจำรัส มหาวงศนันท์
แพร่1เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์
แม่ฮ่องสอน1นายบุญสิริ เทพาคำ
ลำปาง1เจ้าสร้อย ณ ลำปาง
ลำพูน1เจ้าบุญมี ตุงคนาคร
อุตรดิตถ์1นายฟัก ณ สงขลา
หมายเหตุ: เชียงใหม่ซึ่งผู้แทนราษฎรมี 2 คน เนื่องจากมีการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งจังหวัดออกเป็น 2 เขต ขณะจังหวัดอื่นๆ แบ่งเขตเลือกตั้งทั้งจังหวัดเพียง 1 เขต และขณะนั้นพะเยามีสถานะเป็นอำเภอหนึ่งของเชียงราย จึงไม่มีผู้แทนราษฎร

จากรายนามข้างต้นจะเห็นได้ว่าผู้แทนราษฎรในยุคแรกของล้านนา (ซึ่งในที่นี้หมายถึงพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น) ประกอบไปด้วยคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้านาย และกลุ่มข้าราชการ

กลุ่มเจ้า มี 4 คน ได้แก่ 

1.เจ้าจำรัส มหาวงศนันท์ ส.ส.น่าน 

2.เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ ส.ส.แพร่

3.เจ้าสร้อย ณ ลำปาง ส.ส.ลำปาง 

4.เจ้าบุญมี ตุงคนาคร ส.ส.ลำพูน 

โดยชาติกำเนิดแล้ว ส.ส. กลุ่มเจ้ามักสืบเชื้อสายมาจากเจ้านายหรือข้าราชการชั้นสูงที่เคยมีบทบาททางการเมืองการปกครองของหัวเมืองต่างๆ ของล้านนา เมื่อครั้งมีสถานะเมืองประเทศราชของสยาม เช่น เจ้าบุญมี ตุงคนาคร สืบเชื้อสายมาจากทิพจักราธิวงศ์ หรือตระกูลเจ้าเจ็ดตน อันเป็นตระกูลผู้ปกครองนครลำปาง  นครเชียงใหม่ และนครลำพูน, เจ้าวงศ์ แสนสิริพันธุ์ สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหลวงเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนครแพร่ (ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2348 – 2359) และเจ้าจำรัส มหาวงศนันท์ สืบเชื้อสายมาจากเจ้ามหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน (ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2381 – 2394) เป็นต้น

เจ้าวงศ์ แสนศิริพันธุ์ ส.ส.แพร่ ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย
เจ้าหนานบุญมี ตุงคนาคร ที่มาภาพ: ห้องฮูปลำพูน
เจ้าจำรัส มหาวงศนันท์ ส.ส.น่าน ที่มาภาพ: คุ้มเจ้าทองย่น

ชาติกำเนิดเช่นนี้ทำให้ ส.ส. กลุ่มเจ้าเป็นผู้มีเครือข่ายทางสังคม และเศรษฐกิจมาก มีการศึกษาดี กระทั่งมีความเชี่ยวชาญในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เช่น เจ้าวงศ์ แสนสิริพันธ์ุ ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และเป็นศิษย์เอกของภราดา ฟ. ฮีแลร์ 

ดังนั้นแล้ว เมื่อมีการเลือกตั้งผูู้แทนราษฎรขึ้นคนกลุ่มนี้จึงได้ครอบครองพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของโควต้าผู้แทนราษฎรใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

กลุ่มข้าราชการ มี 5 คน ได้แก่

– พระดุลยธรรมปรีชาไวท์ (ยม สุขานุศาสน์) ส.ส.เชียงราย

– พระพินิจธนากร (บุญเพ็ง ยุกตะนันท์) และ หลวงศรีประกาศ (ฉันทร์ วิชยาภัย) ส.ส.เชียงใหม่

– นายบุญสิริ เทพาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน

– นายฟัก ณ สงขลา ส.ส.อุตรดิตถ์

ในส่วนของ ส.ส. กลุ่มข้าราชการ เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังแล้วก็พบว่าโดยมากแล้วมีสถานะเป็นข้าราชการในพื้นที่ที่ตนเองลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรมาก่อนแล้วระยะหนึ่งทั้งสิ้น ทำให้เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป ทั้งที่บางคนมิได้กำเนิดและเติบโตขึ้นในจังหวัดนั้น ๆ 

ยกตัวอย่างเช่น หลวงศรีประกาศ (ฉันทร์ วิชยาภัย) เดิมเป็นคนจังหวัดจันทบุรี แต่ได้ติดตามพระยามโหสถศรีพิพัฒน์ (เชิญ ปริชญานนท์) มาทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเริ่มจากการเป็นเสมียนศาลมณฑลพายัพ ต่อมาได้เป็นทนายความ, กรรมการสุขาภิบาล, ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งยังได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่อีก 6 สมัย คือระหว่างปี พ.ศ. 2483 – 2487 ยกเว้นปี พ.ศ. 2486 

นอกจากนี้ ยังได้มีธุรกิจโรงแรมเป็นกิจการส่วนตัวอีกแห่งหนึ่งคือ โรงแรมศรีประกาศ ซึ่งตั้งอยู่เชิงสะพานนวรัฐระหว่างชายขอบของสามชุมชน คือสันป่าข่อย วัดเกต และท่าสะต๋อย 

หลวงศรีประกาศ (ฉันทร์ วิชยาภัย) คนสวมพวงมาลัยทางซ้าย และ พระพินิจธนากร (บุญเพ็ง ยุกตะนันท์) คนสวมพวงมาลัยทางขวา ผู้แทนราษฎรเชียงใหม่ชุดแรก ปี พ.ศ. 2476 ที่มา: แฟนเพจเฟซบุ๊ก ศรีประกาศ Sriprakard Chiangmai

อีกตัวอย่างคือ นายบุญสิริ เทพาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน ซึ่งบุญจิรา ทองเขียว (เทพาคำ) บุตรสาวของนายบุญสิริ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งว่านายบุญสิริเกิดและมีช่วงชีวิตวัยเด็กที่จังหวัดลำพูน แต่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ จนจบได้เป็นแพทย์และมียศเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่ในวัง และได้ย้ายมาเปิดคลินิกรักษาคนไข้ที่อำเภอแม่สะเรียง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2476 จึงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการสนับสนุนจากประชาชน     

บทบาท (และทัศนะท้องถิ่นนิยม) ของผู้แทนราษฎรล้านนา ผ่านการแสดงปาฐกาหลังปิดวาระประชุมสมัยสามัญแห่งสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2476

เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว ผู้แทนราษฎรล้านนาหรือผู้แทนราษฎรจากภาคเหนือก็ได้ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกันผู้แทนราษฎรโดยทั่วไป เช่น เข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญแห่งสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2476 และได้จัดคำปาฐกถาเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ระบอบการปกครองตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญในท้องที่ของตน ตามที่กรมโฆษณาการได้ขอให้ผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัดจัดทำขึ้น 

ซึ่งปาฐกถาของผู้แทนราษฎรทั้ง 8 คน ตามที่พอจะสามารถหาข้อมูลได้ มีเนื้อหา (โดยสรุปที่น่าสนใจ) ดังนี้

ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ 

เริ่มต้นด้วยการบรรยายสภาพจังหวัดเชียงใหม่ และประวัติความเป็นของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งกล่าวไว้ถึงขึ้นที่ระบุว่า “…เชียงใหม่เคยเป็นเอกราชมีอำนาจอิสระมาแต่โบราณ…” จากนั้นก็ชี้ให้เห็นความเท่าเทียมกันระหว่างพระนคร (กรุงเทพฯ) และเชียงใหม่ในแง่ที่ว่าการศึกษาที่คนเชียงใหม่ได้รับนั้นไม่ต่างจากการศึกษาในเขตพระนคร ก่อนจะปิดท้ายด้วยการกล่าวถึงงานฉลองรัฐธรรมนูญฉบับจำลอง ซึ่งผู้แทนราษฎรเชียงใหม่ทั้ง 2 คน ได้รับมอบมาให้ประจำไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุว่างานฉลองจะมีขบวนแห่อย่างมโหฬาร  จะจัดงานทั้งหมด 5 วัน ภายในขบวนจะมีบุคคลทุกชาติ ทุกชั้น เข้าร่วม จะมีขบวนแห่ช้าง ม้า ล้อเลื่อน ตลอดจนรถต่างๆ รวมทั้งมีการประกวดสาวงาม และการปวดพืชพันธุ์สัตว์ต่างๆ ด้วย

ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรจังหวัดลำพูน 

เนื้อหาการบรรยายจะเน้นไปที่การแนะนำให้รู้เมืองลำพูน ในแง่ของสภาพภูมิประเทศ อากาศ ประชากร และลักษณะทั่วไปอื่นๆ หากแต่มีข้อโดดเด่นตรงที่ว่า ส.ส.ลำพูนผู้นี้มิได้กล่าวสรรเสริญระบอบการเมืองใหม่ หรือกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนทำกิจกรรมใดๆ ในวันฉลองรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่างจากผู้แทนราษฎรในจังหวัดอื่นๆ

ปาฐกถาของผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่

มีเนื้อหาเริ่มต้นการบรรยายที่ว่าด้วยความเป็นมาของจังหวัดตนเองเช่นเดียวกับผู้แทนราษฎรในจังหวัดอื่น ๆ หากแต่ได้เชื่อมโยงการเป็นที่รับรู้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเข้ากับการเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมืองที่รัฐบาลได้ส่งขึ้นมา พร้อมกับชี้ให้เห็นปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ไม่มีผู้พิพากษาอยู่ประจำ โดยเฉพาะที่ศาลอำเภอแม่สะเรียง และยังกล่าวถึงความทุกข์ยากของราษฎรผู้ต้องหาที่ต้องทนถูกคุมขังเพื่อรอการไต่สวนคดีละหลายๆ เดือน 

นอกจากนี้ นายบุณสิริ เทพาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน ยังได้ชี้ให้เห็นปัญหาการคมนาคมอันไม่สะดวก ปัญหาการมีระบบไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ แต่ไม่สามารถใช้การได้ในหน้าฝน รวมไปถึงปัญหาหารขาดแคลนโรงเรียนและครู สำหรับโรงเรียนเท่าที่มีอยู่ก็ชี้ให้ว่าได้ชำรุดทรุดโทรมไปมาก ทั้งนี้ เนื้อหาปาฐกถาของ ส.ส.แม่ฮ่องสอนก็มิได้กล่าวถึงงานเฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

ในทัศนะของผู้เขียน ปาฐกถาข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นได้ว่าแม้ผู้แทนราฎษรยุคแรกของภาคเหนือจะเป็นผู้ที่มาจากชนชั้นนำทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยการเป็นผู้แทนฯ พื้นที่หรือจังหวัดของตนเองก็ทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นนิยมแบบอ่อน ๆ ในปาฐกถาดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น 

แม้วัตถุประสงค์สำคัญของการแสดงปาฐกถานี้ ตามที่กรมการโฆษณาระบุไว้คือ “เพื่อการส่งเสริมและเผยแพร่ระบอบการปกครองตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญในท้องที่ของตน”  กลับจะเห็นได้จากปาฐกถาว่าผู้แทนราษฎรได้ยกเอาเรื่องราวในจังหวัดของตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราวที่หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง กล่าวคือ ว่าด้วยเรื่องอันดีงาม หรือชี้ให้เป็นประเด็น ก็ตาม

อนึ่ง ผู้เขียนต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าจุดมุ่งหมายของงานชิ้นนี้คือ เพื่อสะท้อนภาพให้เห็นและได้รู้จักกับเจ้านายและข้าราชการล้านนาผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งแรก จนได้เป็นผู้แทนราษฎรชุดแรกของภาคเหนือในเพียงบางมิติเท่านั้น และงานเขียนชิ้นยังมิใช่งานที่สมบูรณ์มากในการจะกล่าวถึงผู้แทนราษฎรยุคแรกของภาคเหนือ สำหรับในประเด็นนี้ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาและการรวบรวมข้อมูลที่เป็นระบบกว่าอีกมาก ซึ่งผู้เขียนจะขอฝากไว้ให้เป็นภารกิจของใครสักคนในอนาคต

ปวีณา หมู่อุบล

อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

ปวีณา หมู่อุบล
ปวีณา หมู่อุบล
อดีตนักเรียนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันนัก (ลอง) เขียน อนาคตไม่แน่นอน

พ่อหมอกฤตไท ร้องหยุดดองร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้านสภาลมหายใจ เเถลงไม่ควรเอื้อนายทุน

หลังจากเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ในวาระสามด้วยคะแนนเห็นด้วย 309 เสียง...

ให้คะแนนรัฐบาลอนุทิน ‘สอบตกยกแผง’ แก้ปัญหาน้ำกก–สายรวก–โขงปนเปื้อนโลหะหนัก จากเหมืองแร่ในรัฐฉาน

สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประเมินการทำงานของรัฐบาลไทยในการรับมือปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ระบุว่า ‘สอบตกยกแผง’ พร้อมแจกแจงการประเมินเป็นรายบุคคลต่อผู้นำฝ่ายบริหารสามตำแหน่ง นายกฯ...

Lanner Joy: LOLA Gallery DRIP แรงบันดาลใจจากความฝันเล็กๆ สู่รากกาแฟห้วยตองก๊อที่เติบโตอย่างแข็งแรง

เรื่องและภาพ: สุทธิกานต์ วงศ์ไชย ยามบ่ายต้นเดือนพฤศจิกายนที่ลานกว้างของโครงการจริงใจมาร์เก็ต เชียงใหม่ เสียงแจ๊สลอยแผ่วเบาเคล้ากลิ่นกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ เทศกาล Jazz Arabica กลับมาอีกครั้งในปี...

เปิด 5 เหตุผล ทำไม ‘เขื่อนปากแบง’ จึงไม่ควรถูกสร้างขึ้นบนแม่น้ำโขง

‘เขื่อนปากแบง’ เป็นโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขงสายประธานของลาว แบบน้ำไหลผ่าน (Run-of-River) ตั้งที่เมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ห่างชายแดนไทย 97 กิโลเมตร...